“..ฝนตกขี้หมูไหล..” ... ในสังคมที่ไร้ธรรม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กระแสข่าวในสังคมหลากหลาย และเหลวไหล.. ในสังคมที่ไร้ความเคารพธรรม.. จึงสะท้อนภาวะ "ฝนตกขี้หมูไหล" .. ให้เห็นเชิงประจักษ์ จนน่าสังเวช.. กับพฤติกรรมของสัตว์โลกในยามนี้ ที่สะท้อนความเป็นจริงของความวิปลาส.. ความวิบัติ.. ความเสื่อมถอยไร้สาระ...

เรื่องที่เป็นจริง.. สิ่งที่เป็นธรรม.. คนในสังคมไม่ใส่ใจ มองข้ามไปแบบเป็นเรื่อง ธรรมดา ไร้ราคา

แต่ในเรื่องที่ไม่จริง.. สิ่งที่เป็นอธรรม.. คนในสังคมกลับยื้อแย่งกันให้ความสนใจ แม้จะต้องแลกกับการเสียเงินทอง.. เสียเวลา.. เสียประโยชน์ตน และแม้จะต้องสูญเสียคุณค่าความเป็นมนุษย์

ทุกเรื่องราวสะท้อนวุฒิภาวะของสังคมในปัจจุบัน ว่า.. เสื่อม.. หรือเจริญ.. ที่ผุดปรากฏในโลกแห่งข่าวสารที่ผุดบานเป็นเชื้อราในกองขยะสกปรก ที่เต็มไปด้วยเรื่องเลวๆ เหลวไหล.. มากกว่าเรื่องดีๆ มีสาระประโยชน์ อันคนในสังคมชอบเสพคบ สะท้อนความเป็นจริงของคุณภาพจิต ว่า.. อยู่ในระดับใด...

สังคมจึงวุ่นวายในทุกมิติ.. เมื่อคนเราไม่ศึกษาธรรม ไม่ประพฤติธรรม.. ไม่เคารพธรรม.. ไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ ..ไม่ใช้ธรรมคุ้มครองปกป้องตนและสังคม ..มิหนำซ้ำ กลับปล่อยให้อธรรมแผ่ครอบสังคมอย่างไร้การจัดการเพื่อขจัดให้สิ้นไป...

ความไม่เข้าใจธรรม.. นำไปสู่ความไม่เข้าใจโลก.. ความไม่เข้าใจในชีวิต.. การผลิตคนสู่สังคม จึงเน้น ความรู้ ความสามารถ นำหน้า ความเป็น คนดีมีศีลธรรม...

เรื่องทุกเรื่องจึงเอวังลงที่ คนใช้ความรู้ ความเก่ง ความสามารถ เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและหมู่คณะ โดยไม่ใส่ใจ สังคม สิ่งแวดล้อม.. ประเทศชาติ.. และประชาคมโลก

ปัญหาทางสังคมในมิติการเมือง การปกครอง.. เศรษฐกิจ สังคม จึงมีทับซ้อนกันมากขึ้น จนไม่รู้ว่าหัวหางของตัวปัญหาอยู่ทิศทางใด...

ระเบียบแบบแผน วัฒนธรรม ประเพณี.. จนถึงศาสนาในสังคมนั้นๆ.. จึงถูกกัดกร่อน ด้วยทิฏฐิของหมู่ชนที่ไร้ความเคารพในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ.. เพราะความไม่เข้าใจในธรรม.. ที่แสดงความเป็นปกติเสมอมาในทุกยุคทุกสมัย ว่า เป็นอย่างนี้ เป็นเช่นนี้ ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เป็นอย่างนี้เอง

ดังปรากฏตามหลัก ธัมมุทเทส ที่ว่า..

.. โลก อันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน

.. โลก ไม่มีผู้ต้านทาน

.. โลก ไม่มีเจ้าของ จำต้องสละคืน..

.. โลก พร่องเป็นนิตย์...

ถ้าคนเรา.. เข้าใจว่า โลกเป็นเช่นหลักธรรมดังกล่าว ก็จะนำไปสู่การสอนใจให้มีจิตสำนึกที่มีวุฒิภาวะทางธรรม.. ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในชีวิต.. ด้วยคติธรรมที่สำนึกได้ว่า...

“.. ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้.. ในชีวิต ทุกชีวิตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดี.. หรือไม่ดี

.. การทำกรรมใดๆ.. ต้องรับผลในฐานะเจ้าของการกระทำนั้น ไม่ว่า ดี หรือชั่ว.. จะให้ใครมารับแทน มารู้สึกแทนเรานั้น ไม่ใช่ฐานะ..”

จึงต้องดำรงตนอย่างมี “สติปัญญา” ในการทำกิจการใด.. ที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะเมื่อกระทำแล้ว ต้องมีผล.. และเจ้าของการกระทำนั้นต้องรับผลแห่งการกระทำนั้น

ที่สำคัญยิ่ง.. ไม่ควรยึดมั่นจนเกินไปในทุกเรื่องราว.. เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ชีวิต ที่สมมติขึ้นว่าเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรานั้น.. แท้จริง ที่สุดก็ต้องสละคืนสู่ธรรมชาติ ควรคำนึงเสมอ ว่า..

