คนเถื่อนที่ไร้ธรรม .. ในวิกฤตการณ์โลกเดือด!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะวิกฤตการณ์ดินฟ้าอากาศแปรปรวน ก่อเกิดสภาวะโลกร้อน (Global warming) อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจากภาวะเรือนกระจก (Greenhouse effect) ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการเผาทำลายที่ขาดความรับผิดชอบ ไม่รู้ไม่เข้าใจในผลตอบแทนคืนกลับของคนเรา โดยเฉพาะการเจริญเติบโตที่ขาดดุลยภาพในสังคมอุตสาหกรรม.. ที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นหลักในการเผาไหม้ เพื่อให้ได้พลังงานมาใช้สอย แต่มิได้คำนึงถึงส่วนที่ตกค้างกลายเป็นมลภาวะจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลุ่มก๊าซต่างๆ

เมื่อสอดคล้องกับการตัดไม้ทำลายป่าภูเขา ที่ขาดการควบคุมดูแลโดยวิถีธรรมชาติ มีการเผาต้นไม้ใบหญ้ากันมากขึ้นของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น ธรรมชาติจึงผันแปรไปจากภาวะปกติจากที่ค่อยเสื่อมถอย.. กลายเป็นเสื่อมสลายอย่างฉับพลัน ไร้การสร้างภาวะทดแทน เพื่อรักษาระบบนิเวศไว้ไม่ให้เสียสมดุล

วิกฤตการณ์ดินฟ้าอากาศ.. และพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต-ไม่มีชีวิต จึงเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิด ภาวะโลกรวน.. ดังห้วงเวลาเดือนเมษายน-พฤษภาคมในปีนี้ ที่อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้นกว่าปกติจนเกิด ภาวะโลกร้อน.. ที่กำลังแสดงอาการกำลังเข้าสู่ ภาวะโลกเดือด แม้แต่ประเทศไทยของเราก็หนีไม่พ้น เมื่อทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาคใดๆ ที่ต้องประสบภาวะโลกร้อนอย่างไม่ต่างไปกว่ากัน

สภาวธรรมในความเป็นวิกฤตการณ์ดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนดังกล่าว กำลังตอบคำถามในเรื่อง กฎเกณฑ์ของกรรม.. ในความหมายของ กรรมนิยาม ที่ควบคุมโดย ธรรมนิยาม ที่นำไปสู่การสรุปผลว่า..

“..ในที่สุด สิ่งต่างๆ ที่มนุษยชาติได้กระทำไว้ต่อธรรมชาติ.. ต่อโลกใบนี้ กำลังส่งผลคืนกลับสู่เจ้าของการกระทำนั้นๆ.. เพื่อแสดงอำนาจแห่งธรรมว่า.. เหนืออำนาจทั้งปวงแท้จริง!!”

ดังเช่น สภาวะเรือนกระจก ซึ่งเกิดจากการปล่อยก๊าซพิษต่างๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมทุกรูปแบบ.. การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์สมรรถนะสูงทางทหาร ที่สามารถสร้างพลังทำลายได้สูง.. ตลอดจนถึงการทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ไม่ว่า ป่าไม้ ภูเขา ต้นน้ำลำธาร ทะเล มหาสมุทร เพื่อให้ได้ซึ่งความต้องการหรือสนองตอบความประสงค์ของมนุษยชาติ.. กลายเป็นจำเลยของวิกฤตการณ์โลกร้อนแท้จริง ที่ทุกฝ่ายต้องศึกษาอย่างจริงจัง

ภาวะการสูญเสียสมดุลในวงจรธรรมชาติจึงเกิดขึ้น ดังเช่น แสงอาทิตย์ที่ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลก ที่มีปริมาณความเข้มข้นมากขึ้น.. จนทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้น.. และมีแนวโน้มจะสูงมากขึ้นๆ ในแต่ละปี ดังปรากฏการณ์ในปีนี้ที่ทุกคนได้สัมผัสถึง ปัญหาของสภาวะเรือนกระจก.. ที่ชาวโลกหลายกลุ่ม หลายคณะ.. กำลังรณรงค์ให้ชาวโลกได้ร่วมมือกันแก้ไข.. ก่อนจะเข้าสู่จุดวิกฤตที่ยากยิ่ง..

ในวิถีทาง โลกศึกษา.. นักวิทยาศาสตร์.. นักวิชาการทุกสาขา สรุปความเห็นตรงกันว่า ชาวโลกจะต้องร่วมมือกันลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการปล่อยลงไปจากปัจจุบันให้ได้ทั้ง ๖ ชนิด ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), ก๊าซมีเทน (CH4), ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน (HFCs) และก๊าซ SF6 (ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์).. ทั้งนี้ จะต้องแก้ไขด้วยการให้การศึกษาถึงปัญหาดังกล่าว เพื่อแสดงให้เห็นโทษภัยอันตรายของ สภาวะเรือนกระจก ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ทุกภูมิภาค เพื่อนำมาสู่ความร่วมมือ.. ร่วมแรง ร่วมใจ ในการแก้ไขป้องกันปัญหาดังกล่าว

โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก ภาวะโลกร้อน ที่จะส่งผลต่อทุกมิติของโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม.. ที่เชื่อมโยงเป็นลูกโซ่.. ส่งผลต่อทุกชีวิต.. ทั้งทางตรงและทางอ้อม สุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งบัดนี้ ทุกชีวิตได้รู้แจ้งประจักษ์ด้วยตนเองว่า.. โลกนี้ นอกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว.. นอกนั้นไม่มีอะไรเลย.. จริงๆๆ!!

เมื่อรวมความลงว่า โลกคือความทุกข์ที่เกิด.. และทุกข์ที่ดับไปแล้ว.. ตามแนวศึกษาของพุทธะ จึงเป็นเหตุปลุกใจให้ตื่นตระหนักรู้ขึ้นมาว่า.. แท้จริง โลกก็คือชีวิต ชีวิตก็คือโลก.. ที่แสดงในรูปสภาวธรรมอันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลงและสูญสิ้นไปตามเหตุปัจจัย ที่แปรปรวนและดับสิ้นไป

โลกคือชีวิต.. ชีวิตคือความทุกข์ เพราะฉะนั้น โลกคือความทุกข์ ที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปจับยึดถือในชีวิตที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ

ความผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ.. ที่เรียกว่า ความรู้ผิด ความเห็นผิด หรือ อวิชชา.. จึงเป็นมูลการรากเหง้าของความทุกข์ ที่เกิดจากการไม่รู้ไม่เข้าใจในความจริงของธรรมชาติ.. ที่เรียกความจริงดังกล่าวที่เป็นธรรมดา ว่า ธรรม!!

ความผิดเพี้ยนไปจากธรรม.. หรือ วิปลาสธรรม จึงเป็นอาการธรรมลักษณะของอวิชชา.. ที่นำไปสู่ สัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส และทิฏฐิวิปลาส

จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า.. แล้วเราทั้งหลาย หรือสัตว์ทั้งหลาย เกิดวิปลาสขึ้นมาเมื่อไร.. ดำเนินมานานหรือยัง.. และจะแก้ไขความวิปลาสกันอย่างไร!?

การศึกษาทางพุทธศาสนา.. จึงอุบัติเกิดขึ้นตรงนี้.. ตรงที่จะต้องศึกษาให้รู้แจ่มแจ้งในความเป็นจริงที่เป็นธรรมดา โดยสรุปรวมลงที่ต้องพัฒนาจิต ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเป็นธรรม.. เพราะปัญหาทั้งปวง.. ความทุกข์ทั้งปวง เกิดขึ้นที่ จิตวิปลาสธรรม จึงต้องฝึกอบรมจิตให้สิ้นความ วิปลาสธรรม..

การพิเคราะห์ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่า จิตวิปลาสเพราะอะไร หรือ อะไรทำให้จิตวิปลาส.. จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องศึกษาให้เข้าใจ จะได้แก้ปัญหาได้ตรงรากเหง้าของปัญหา.. หรือแก้ปัญหาได้ตรงเหตุแห่งปัญหา

พระพุทธศาสนาจักเป็นศาสนาเดียวที่วางหลักสูตร จิตศึกษา ไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ด้วยพระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการนำเรื่อง จิตวิญญาณ มาเป็นหัวข้อศึกษา เพื่อการรู้จักธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้องตรงธรรม แม้ในปัจจุบัน นักวิชาการทางโลกศึกษา ยังเข้าใจผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงของจิต.. จึงไม่แปลกที่โลกวัตถุ.. จะแก้ไขในแนวทางวัตถุนิยม ซึ่งแตกต่างจากจิตวิญญาณฝ่ายธรรมนิยม.. ที่นำหลักสัจธรรมในธรรมชาติ มาเป็นเครื่องมือแก้ไขหรือพัฒนาจิต เพื่อการสร้างภูมิปัญญาให้เกิดขึ้น ที่จะนำไปสู่การพัฒนาจิตให้ละขาดสิ้นซึ่งกิเลส.. โดยเชื่อมั่นอย่างรู้เข้าใจในธรรมชาติว่า.. ตราบใดที่จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส ความวิบัติจากธรรมจักต้องเกิดขึ้น เพื่อให้รับผล โทษ ทุกข์ ภัย อันเกิดจากความผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ

การพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส.. จึงเป็นหัวใจของการศึกษาที่ประกาศเป็นหลักการของพุทธศาสนา ที่มุ่งไปสู่ จิตบริสุทธิ์ นั้นหมายถึง ทุกปัญหาของโลก ให้กลับมาแก้ไขที่จิตใจของคนเรา ซึ่งเป็นมูลเหตุของความทุกข์ที่แท้จริงของชีวิต..

โดยพุทธศาสนาสรุปคำสั่งสอนให้มุ่งเข้าสู่ภายในตามหลัก โอปนยิโก ..​ คือ ให้กลับมาแก้ที่จิตใจของเราเอง.. ด้วยการสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นในจิตหนึ่งนั้น

ในเมื่อ..จิตนี้แหละเป็นผู้สร้างโลก.. สร้างทุกสรรพสิ่ง ทั้งมีชีวิต..ไม่มีชีวิตในโลกนี้..

ดังนั้น จึงเป็นธรรมดา.. ที่พระพุทธเจ้าของเราประทานพระธรรมคำสั่งสอน เพื่อการพัฒนาจิตเป็นเฉพาะด้วยแนวทาง มัชฌิมาปฏิปทา ที่เรียกว่า อริยมรรค อันมีองค์ธรรมแปดประการ ที่จัดเป็นยาครอบจักรวาล แก้ได้ทุกโรค!!!.

 

เจริญพร

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อุทธัจจะ .. ในวังวนแห่งการตื่นธรรม .. ยุคไอที!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย... สัทธายะ ตะระติ โอฆัง.. บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา.. โอฆะ หมายถึง ห้วงน้ำ ที่มีกระแสเชี่ยวกราก พัดพาสัตว์ทั้งหลายให้ตกไปในกระแสน้ำนั้น ยากจะข้ามฝั่งไปได้

คำนูณ ผ่าปม 2 ได้ 3 เสีย ถ้าไม่ยกเลิก MOU 2544

ความเคลื่อนไหวและการแสดงความคิดเห็นเรื่อง MOU 2544 ที่เชื่อมโยงถึงเกาะกูด, การหาแหล่งพลังงานแห่งใหม่ในพื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา ที่มีการประเมินกันว่ามีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านบาท ยั

'แก้วสรร' แพร่บทความ 'นิติสงคราม' คืออะไร?

นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกบทความเรื่อง “นิติสงคราม” คืออะไร???

อย่าได้ประมาทในธรรม.. “เมื่อใจตรง .. จะตรงใจ”..

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. เดินทางกลับมาจากอินเดีย เมื่อ ๗ พ.ย.๒๕๖๗.. ถึงกรุงเทพฯ ๘ พ.ย.๒๕๖๗ หลังจากไปร่วมประชุม “The First Asian Buddhist Summit 2024” ที่นิวเดลี งานนี้จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของรัฐบาลอินเดีย

ขึ้นต้นก็(เขียน)ผิดแล้ว ! ว่าด้วยเส้น “ละติดจูด” ที่ 11° “E” ในเอกสารแนบท้าย MOU 2544

เขียนและพูดเรื่อง MOU 2544 มาหลายปี หลากมุมมอง ล่าสุดช่วงนี้ก็จำแนกข้อดีข้อเสีย รวมทั้งส่วนที่จะได้และส่วนที่จะเสียหากเจรจาสำเร็จ ล้วนหนัก ๆ ทั้งนั้น .