โอกาสของการพัฒนาภาคเกษตรไทย

ภาคเกษตรเคยเป็นพระเอกทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นแหล่งอาหารที่เลี้ยงดูประชากรให้มีความอิ่มหนำสำราญ สร้างโอกาสให้คนไปทำงานอื่น ๆ แถมยังสร้างชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศด้วย โดยเฉพาะข้าวซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งในโลกอยู่หลายปี  คนรวยในหมู่บ้านเป็นชาวนา ลูกชายบ้านใหนมีที่นาเยอะๆ จะมีสาวมาตามจีบ แต่สมัยนี้ กลับตาลปัตรเหมือนเป็นฉาก ข้าวกลายเป็นผู้ร้ายที่หมอสั่งให้กินน้อยลง การปลูกข้าวสร้างมลพิษทางอากาศ ลูกชายชาวนาเดินมาไม่มีสาวหัน แถมยังเมิน เหมือนดาราตกอับ ชาวนากลายเป็นขอทานรอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนแต่ก่อน เกิดอะไรขึ้น? แล้วอนาคตภาคเกษตรจะเป็นอย่างไร? 

ภาคเกษตรมีสัดส่วนในรายได้ประชาชาติ (GDP) เพียงแค่ประมาณร้อยละ 10 และลดลงไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาคเศรษฐกิจบริการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการใหม่ ๆ เช่น การบริหารจัดการข้อมูล ที่ปรึกษาด้านการเงิน บริการทางการแพทย์ เป็นต้น แต่ความจริงแล้ว มูลค่าการผลิตของภาคการเกษตรก็ยังจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาเพราะประเทศไทยมีพื้นที่ซึ่งเหมาะสมกับการทำการเกษตรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้ปุ๋ยและวิทยาการใหม่ ๆ เพียงแต่ผลผลิตการเกษตรก็มีความผันผวนไปตามความไม่แน่นอนของดินฟ้าอากาศ  แต่ที่น่าเป็นห่วงคือรุ่นลูกและหลานที่มีการศึกษาที่ดี ทยอยกันออกจากภาคเกษตรไปทำงานในภาคการผลิตอื่น ๆ 

ความท้าทายของภาคเกษตรไทย

ความท้าทายสำคัญของภาคเกษตรคือใครจะมาเป็นเกษตรในอนาคต ทำอย่างไรจึงจะจูงใจให้มีคนรุ่นใหม่เข้าเป็นเกษตรกร ทำอย่างไร เกษตรกรจึงจะมีรายได้มาก ครอบครัวมีความกินดีอยู่ดี และอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และ จีน ต่างก็ผ่านปัญหานี้แล้ว  และส่วนใหญ่แก้ปัญหาในระยะแรกไม่สำเร็จเพราะเลือกทางลัดโดยการอุดหนุนราคาและแจกเงิน  เช่น Farm Act ของสหรัฐฯ Common Agricultural Policy (CAP) ของยุโรป และ การอุดหนุนเกษตรกรของญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาระยะยาว มีภาระการคลังที่ไม่สามารถแก้ได้  และที่สำคัญคือเป็นการทำลายภาคเกษตรทางอ้อมเพราะยิ่งช่วยเกษตรก็ยิ่งต้องพึงเงินช่วยเหลือมากขึ้นไม่คิดขวนขวาย  