เกิดมาได้.. ก็ดับได้

มาได้.. ก็ไปได้

มีได้.. ก็หมดสิ้นได้

แม้ที่เห็นอยู่.. เดี๋ยวก็จักหายไป... นี่เป็นธรรมดา!

จึงควรรู้จัก ปลด.. ปลง.. ปล่อย.. และละความผูกพันยึดมั่นยึดถือ.. อยู่อย่างรู้.. ใช้อย่างรู้เข้าใจในความเป็นจริง... เมื่อรู้จริง จะไม่เจ็บ ..แม้จะเจ็บ ก็ไม่ทุกข์ใจ.. เพราะเข้าใจในความเป็นจริง ว่า..

ทุกสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย

เหตุปัจจัย มีอยู่               สิ่งนั้น จึงมี..

เหตุปัจจัย สิ้นไป             สิ่งนั้น จึงสิ้นไป...

การมีสิ่งใดๆ.. จึงเพื่อใช้ประโยชน์.. อะไรที่ไม่มีประโยชน์ พึงละทิ้งไป ...แม้ในสิ่งมีประโยชน์ ก็พึงใช้ให้เหมาะควร.. เหมาะสม สอดคล้องกับโอกาส กาลเวลา ที่มีอยู่ในชั่วขณะหนึ่ง.. ที่สุดก็ต้องผ่านไป ยากจะหวนคืนกลับมา ...จึงควรปลงใจในรู้ เพื่อวางใจให้เป็น ..ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปตามธรรม

สำคัญยิ่งคือ รู้จักคำว่า.. พอ .. หากเติมคำว่า เพียง ลงไป ก็ยิ่งสมบูรณ์ ในความหมายของ พอเพียง.. ที่ควรทำให้ เพียงพอ กับประโยชน์ในชีวิตที่เหมาะควร

หากมีคำถามว่า.. ทำไมคนเราพยายามไม่เข้าใจคำว่า พอเพียง ทั้งๆ ที่ มันก็อ่านออก เขียนได้ เข้าใจในความหมายอย่างเป็นธรรมดา

คำตอบ คือ.. เพราะมันไม่รู้จัก เพียงพอ ในความ พอเพียง .. เรื่องของเรื่อง จึงพยายามหาเรื่อง สร้างเรื่อง เพื่อให้กลบสาระแห่งเรื่อง จนคนยากจะเข้าใจในคำและความหมายธรรมดาของ พอเพียง.. หนักข้อเข้า สิ่งที่นำไปสู่การพูดให้เกิดความสับสน จนคนเรางุนงงกับคำว่า พอเพียง

สมัยหนึ่ง พระอโศกมหาราช ไม่รู้จักคำว่า พอเพียง อาศัยอำนาจความโลภโมโทสัน.. จึงฆ่าพี่น้อง เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ล้มตายไปถึง ๙๙ คน เว้นไว้ ๒ คน คือ ตัวท่านเองและน้องชายแท้ๆ แม่เดียวกัน

เมื่อได้ครองราชย์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชเริ่มขยายอาณาจักรให้กว้างขวางออกไปทั่วชมพูทวีป โดยการทำสงคราม ตีเมืองเล็กเมืองน้อยไปทั่ว อย่างไม่รู้จักคำว่า พอเพียง จนได้รับฉายาเรียกขานว่า อโศกผู้ดุร้าย ทำสงครามด้วยพระองค์เอง อย่างคนกระหายเลือด

ครั้งหนึ่ง ได้มีสงครามระหว่าง แคว้นมคธ กับ แคว้นกาลิงคะ สืบเนื่องถึง ๘ ปี มีทหารและราชตระกูลล้มตายเป็นแสนคน บนแผ่นดินแคว้นกาลิงคะ ที่เกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพและกองเลือด ไหลเอิบอาบนองแผ่นดินจนแดงฉาน ส่งกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว ประกอบเสียงสะอึกสะอื้นของญาติมิตรของประชาชนผู้สูญเสีย ผู้เป็นที่รัก.. ครั้งนั้น จึงเป็นเหตุให้ พระเจ้าอโศกมหาราช เกิดความสลดใจ เศร้าใจ.. จากชัยชนะที่ได้มาจากการประหัตประหารกัน.. อันนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติครั้งยิ่งใหญ่ของจอมกษัตริย์ผู้ดุร้าย ดังที่พระองค์ได้ทรงบันทึกไว้ว่า “การฆ่าฟัน ความตาย และการเนรเทศ ที่เกิดขึ้น เมื่อดินแดนที่ไม่เคยถูกพิชิต กลับถูกพิชิตลง ได้ยังความเจ็บปวดหนักหนาต่อตัวเรา”

วันหนึ่ง พระองค์ยืนอยู่บนปราสาทชั้นบน ได้ทอดพระเนตรเห็น สามเณรนิโครธ ออกบิณฑบาตด้วยอาการสำรวมตน มีอินทรีย์สังวรน่าเลื่อมใส จึงได้ให้ราชบุตรไปนิมนต์เข้ามาในราชมณเฑียร

ในครั้งนั้น สามเณรนิโครธ ได้แสดงธรรมถวายแด่พระเจ้าอโศกมหาราช ว่าด้วยเรื่อง..

๑.เรื่อง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย .. ที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มีอำนาจย่ำยี บีบคั้น มนุษยโลก ให้ยินยอมโดยไม่มีทางเลือก.. ไม่มีทางหลีกเลี่ยง

๒.เรื่อง ตัณหา .. ที่สัตว์ทั้งหลาย ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัณหา.. กล่างถึง ตัณหา ๓ และระดับ ตัณหา ๒ ได้แก่ วิสัตติกาตัณหา และรัฏฏมูลภาตัณหา

๓.อาการของความไม่ประมาท .. คือ ระวังมิให้กำหนัดในอารมณ์ที่น่ากำหนัด.. ระวังมิให้ขัดเคืองในอารมณ์ที่น่าขัดเคือง.. ระวังมิให้หลง .. มิให้มัวเมา ในอารมณ์ที่น่าหลง .. น่ามัวเมา

หลังจากได้ฟังธรรม.. จึงเกิดความเคารพธรรม ได้รับอานิสงส์ความร่มเย็นเป็นสุขในปัจจุบันธรรมนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ในธรรม.. ให้นำไปสู่การปฏิบัติธรรม.. การประพฤติตามธรรม.. มีการสดับตรับฟังธรรมจากพระเถระบ่อยๆ โดยเฉพาะในเรื่อง กฎแห่งกรรม จากพระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้า.. จนเข้าใจในคำว่า พอเพียง จึงกล่าวปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะในพระพุทธศาสนา ยกเลิกระบบ สังคามวิชัย มาเป็น ธรรมวิชัย เพื่อชัยชนะอันยั่งยืนจากอานุภาพแห่งธรรมจักร.. อันเกิดจากความรู้ ความเข้าใจ ใน คำว่า พอเพียง ในพระพุทธศาสนา ที่อบรมสั่งสอนให้จิตใจคำนึงถึงประโยชน์สุขโดยธรรม.. มากกว่าอื่นใด.. เพื่อสังคมสันติสุข.. ด้วยมนุษยชาติมี สันติธรรม..​ อย่างแท้จริง!!.

 

เจริญพร

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เทวฤทธิ์ -กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่ เสรีนิยมก้าวหน้า ปฏิรูปสภาสูง

สมาชิกวุฒิสภา(สว.)ชุดปัจจุบัน 200 คน จะประชุมร่วมกันนัดแรกในวันอังคารนี้ 23 ก.ค. โดยมีระเบียบวาระสำคัญที่จะให้สว.ทั้งหมดร่วมกันประชุมลงมติ นั่นก็คือ

“ศาสนกิจในอินเดีย .. ณ นครปูเน่” น้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๗๒ พรรษา ๒๘ ก.ค.๖๗ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่ นครปูเน่ รัฐมหาราษฏระ อินเดีย เพื่อติดตามความก้าวหน้าของการสร้างวัดแห่งแรกของชาวพุทธในอินเดีย

อังคณา สว. 2567 ภารกิจ-สิ่งท้าทาย สภาสูง กับโมเดลข้อเสนอ สภาเดี่ยว

การทำงานของสมาชิกวุฒิสภาชุดล่าสุด ที่เรียกกันว่า "สว. 2567" กำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ คาดหมายกันว่า การนัดประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือก

บทธรรมถวายเป็นพระราชกุศล .. ในมหามงคลครบ ๖ รอบ “ราชธรรม .. สู่การเปลี่ยนผ่านของประเทศไทย” (ตอนที่ ๗)

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. พระพุทธเจ้าได้ตรัส หลักการปกครองตามแบบธัมมิกสูตร ว่า..

ดร.มานะ-ว่าที่ สว. 2567 ความเป็นอิสระไม่มีอยู่จริง เรื่องใบสั่งก็คงมีบ้าง ไม่มีบ้าง

หนึ่งในผู้ผ่านการคัดเลือก 200 รายชื่อให้เตรียมเข้าไปทำหน้าที่ "สมาชิกวุฒิสภา" (สว.) ชุดใหม่ ที่น่าสนใจ ก็คือ "ดร.มานะ มหาสุวีระชัย อดีต สส.ศรีษะเกษ" ที่เคยสังกัดพรรคพลังธรรมและพรรคประชาธิปัตย์ตามลำดับ

บทธรรมถวายเป็นพระราชกุศล .. ในมหามงคลครบ ๖ รอบ “ราชธรรม .. สู่การเปลี่ยนผ่านของประเทศไทย” (ตอนที่ ๖)

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ได้เขียนคำกล่าวสอนใจไว้บทหนึ่งว่า.. ถึงมีอำนาจ วาสนา สักปานไหน