โจทย์คือจะทำให้สินค้าเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างไร?  คำตอบอยู่ที่ฝั่ง อุปสงค์ อยู่ที่คนจ่ายเงิน ไม่ใช้ด้านอุปทาน กล่าวคือ ไม่ใช่อยู่ที่การทำสินค้าให้ดีขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เป็นการหาลูกค้าที่อยากได้สินค้าของเราและยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น  แนวคิดเช่นนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ที่การตลาดนำ โดยฉพาะโครงการ One Village One Product OVOP ของประเทศญี่ปุ่นปี 2522 (45 ปีที่แล้ว) คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจแล้วรวมตัวกันไปขาย  ต่อมาประเทศเกาหลีก็นำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง และประเทศไทยก็เริ่มทำโครงการ OTOP ในปี 2539  ปัจจุบัน กลายเป็น วิถีหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์  (OVOP Movement)   ทำให้สินค้าจากไร่ จากนา มีการเพิ่มมูลค่าในลักษณะต่าง ๆ  เพื่อสนองความต้องการของตลาด  อย่างไรก็ตาม OVOP ยังเน้นเรื่องการผลิต  ดังนั้น เมื่อทำมาสักระยะหนึ่ง โครงการเหล่านี้ก็จะประสบปัญหาเพราะไม่สามารถมีสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากแต่ละพื้นที่ก็มีของดีเพียงบางอย่างเท่านั้น ซึ่งโครงการ OTOP ของไทยก็กำลังเจอปัญหาเรื่องนี้ 

อย่างไรก็ตามในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา social media ที่ใช้ง่ายขึ้น ภาพของเกษตรกรขายสินค้าตรงไปถึงผู้บริโภค จึงเริ่มเกิดขึ้น มูลค่าการค้าสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นในลักษณะต่าง ๆ ระบบการชำระเงิน การขนส่ง การคืนของเริ่มถูกนำมาสร้างมูลค่าให้สินค้าเกษตรทั่วทั้งประเทศ   เมื่อรู้แล้วว่าผู้บริโภคต้องการอะไร และจะจัดส่งไปได้อย่างไร คำถามในขณะนี้คือจะผลิตสินค้านั้นอย่างไรให้ดีและต้นทุนถูก จะทำกำไรได้อย่างไร รวมทั้งการบริหารจัดการด้านการเงิน ภาษี ปฎิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ การรักษาสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคม และ มีระบบธรรมาภิบาลที่ดี  

ลูกค้าของสินค้าเกษตรของไทยอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียซึ่งจำนวนประชากรกลุ่มรายได้ปานกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  World Economic Forum ทำนายว่า จำนวนผู้มีรายได้ปานกลาง ในเอเชีย จะเพิ่มขึ้น จาก 2 พันล้านคนในปัจจุบัน เป็น 3.5 พันล้านคนในปี 2573 (2030) การบริโภคสินค้าเกษตร นอกจากเนื้อแล้ว ผัก ผลไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ ก็มีคนซื้อเพิ่มขึ้น  ดังนั้น ในเบื้องต้น ควรจะมีการศึกษาว่าสินค้าอะไรที่น่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดที่ใหน ใครเป็นคู่แข่ง แล้ววางแผนการเข้าสู่ตลาดเหล่านั้น   

ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีลักษณะทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมคล้ายกับประเทศไทย มักถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง เป็นศัตรู แต่ขณะเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีจุดหมายเดียวกัน มีหลาย ๆ อย่างที่ต้องทำด้วยกัน และ หลายๆ อย่างก็ต้องแข่งกัน การสร้างความร่วมมือที่ดีจะช่วยให้ทั้งภูมิภาคเข้มแข็ง ไม่ต้องเสียเวลามาตีกัน เอาเวลาไปบุกตลาดใหญ่ ๆ ด้วยกันจะดีกว่า 

หน้าที่และบทบาทของภาครัฐ 

บทบาทของภาครัฐที่จะช่วยให้เกษตรเข้าถึงตลาดได้โดยตรงมากขึ้นคือการสร้างระบบกฎเกณฑ์ มาตรฐาน การตรวจสอบคุณภาพ อำนวยความสะดวกแก่ให้การซื้อขายโดยตรงระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภคเกิดขึ้นได้โดยสะดวก  ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ส่งออกไปทั่วโลก

บทบาทหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนา (Research and Development) ซึ่งในอันดับแรกคือวิจัยเพื่อสร้างระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรต่าง ๆ ระบบวิธีการตรวจสอบ  และการเจรจากับต่างประเทศ งานเหล่านี้เอกชนทำเองไม่ได้  ปรับปรุงและพัฒนาระบบมาตรฐานของสินค้าที่ประเทศไทยส่งออก เช่น ทุเรียน ลำไย มังคุด เป็นต้น โดยสร้างทีมของมีนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในมาตรฐานสินค้าสำคัญเหล่านี้เพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่จะใช้ในการเจรจากับต่างประเทศและพัฒนาคุณภาพของสินค้าของไทยให้อยู่ในสูงซึ่งจะเป็นการรักษาตลาดในระยะยาว  บุคคลากรเหล่านี้จะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่สำคัญของประเทศ  ต้องมีระบบการดูแลเป็นพิเศษ 

โดยสรุป ภาคเกษตรของไทยเริ่มจากการเป็นพระเอก ต่อมากลายเป็นผู้ร้ายและตกอับ รอรับความช่วยเหลือ ในอนาคตภาคเกษตรคงไม่สามารถกลับเป็นพระเอก เพราะ คงแข่งกับ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ได้ แต่เป็นตัวรองที่มีของดีและขายสินค้าที่คนซื้อชอบและยอมจ่ายค่าคุณภาพ  กระทรวงเกษตรฯควรให้มีศึกษาและวางแผนพัฒนาเกษตรของสินค้าที่มีศักยภาพและประสานกับหน่วยงานอื่น ๆ   

ส่งบทความคอลัมน์ เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ สําหรับ
ดร สุทัศน์ เศรษฐ์บุญสร้าง
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปลี่ยนก้อนหิน เป็นดอกไม้..เปลี่ยนความขัดแย้ง เป็นความปรองดอง หลอมรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย พาประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า…..

ปีแล้วปีเล่าที่ประเทศอันเป็นที่รักของเรา ต้องติดหล่ม จมอยู่กับความขัดแย้ง และทิ่มแทงกันด้วยถ้อยคำกร้าวร้าวรุนแรง แบ่งฝักฝ่ายขว้างปาความเกรี้ยวกราดใส่กัน ด้วยเหตุจากความเห็นที่แตกต่างกัน และช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่หัวใจอย่างยิ่ง

ตลาดหุ้นกู้ กับ การสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

นช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทเอกชนเข้ามาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้กันมากขึ้น ตลาดหุ้นกู้จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีมูลค่าคงค้างราว 4.5 ล้านล้านบาท  จำนวนบริษัทที่ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนก็เพิ่มขึ้นมาก  ไม่จำกัดอยู่เพียงบริษัทขนาดใหญ่เหมือนแต่ก่อน  แต่มีทั้งบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น

โหมโรงของคอร์รัปชันรูปแบบใหม่ในโลกปัจจุบัน

การคอร์รัปชันเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่หยั่งรากลึก แพร่กระจาย และบ่อนทำลายความไว้วางใจที่มีต่อรัฐบาล อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน และขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศในทุกมิติ เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป โลกเข้าสู่ทศวรรษใหม่ การคาดการณ์ถึงวิวัฒนาการของการคอร์รัปชันเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการคอร์รัปชันสมัยใหม่จะทำให้ทุกภาคส่วน สามารถพัฒนามาตรการรับมือที่มีประสิทธิผล

การพัฒนาเด็กปฐมวัย: สำคัญอย่างไร และควรทำอย่างไร?

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ยังเล็กเกินไปสอนอะไรก็ยังไม่ได้ ทำอะไรยังไม่เป็น และต้องรอนานมากกว่าจะเห็นผล? เป็นคำถามที่ผมได้รับมาตลอดช่วงเวลาเกือบสิบปี ที่พยายามพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย สังคมไทยมักให้ความสำคัญกับการเรียนในระดับประถมและมัธยมมากกว่า ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้บุตรหลานได้ติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดังๆ หรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้บริหารการศึกษาระดับประเทศไปจนถึงระดับโรงเรียนจึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย

ปฎิรูปการศึกษา: กุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ไม่ทราบจะเรียกว่าเป็นวิกฤตได้ไหม เมื่อผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA ประจำปี 2565 ของนักเรียนไทยออกมาต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ในทุกทักษะ ทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน