อานนท์-ประธาน ศปปส. กับบทบาท ปกป้องสถาบันฯ มีใครอยู่เบื้องหลัง คอยแบ็กอัป?

พวกนี้เหยียบย่ำหัวใจคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ ศปปส.ไม่จำเป็นต้องปลุก คนไทยเขารู้สึกได้ด้วยตัวเขาเองอยู่แล้ว ซึ่งหากมีคนนำเขาก็ตาม ถ้าคุณยังไม่เลิก คุณยังเหยียบย่ำหัวใจคนไทยอยู่แบบนี้ เราออกมาเพื่อต่อต้านพวกนี้ ต่อไปก็อาจมีคนตามพวกเรา มันจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นเรื่องของอนาคต เราไม่อยากให้เกิดความรุนแรงขึ้น ศปปส.ก็พยายามเดินตามสเต็ป ตามหลักกฎหมาย...แต่ในเมื่อยังมีการเหยียบย่ำกันแบบนี้ ยังทำกันแบบนี้ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ เชื่อว่าคนไทยไม่จำเป็นต้องมีใครไปปลุกหรอก

ที่ผ่านมาหลายคนได้รู้จักและเห็นบทบาท "ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน" (ศปปส.) กับบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่อง "การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์” กันดีอยู่แล้ว แต่จากเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ไปเผชิญหน้ากับกลุ่มของม็อบทะลุงวังที่นำโดย ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน บริเวณบีทีเอสสถานีสยามฯ ทำให้หลายคนย่อมอยากรู้จัก  ศปปส.มากขึ้นว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อจากนี้จะเดินไปอย่างไร

อานนท์ กลิ่นแก้ว ประธาน ศปปส.” เล่าให้ฟังว่า ศปปส.มีการรวมกลุ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 กันยายน 2563 เหตุที่ก่อตั้ง ศปปส.เพราะตอนนั้นมีกลุ่มม็อบสามนิ้ว ที่ตอนแรกใช้ชื่อว่ากลุ่มคณะราษฎร ที่เคลื่อนไหวไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อมาพวกนี้ก็เคลื่อนไหวหนักขึ้น โดยเคลื่อนแบบเกินเลย ตามเป้าหมายที่พวกนี้เคยบอกไว้คือ ทะลุเพดาน ด้วยการเคลื่อนไหวแบบดึงสถาบันฯ ลงมา ลักษณะแบบหมิ่นสถาบันฯ พวกเราประชาชนคนไทย เราทนไม่ได้กับพฤติกรรมแบบนี้

ช่วงนั้นก็ยังไม่มีกลุ่มไหนที่มีแนวทางชัดเจนเรื่องการออกมาปกป้องสถาบันฯ พวกผมก็เลยก่อตั้ง ศปปส.ขึ้นมา ตอนนั้นผมไม่ได้รู้จักใครเลย ผมคิดขึ้นมากับเพื่อน 4-5 คน  เราก็ตั้งกลุ่มขึ้นมา แล้วก็โพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนประชาชนเข้ามาร่วมกับเรา ก็พบว่ามีคนเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก ศปปส.จำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศ บนจุดยืนคือการปกป้องสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

โดยแนวร่วม ศปปส.หลักๆ ก็มีเช่น อาชีวะราชภักดี,  กลุ่มนักรบเลือดสีน้ำเงิน โดยพวกเราจะรวมอยู่ด้วยกัน เวลาทำงานก็ทำอยู่ด้วยกัน เวลาเราจะเคลื่อนไหวอะไรเช่นไปยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องต่างๆ ก็จะมีการพูดคุยปรึกษากัน

ต่อมาปรากฏว่า พวกม็อบสามนิ้วมีการนัดเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่วันที่ 14 ตุลาคม 2563 โดยเริ่มจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วก็เคลื่อนม็อบไปตามถนนเพื่อจะไปปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล จนเกิดเหตุการณ์ขวางขบวนเสด็จฯ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 และต่อมา  ศปปส.ก็มีการเคลื่อนไหว ออกมาตอบโต้กับพวกม็อบสามนิ้วตลอดมา เช่นพอรู้ว่าม็อบสามนิ้วจัดชุมนุมหรือไปเคลื่อนไหวที่ไหน เราก็จะมีการเชิญชวนสมาชิกไปสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหว ไปฟังการปราศรัยของพวกสามนิ้ว โดยหากเป็นเรื่องเชิงการเมือง ถ้าแบบนี้เราก็ปล่อยให้เขาว่ากันไป แต่หากมีการเคลื่อนไหวปราศรัยพาดพิงสถาบันฯ ที่เข้าข่ายจาบจ้วงสถาบันฯ เราก็จะไปดำเนินการแจ้งความดำเนินคดี ก็เริ่มทำลักษณะแบบนี้ตั้งแต่ปี 2563

หลังจากนั้นกลุ่ม ศปปส.ก็มีการเคลื่อนไหวแบบตรวจสอบม็อบสามนิ้วรวมถึงกลุ่มอื่นๆ ด้วยตลอดมา หากพบว่ามีการเคลื่อนไหว ปราศรัย หรือโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันฯ ในทางลบ ศปปส.ก็เข้าไปเคลื่อนไหวยื่นเรื่องหรือไปแจ้งความให้ดำเนินคดี เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด เป็นที่สักการะที่ใครจะละเมิดมิได้ ซึ่งหลักการนี้ก็มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเมื่อเราเป็นคนไทยเราก็ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหากใครทำอะไรที่เกี่ยวกับสถาบันฯ ในทางลบ เราก็จะมีการไปแจ้งความดำเนินคดีหมด ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหน โดยหากพบว่าเข้าข่ายทำผิดกฎหมายก็จะไปแจ้งความดำเนินคดี แต่ดูแล้วหากยังไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย  ก็ใช้วิธียื่นหนังสือทักท้วงไม่เห็นด้วย

-เพราะเหตุใดโดยส่วนตัว ถึงออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องการปกป้องสถาบันฯ

สมัยผมเป็นหนุ่มๆ ผมก็ทำงานตามปกติ แล้วสุดท้าย ผมก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำหลายปีมาก ศาลตัดสินจำคุก 15 ปี แต่ผมติดอยู่จริงๆ ประมาณ 5 ปี เพราะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากในหลวงรัชกาลที่ 9 และได้รับการพักโทษ สมัยวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วผมก็ได้ออกมาจากเรือนจำ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผมก็เลยตั้งใจอย่างที่สุดด้วยการทำดีถวายพระองค์ ทำอย่างไรก็ได้ ผมจะทำให้กับราชวงศ์จักรี

ตัวผมเองมีอาชีพรับเหมาตกแต่งภายใน เมื่อผมพอมีเงินที่จะช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่าผม ผมก็จะไปช่วย  เพราะผมเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมากในการช่วยเหลือประชาชน แต่ผมก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง  ก็อยากจะทำ ก็มีการรวมกลุ่มกัน อย่างเมื่อก่อนขับมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ไปช่วยประชาชนตามจุดต่างๆ ต่อมาผมก็เห็นการเมืองมีการดึงสถาบันฯ เข้ามาการเมืองหลายครั้ง มันก็ฝังๆ มาตลอด

ปัจจุบันผมประกอบอาชีพเป็นผู้รับเหมาตกแต่งภายใน ทำงานมีรายได้ก็เก็บไว้ใช้ดำเนินชีวิตสำหรับตนเองและครอบครัว ไม่ให้ตัวเองและครอบครัวลำบาก แล้วก็นำรายได้อีกส่วนหนึ่งมาใช้ในการเคลื่อนไหว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับ ศปปส. เช่น ค่าอาหาร ค่ารถ สำหรับน้องๆ ในศปปส. ก็ถือว่าตอนนี้ผมและครอบครัวไม่ได้ลำบากอะไร

สำหรับการเคลื่อนไหวของ ศปปส.ต่อจากนี้ ต้องบอกว่าที่ผ่านมาเราจะเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ เช่น แต่ละวันเราจะติดตามมอนิเตอร์การเคลื่อนไหวต่างๆ ของพวกม็อบสามนิ้ว ก็จะมีการเก็บข้อมูลเก็บหลักฐานต่างๆ  แล้วก็ไปแจ้งความดำเนินคดีหากเห็นว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ส่วนการเคลื่อนไหวตามพื้นที่เราก็จะทำอย่างเร็วมาก จนทีมงานยังบ่นกับผมเลยว่าไม่ได้ตั้งตัวเลย เพราะพอนึกจะทำนึกจะเคลื่อนไหวก็ทำเลย สรุปก็คือ ศปปส.จะเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ ตามทิศทางลม บนจุดยืนคือการปกป้องสถาบันฯ

จุดเริ่มต้น ศปปส. คู่แค้นเบอร์ต้นๆ กลุ่มสามนิ้ว

ทั้งนี้กลุ่ม ศปปส.เริ่มจะเป็นที่รู้จักของสังคม ก็จากเหตุการณ์ที่กลุ่มม็อบสามนิ้วมีการเคลื่อนไหวนัดชุมนุมใหญ่เมื่อ 14 ตุลาคม 2563 ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่วันดังกล่าวทำให้เกิดคดีขวางขบวนเสด็จฯ ขึ้น ซึ่งรายละเอียดของเหตุการณ์วันดังกล่าว “อานนท์-ประธานศปปส.” เล่าให้ฟังว่า

เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2563 กลุ่มม็อบสามนิ้วที่ตอนนั้นเรียกตัวเองว่าคณะราษฎร จัดชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน พวกผมก็มีการนัดกันไปรอรับเสด็จในหลวง พระราชินี ที่จะเสด็จฯ ไปวัดพระแก้ว เพื่อไปทำพระราชพิธี

...คือเราก็ทราบข่าวว่าพวกนี้จะมีการเคลื่อนการชุมนุมด้วยการเดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาที่บริเวณด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เส้นทางถนนราชดำเนินกลาง ที่จะต้องผ่านสะพานผ่านฟ้าฯ กลุ่มม็อบสามนิ้วเวลานั้นก็อ้างว่าจะไปทำเนียบรัฐบาล แต่พวกเรา ศปปส.กังวลใจว่าพวกนี้จะเดินไปที่พระบรมมหาราชวัง เราก็เลยไปปักหลักรอพวกนี้ตรงสะพาน แต่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ไปคอยควบคุม คอยดันไม่ให้ผ่านมาทางสะพานผ่านฟ้าฯ ก็ทำให้พวกม็อบสามนิ้วเลยเปลี่ยนเส้นทาง โดยเคลื่อนไปทางถนนนครสวรรค์  แล้วจะไปนางเลิ้ง สะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อเดินมายังบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล

ผมก็เห็นว่าพวกนี้เหวี่ยงเส้นทางไปทางถนนนครสวรรค์ ผมก็เลยรวมพวกจนได้มา 20 กว่าคน ไปดักรอตรงสามแยกนางเลิ้ง แต่การเคลื่อนม็อบของพวกกลุ่มสามนิ้วในวันดังกล่าวใช้เวลาการเดินเท้านานมาก เพราะทางตำรวจมีการใช้รถกั้นทางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อไม่ให้เดินผ่านได้สะดวก แต่ท้ายสุดพวกนี้ก็ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาเหมือนกองทัพมด โผล่มาจากจุดต่างๆ จนล้อมพวกผม ศปปส.ไว้จนหมด

และเมื่อถึงช่วงเย็น ขบวนเสด็จฯ ของสมเด็จพระราชินีเสด็จฯ ผ่านสะพานชมัยมรุเชฐ ก็จะมีการพยายามขวางขบวนเสด็จฯ โดยเราทราบมาแล้วว่าจะมีเหตุการณ์ขวางขบวนเสด็จฯ โดยพวกม็อบสามนิ้วมีการรวมตัวกันบริเวณถนนเพื่อจะกรูกันเข้าไปที่ขบวนเสด็จฯ ตอนนั้น ศปปส.ที่ตอนแรกก็คล้องมัดแขนกันอยู่ แล้วก็พร้อมใจกันส่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ดังๆ เพื่อกลบเสียงของพวกม็อบสามนิ้ว  และมีมอเตอร์ไซค์พยายามจะขับพุ่งเข้าหาขบวนพระที่นั่ง  แต่ผมก็นำด้ามธงที่ผมถือขวางไว้และกระโดดเกาะ ไม่ให้ผ่านไปถึงได้ และมีการตะลุมบอนกันอยู่ตรงนั้น จนขบวนเสด็จฯ ผ่านไป

แต่หลังจากนั้นกลุ่ม ศปปส.กับกลุ่มม็อบสามนิ้วก็ยังมีการเผชิญหน้ากันอยู่ พวกผมที่น้อยกว่าก็โดนพวกนี้ไล่ตี โดยบางคนอย่างผมก็ต้องเข้าไปอยู่ที่สนามม้านางเลิ้ง จนต่อมาพวกผมก็ออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย และวันรุ่งขึ้นก็ไปแจ้งความกับพวกนั้น

 ซึ่งคดีดังกล่าวก็ถือเป็นคดีแรกที่ ศปปส.เริ่มใช้วิธีแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มม็อบสามนิ้ว จนเป็นคดีความมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญา (คดีของนักกิจกรรมและประชาชนรวม 5 ราย เช่น เอกชัย หงส์กังวาน และประชาชนอีก 2 คน  ที่ถูกฟ้องในข้อหาประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110, ข้อหามั่วสุมกันโดยใช้กำลังประทุษร้ายทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมืองฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215, กีดขวางทางสาธารณะ และกีดขวางการจราจร) ซึ่งเป็นคดีที่มีการสืบพยานกันหลายคน และเป็นช่วงที่โควิดเริ่มระบาดหนัก ผมเองก็ไม่ได้ไปสืบพยาน ทราบว่าได้มีการตัดพยานหลายคนออก จนสุดท้าย ศาลอาญาก็มีคำพิพากษายกฟ้อง (28 มิถุนายน 2566)

ซึ่งเราก็ยอมรับในคำพิพากษา แต่เราก็เจ็บปวดหัวใจกับเหตุการณ์วันนั้นจริงๆ และต่อมาอีกสองเดือน ผมก็ไปตามเรื่องที่สำนักงานอัยการสูงสุด เขาก็แจ้งว่าได้มีการยื่นอุทธรณ์คดีไปแล้ว

อานนท์-ประธาน ศปปส.” กล่าวถึงการเคลื่อนไหวไปแจ้งความดำเนินคดีกับพวกทำผิดมาตรา 112 ของศปปส.ว่า ที่ผ่านมาสมาชิกกลุ่ม ศปปส.ก็มีการเคลื่อนไหวไปแจ้งความดำเนินคดีกับพวกที่เราเห็นว่า กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เยอะมาก และบางคดีเมื่อไปถึงขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรม ผมกับสมาชิกก็ไปเป็นพยานในคดี รวมๆ แล้วก็น่าจะเป็นร้อยคดี

โดยคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็มีหลายคดี แต่ว่าคดีที่พิจารณาไปแล้วตัดสินไปแล้วก็มี โดยเป็นคดีที่แจ้งความเอาผิดนักเคลื่อนไหวม็อบสามนิ้ว แล้วก็ยังมีคดีที่แจ้งความเอาผิดนักการเมืองด้วยหลายคน โดยบางคดีก็มีตัดสินไปแล้วและอยู่ในเรือนจำก็มี อย่างบางคดีคนอื่นไปแจ้งความ แต่ก็มีสมาชิกใน ศปปส.ไปเป็นพยานในคดีด้วย เช่นคดีที่มีการร้องเอาผิด ไอซ์-รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล ซึ่งคดีดังกล่าวคนที่ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคือ นพดล พรหมภาสิต (ประธานศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคม หรือ ศชอ.)  เพราะการสืบพยานในคดีเหล่านี้ บางทีก็ต้องการพยานที่มาจากประชาชน ทาง ศปปส.ก็ส่งคนไปเป็นพยานในคดีดังกล่าว

สำหรับคดี 112 ที่มีประชาชนไปแจ้งความตามสถานีตำรวจต่างๆ พอแจ้งความเสร็จจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองของตำรวจ หากเรื่องผ่านการสอบสวนก็จะดำเนินไป เช่น พนักงานสอบสวนก็จะไปสอบถามความเห็นนักวิชาการ ประชาชน แล้วก็พิจารณาว่าจากพยานหลักฐานต่างๆ จะสามารถสั่งฟ้องคดีได้หรือไม่ หากสั่งฟ้องถึงค่อยส่งเรื่องไปที่อัยการ ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ก็เลยอาจทำให้คดีที่มีการแจ้งความเอาผิดมาตรา 112 เลยอาจจะช้า ยิ่งหากจำเลยมีหลายคน กระบวนก็จะช้าขึ้นไปอีก เพราะบางทีจำเลยมาเข้าสู่ขั้นตอนทางคดีไม่พร้อมกัน

ที่ผ่านมา ศปปส.มีการเคลื่อนไหวไปแจ้งความดำเนินคดี กับพวกที่เราเห็นว่าเข้าข่ายกระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เยอะมาก

โดยเฉพาะในช่วงปี 2564-2565 ซึ่งบางคดีการไปแจ้งความกับตำรวจต้องใช้เวลาทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงเกือบเที่ยงคืน เราพยายามอย่างมากเพื่อต้องการที่จะทำให้คนพวกนี้หยุดการจาบจ้วงสถาบันฯ เราจะไม่ให้คนเหล่านี้เหยียบย่ำหัวใจของพวกเรา เพราะเขาไม่ได้มีการบังคับให้รักหรือไม่ชอบ โดยหากรักก็เทิดทูน แต่หากไม่ชอบก็อยู่เฉยๆ ก็ได้  ไม่ใช่มาวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหาย แบบนี้มันไม่ได้ แล้วยังมาใช้วิธีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช่นเรื่องภาษี  เพื่อหวังให้ทะลุเพดานอย่างที่พวกนั้นต้องการ

คดี 112 พุ่งพรวด เหตุ จนท.บ้านเมืองย่อหย่อน

-คิดว่าทำไมช่วงหลังคนทำผิดคดี 112 มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่?

ความคิดของผม คือเริ่มต้นมาจากรัฐบาล ผู้มีอำนาจ ผู้ใช้กฎหมาย ผู้บังคับใช้กฎหมาย

โดยเฉพาะผู้ใช้กฎหมายอ่อนแอ เพราะกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายมีความเข้มแข็ง แต่คนที่บังคับใช้กฎหมายอยู่ในสภาพอ่อนแอ ก็เปิดทางให้องค์กรต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงการเมืองของประเทศไทยได้

ที่ผ่านมา ศปปส.ก็เคยเคลื่อนไหวไปยื่นหนังสือ ยื่นเรื่องร้องเรียนกับรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ว่ามันเกิดเหตุการณ์องค์กรระหว่างประเทศ พวกเอ็นจีโอต่างๆ เช่น แอมเนสตี้ ประเทศไทย เพื่อให้รู้ว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้  ที่อาจจะมีใครเข้าไปเป็นท่อน้ำเลี้ยง ก็เคยไปเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจ ผู้บังคับใช้กฎหมาย ไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะมันก็เหมือนกับท่อน้ำประปา หากมีการตัดท่อออกแล้วจะเอาน้ำที่ไหนมาใช้ แต่เรียกร้องไปแล้วเขาก็ไม่ทำอะไร จนปล่อยให้องค์กรพวกนี้เข้ามาแทรกซึมในประเทศไทย ปล่อยให้นักวิชาการไปพูดปลูกฝังความคิดในมหาวิทยาลัย นักการเมืองเข้าไปพูดตามโรงเรียนต่างๆ ผมเจอมาหมดแล้ว

ผมเคยเอาเรื่องเหล่านี้ไปร้องเรียนมาหมดแล้ว ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้เขารู้ว่ามันมีความเคลื่อนไหว มีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ แล้ว เลยทำให้พวกผมออกมาต่อต้าน ไปไล่แอมเนสตี้ เพราะมันมีเรื่องแบบนี้จริงๆ

ทั้งหมดผมมองว่าเป็นเพราะรัฐบาลอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะหากยังปล่อยให้เกิดเหตุแบบนี้ มีท่อน้ำเลี้ยงเข้ามา มีนักวิชาการ มีครูบาอาจารย์แทรกซึมเข้าไปตามโรงเรียน มหาวิทยาลัย ยิ่งช่วงปี 2564-2565 ที่โควิดระบาดหนัก นักเรียนนักศึกษาหยุดพักการเรียน ต้องเรียนที่บ้านทางระบบออนไลน์ ก็ทำให้พวกนี้แทรกซึมเข้าไปตามโซเชียลมีเดีย เด็กบางคนไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน แล้วอยู่ที่บ้าน จนได้ไปสื่อสารพูดคุยกับนักการเมืองบางกลุ่ม ที่ภายนอกอาจดูมีภาพลักษณ์ดี พอเด็กๆ รุ่นใหม่เหล่านี้ได้รู้จักพูดคุยกับนักการเมืองโดยตรง ก็เลยเกิดความรู้สึกบางอย่าง คิดว่าได้เป็นฮีโร่แล้ว ก็เอาสิ่งที่สื่อสารกับนักการเมืองไปเผยแพร่ต่อทางโซเชียลมีเดีย ส่งต่อๆ กันไป มันก็เลยเกิดพวกนี้ขึ้นมาเยอะมาก ทำให้มีคนเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เยอะมาก ช่วงปี 2564-2565 แต่ช่วงปี 2566 เริ่มเบาลง

องค์กรต่างชาติ พรรคการเมือง อาจจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ มันต้องมีอยู่แล้วคนอยู่เบื้องหลัง ทั้งนักการเมืองและคนไทยที่คิดชั่ว ร่วมมือกับนักการเมืองชั่ว และองค์กรต่างชาติ  ร่วมกันส่งท่อน้ำเลี้ยงเข้าไปเพื่อต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศไทย...

องค์กรต่างชาติพรรคการเมือง ท่อน้ำเลี้ยงกลุ่มเคลื่อนไหว 112

-คิดว่ามีองค์กรระหว่างประเทศหรือพรรคการเมือง อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ต่อต้านเรื่องมาตรา 112 ของพวกม็อบสามนิ้วหรือไม่?

มันต้องมี อย่างที่บอกคือทั้งองค์กรต่างชาติ พรรคการเมือง อาจจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ ผมถามว่าเด็กเยาวชน พวกอายุขนาด 14-15 ปี หรือมากกว่านั้นพวก 17-18 ปี ไปเอาเงินที่ไหนมาเคลื่อนไหว งานการยังไม่ได้ทำ ไม่ได้มีรายได้  ไปดูที่บ้านบางคนก็เหมือนกับเป็นครอบครัวแบบหาเช้ากินค่ำ แต่ไปนำเงินจากที่ไหนมาเคลื่อนไหว ไปเอาเงินจากที่ไหนมาม็อบ มาจัดม็อบ บางคนตอนแรกก็ไม่ได้มีฐานะอะไร  แต่ต่อมามีเงินในบัญชีหลายล้านบาท

ดังนั้นเรื่องนี้ที่ถามมันต้องมีอยู่แล้ว คนอยู่เบื้องหลัง ทั้งนักการเมือง และคนไทยที่คิดชั่ว ร่วมมือกับนักการเมืองชั่ว และองค์กรต่างชาติ ร่วมกันส่งท่อน้ำเลี้ยงเข้าไปเพื่อต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศไทย

-คิดอย่างไรที่พรรคการเมืองอย่างพรรคก้าวไกล  เสนอเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยให้พ่วงล้างผิดคนที่โดนคดี 112 ด้วย และหากมีการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวที่สภาฯ ศปปส.จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร?

เป็นเรื่องที่ ศปปส.ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่พรรคก้าวไกลนำเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ไปหาเสียงเลือกตั้ง แล้วตอนนี้พอรู้ว่าคงแก้ไขหรือยกเลิกไม่ได้ ก็มาคิดจะนิรโทษกรรมคนทำผิดมาตรา 112 ที่ทำผิดไปแล้ว ที่ก็ลองดู หากคิดจะนิรโทษกรรมคดี 112 ที่เชื่อว่าหากเป็นแบบนั้น ไม่ใช่แค่กลุ่ม ศปปส. แต่คนไทยที่รักชาติ รักสถาบันฯ จะต้องมีการรวมตัวกันแน่นอน  ผมว่ามันอาจจะมีเรื่องที่น่ากลัวหากมีการนิรโทษกรรม เพราะฉะนั้นนักการเมือง ผมขอเตือนว่าอย่าไปคิดนิรโทษกรรมให้กับคนที่ทำผิดกฎหมาย

เหตุการณ์ปะทะ 10 ก.พ. พวก 'ตะวัน' วางแผนกันมาอย่างดี

-เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา เหตุใดศปปส.ถึงนัดรวมตัวไปทำกิจกรรมกันที่บีทีเอสสยามฯ?

จุดเริ่มก็คือ เมื่อเรามีการตั้ง ศปปส.เมื่อปี 2563 ทางกลุ่มก็มีการติดตาม คอยดูความเคลื่อนไหวของพวกม็อบสามนิ้วมาตลอด โดยเฉพาะหลังการชุมนุมเมื่อ 14  ตุลาคม 2563 ที่มีการขวางขบวนเสด็จฯ ซึ่งพวกนี้ก็มีการเคลื่อนไหวแบบนี้มาตลอดในช่วงที่ผ่านมา เช่นเวลามีขบวนเสด็จฯ พวกนี้ก็ใช้วิธีไปยืนใกล้ๆ แล้วยกสามนิ้วขึ้นมา พวกผมก็ติดตามเก็บข้อมูลตลอด บางเหตุการณ์ก็มีการไปร้องเรียน แจ้งความดำเนินคดี ไปหมดทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือสถานีตำรวจนครบาลตามที่ต่างๆ ศปปส.เราไปมาหมด เพราะ ศปปส.มีการติดตามเก็บข้อมูลตลอด

ต่อมาหลังเกิดกรณีรบกวนขบวนเสด็จฯ เมื่อ 4 ก.พ.  2567 ที่ผ่านมา ที่พวกม็อบทะลุวังไปบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯของกรมสมเด็จพระเทพฯ มีการขับรถไล่จี้ขบวนเสด็จฯ ซึ่งมันเหิมเกริมมาก ทำให้พวกเรานึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 14 ตุลาคม 2563 ที่พวกเรา ศปปส.ไปถูกพวกนี้ไล่ตีมา แต่เหตุการณ์รบกวนขบวนเสด็จฯ ล่าสุดทำให้พวกเราไม่พอใจ  และผมเชื่อว่าคนไทยก็ไม่พอใจเช่นกัน

พวกเราที่เป็นด่านหน้าซึ่งติดตามเรื่องเหล่านี้ ก็เห็นว่า เราต้องแสดงตัวออกมาว่าเราไม่พอใจพวกมึง ผมก็เลยไปยื่นหนังสือเพื่อให้มีการยื่นถอนประกันตัวของทานตะวัน ที่ศาลอาญาฯ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. หลังเกิดเหตุการณ์วันที่ 4 ก.พ.  เพราะตอนที่ศาลอาญาให้ปล่อยตัวชั่วคราวตะวัน ศาลวางเงื่อนไขประกันตัวไว้ แต่หลังเกิดเหตุ 4 ก.พ. ผมก็ไม่เห็น  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย เพราะผมคิดว่าการถวายความปลอดภัยให้กับในหลวง พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ต้องถวายความปลอดภัยขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นคนที่ดูแลเรื่องนี้ขั้นสูงสุดก็คือ ผบ.ตร. แต่หลังเกิดเหตุการณ์ตัว ผบ.ตร.กลับไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย หายไปเลย ไม่ออกมาขอโทษประชาชน

ทำให้วันที่ 8 ก.พ. ผมก็ไปยื่นหนังสือขอให้ ผบ.ตร.ออกมาขอโทษ ออกมาแสดงความรับผิดชอบ และให้ออกมาอธิบายกับประชาชนว่าต่อไปตำรวจจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบวันที่ 4 ก.พ.ขึ้นอีก ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด และหากเกิดขึ้นอีก ผบ.ตร.จะรับผิดชอบอย่างไร  เพราะตัว ผบ.ตร. ตำรวจ เขาต้องมีพยานหลักฐานมากกว่าประชาชนอย่างพวกผม ทางตำรวจก็ควรจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานไปยื่นต่อศาลอาญา เพื่อให้มีการถอนประกันตัวทานตะวันด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ ผบ.ตร.กลับไม่ทำอะไรเลย

ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. พวกนี้ก็โพสต์แจ้งว่า วันที่ 10 ก.พ.จะไปเคลื่อนไหวทำโพลที่บริเวณบีทีเอสสยามฯ ตอนแรก เราก็รอดูว่าทาง ผบ.ตร.จะขยับอย่างไร ก็ไม่เห็นทำอะไรเลย  ทำไมปล่อยได้ขนาดนี้ เราเคยหวังกับรัฐบาลชุดก่อน (รัฐบาลพลเอกประยุทธ์) มาแล้วครั้งหนึ่ง รวมถึงอดีต ผบ.ตร.คนอื่นๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ จนมาถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่มีพี่ชายเป็นราชเลขาธิการ เราก็มีความหวังมากว่า ผบ.ตร.จะต้องช่วยปกป้องสถาบันฯ แต่ปรากฏว่า ผบ.ตร.กลับไม่ทำอะไรเลย พวกเรา ศปปส.เช่น อาชีวะราชภักดี, กลุ่มนักรบเลือดสีน้ำเงิน ก็เลยนัดหมายไปกันเองเมื่อ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา

เมื่อไปถึงจุดนัดหมาย เราก็เจอประชาชนจำนวนหนึ่ง ที่เขาก็ใส่เสื้อเหลือง ที่ตอนนั้นเราก็มองว่าเขาคงมาร่วมสังเกตการณ์ หลังทราบว่ากลุ่มตะวันจะมีการนัดทำกิจกรรมทำโพลกัน พอใกล้ๆ เวลานัดหมาย เมื่อมีคนเริ่มมารวมตัวกัน  ตำรวจเขาก็ดันคนที่มาโดยแยกให้อยู่อีกจุดหนึ่งกับที่พวกตะวันเขาจะเคลื่อนไหว

พอ น.ส.ทานตะวันเริ่มต้นจะแถลงข่าว ก็มีประชาชน เข้าไปตะโกนด่า มีการด่าทอกัน มีการยื้อยุดฉุดกระชากกันผ่านรั้วเหล็กของสองฝั่ง พอผมหันไปเห็น ผมก็กระโดดข้ามไป แล้วก็มีฝ่าย ศปปส.ก็เริ่มกระโดดข้ามไปเพื่อไประงับเหตุ แต่ก็มีการ์ดของตะวันคอยกันไว้ไม่ให้ผมเข้าไป ผมก็เลยล็อกคอดึงออกมาเพื่อที่จะไปช่วยคนที่เขาฉุดกระชากกันอยู่  ก็มีการ์ดของตะวันที่ถือดิ้ว ที่เป็นตะบองเหล็ก ก็เอามาตี วสัน ทองมณโฑ ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักรบเลือดสีน้ำเงินปกป้องราชบัลลังก์ แนวร่วม ศปปส. หลังจากนั้นก็มีเหตุตีกันตามจุดต่างๆ วุ่นวายชุลมุนไปหมด เป็นเหตุการณ์แบบต่างคนก็ต่างทะเลาะกัน ต่างใช้กำลังเข้าใส่กัน จนต่อมาก็แยกย้ายกันไป

ต่อมาเรารู้ว่าพวกตะวันไปแจ้งความกับตำรวจที่ สน.ปทุมวัน เราก็เลยไปแจ้งความด้วยในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซึ่งเขาก็แจ้งความพวกเราข้อหานี้เหมือนกัน ทั้งที่พวกนี้ชอบพูดว่าไม่เชื่อในระบบกระบวนการยุติธรรม แต่พอมีเหตุรีบไปแจ้งความก่อนเลย ซึ่งหากแบบชัวร์ๆ ไม่ต้องแจ้งเลย ก็ต่างคนต่างไป เราก็เจ็บ เขาก็เจ็บ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างไปแจ้งความต่อกัน ก็ให้เป็นเรื่องของคดีความกันไป

เราไปกันแบบมือเปล่า แต่ของฝ่ายนั้นใช้ท่อนเหล็ก วสัน ทองมณโฑ ได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลเลย ผมก็นึกไม่ถึงว่าฝั่งตะวันจะมีการเตรียมอาวุธไปด้วย แบบนี้แสดงว่ามันมีการวางแผนกันมาอย่างดี

คือต้องเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนกับพวกนี้ พวกเรา ศปปส.เคยปะทะกันมาหลายรอบแล้ว เคยมีปัญหาถกเถียงกันมาแล้วหลายครั้งในเรื่องขบวนเสด็จฯ เพราะพวกนี้มักจะนัดหมายกันไปตามจุดต่างๆ ที่จะมีขบวนเสด็จฯ ผ่าน เราก็จะไปคอยกันไว้ไม่ให้พวกนี้เข้ามาใกล้ๆ ขบวนเสด็จฯ ได้ ซึ่งพวกนี้ทำแบบนี้หลายครั้งมาก คือหวังจะมาทำคอนเทนต์ไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ทำคอนเทนต์เสร็จ พอได้รูปเสร็จมันก็กลับ พอได้ภาพมันก็กลับ มันไม่สนใจพวกเราหรอก  แต่วันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าพวกนี้เขาเตรียมตัวมาพร้อมมาก มีการนำดิ้ว นำอาวุธมา แบบนี้ถือว่าเตรียมตัวมาพร้อมเลย แต่ว่าเราไม่พร้อม เราไปแบบมือเปล่า ก็กะว่าไปแล้วก็คงเหมือนที่ผ่านมา คือเจอหน้ากันก็เถียงกันไปมา ด่ากันด่ากันมา เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับ แต่กลายเป็นว่า รอบนี้มีการใช้อาวุธ

-คนมองว่าฝ่าย ศปปส.ไปหาเรื่องเขาก่อน ไปก่อเหตุ ใช้ความรุนแรง?

การใช้ความรุนแรงมีอยู่สองแบบ คือหนึ่งใช้ความรุนแรงทำร้ายร่ายกายกัน สองการใช้ความรุนแรงทำร้ายจิตใจกัน

การใช้ความรุนแรงทำร้ายจิตใจ ด้วยการทำกับสถาบันฯ ซึ่งใครจะละเมิดมิได้ เพราะสถาบันฯ คือที่รักและศรัทธาของคนไทย แต่พวกเขาไปละเมิดกันครั้งแล้วครั้งเล่า  มันเหิมเกริม จนไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย นี้คือการใช้ความรุนแรงต่อจิตใจของพวกเรา มันก็สะสมมาเรื่อยๆ มันก็เลยออกมาทางร่างกายของพวกเรา หากวันนั้นถ้าเราตั้งใจใช้ความรุนแรง เราก็ต้องพกอาวุธไปด้วย แต่วันนั้นเราตั้งใจจะไปดัก เพื่อไม่ให้เขาทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป อย่างที่บอกจะนัดกันทำโพล เราก็ไปคอยห้าม แต่อย่างที่เห็นเขาใช้อาวุธ แล้วถามว่าเราหรือเขาที่ใช้ความรุนแรง

เจอกลุ่มป่วนขบวนเสด็จฯ บ่อย

-ที่บอกว่าเคยไปดักพวกกลุ่มเคลื่อนไหวแนวนี้ ตามจุดต่างๆ ที่ขบวนเสด็จฯ จะผ่านหมายถึงอย่างไร?

ก็คือเราก็จะมีการติดตามความเคลื่อนไหวของพวกนี้  คอยมอนิเตอร์ เช่นมีหมายกำหนดการแล้วว่าในหลวงจะเสด็จฯ พรุ่งนี้ จะผ่านแถวราชดำเนิน คนกลุ่มนี้ก็จะนัดหมายกัน คือพอสักเที่ยงก็จะมารวมตัวกันที่ร้านแมคโดนัลด์ ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วก็มีการโพสต์บอกว่าให้มารวมตัวกันแถวร้าน เพราะถนนราชดำเนินมักจะเป็นเส้นทางเสด็จฯ พอขบวนเสด็จฯ ผ่านมา พวกนี้ก็จะทำสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของคนกลุ่มนี้ เช่นยกสามนิ้ว หรือไม่นั่ง คอยยืนทำเป็นไม่สนใจขบวนเสด็จฯ

พอเรารู้ว่าพวกนี้มักเคลื่อนไหวแบบนี้ ช่วงหลังถ้าเรารู้ว่าจะมีขบวนเสด็จฯ แล้วจะแล่นผ่านถนนราชดำเนิน พวกผมก็จะไปนั่งกันที่ร้านแมคโดนัลด์กันตั้งแต่เช้า ซึ่งพวกนี้ พอมันเห็นเรามันก็ไม่เข้ามา ก็มีลักษณะแบบนี้หลายครั้งมาก

 หรืออย่างหลังเกิดกรณี มีการพ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว  พวกผมก็ส่งคนไปคอยเฝ้า เพราะเราพอจะรู้ว่าพวกนี้พอพ่นได้ครั้งแรก ก็จะมีการไปพ่นอีก เราก็ส่งคนไปคอยเฝ้า มันก็ไม่มา มันมาทำเป็นขับรถเวียนๆ มา ทำท่าทางบางอย่าง  เราเห็นเราก็ไล่ไป หลายครั้งพอเราเฝ้าจุดหนึ่ง พวกนี้เห็น มันก็ไปโผล่อีกจุดหนึ่ง เพราะเรามีมอเตอร์ไซค์ก็ขับเวียนดู พวกนี้ก็คอยไล่ ก็เป็นแบบนี้หลายครั้ง

อย่างเมื่อเร็วๆ นี้พวกนี้ก็มีการเคลื่อนไหวรณรงค์ "ปล่อยเพื่อนเรา" โดยมีการนัดกันไปเล่นว่าวที่สนามหลวง  โดยที่ตัวว่าวมีข้อความว่าปล่อยเพื่อนเรา พวกนี้ก็จะเล่นว่าวโดยทำให้ว่าวลอยขึ้นไปสูงๆ แล้วก็ตัดสายว่าว เพื่อให้ว่าวลอยเข้าไปในสำนักพระราชวัง วัดพระแก้ว ซึ่งเราก็รู้ทางกันอยู่ พอเรารู้เราก็ไปไล่พวกนี้ ไม่ให้มันเล่น แต่ก็ไม่ได้มีเหตุอะไร ก็แค่เถียงกัน

ที่่่ผ่านมา ก่อนหน้านี้พวกผมเจอกับพวกนี้บ่อยมาก ก็ยึกยักๆ กันตลอด แต่รอบนี้เมื่อ 10 ก.พ. พวกนี้มันวางแผนมาอย่างดี มันกะไม่ถอย เตรียมอาวุธมาอย่างดี กะว่าเป็นยังไงก็เป็นกัน แต่ฝ่ายเราตอนที่ไปก็คิดแค่ว่าก็คงเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา พอเจอก็โต้เถียงทะเลาะกันเพื่อจะให้ไปทำที่อื่น

-คนวิจารณ์ว่าฝ่าย ศปปส.จะทำให้เกิดการปลุกฝ่ายขวาขึ้นมา หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อ 10 ก.พ. บางคนถึงขั้นบอกว่า เกรงจะซ้ำรอยเหตุการณ์ในอดีตแบบ 6  ตุลาคม 2519?

ผมไม่ได้ว่าผมอยากจะปลุกนะ แต่อย่างที่บอกพวกนี้ เหยียบย่ำหัวใจคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ ศปปส.ไม่จำเป็นต้องปลุก คนไทยเขารู้สึกได้ด้วยตัวเขาเองอยู่แล้ว ซึ่งหากมีคนนำเขาก็ตาม ถ้าคุณยังไม่เลิก คุณยังเหยียบย่ำหัวใจคนไทยอยู่แบบนี้ เราออกมาเพื่อต่อต้านพวกนี้ ต่อไปก็อาจมีคนตามพวกเรา มันจะเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นเรื่องของอนาคต เราไม่อยากให้เกิดความรุนแรงขึ้น ศปปส.ก็พยายามเดินตามสเต็ป ตามหลักกฎหมาย พยายามยื่นหนังสือไปถึงหน่วยงานต่างๆ หรือไม่ก็แจ้งความดำเนินคดี แต่ในเมื่อยังมีการเหยียบย่ำกันแบบนี้ ยังทำกันแบบนี้ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยไม่จำเป็นต้องมีใครไปปลุกหรอก เพียงแต่ว่าเรานำเดี๋ยวก็มีคนตาม

ส่วนที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของ ศปปส.ที่มีการเคลื่อนไหวตรวจสอบเรื่องต่างๆ เช่น ตั๋วปารีส ผมก็เคยไปยื่นต่อกรรมาธิการของสภาฯ เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องท่อน้ำเลี้ยง แต่ก็ไม่ได้มีการทำอะไร ไปสอบถามความคืบหน้า ก็บอกแค่ว่าเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอะไรแล้ว แต่ก็ไม่เห็นทำอะไร ไม่เคยหวังอะไรได้เลย

ผมบอกตรงๆ เลยนะ ไม่ได้ว่าอะไร พลเอกประยุทธ์ แต่รัฐบาลที่แล้ว มันน่าจะทำอะไรได้เยอะกว่านี้ เช่นการปลูกฝังจิตใจคนไทยใหม่ ไม่ใช่ไปสร้างแต่วัตถุ แต่ไม่สร้างคน เพราะต้องมีการปลูกฝังจิตใจของเด็กขึ้นมาใหม่ แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ สมัยรัฐบาลชุดที่แล้วผมก็ไปยื่นเรื่องหลายครั้ง เช่นเรื่องท่อน้ำเลี้ยงต่างๆ ทำหนังสือไป  แต่ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลไหนเลย

-หลังเกิดเหตุก่อกวนขบวนเสด็จฯ เมื่อ 4 ก.พ.ก็มีการพูดเรื่องให้ฝ่ายตำรวจปรับเรื่องระบบการดูแลความปลอดภัยของขบวนเสด็จฯ ให้มากขึ้น มองเรื่องนี้อย่างไร?

ผมอยากฝากไปถึง ผบ.ตร. คือทุกวันนี้ขบวนเสด็จฯ  แทบจะไม่เป็นขบวนเสด็จฯ อยู่แล้ว ผมไปรับขบวนเสด็จฯ สมัยก่อน เขาปิดถนน ก็ปิดแป๊บเดียวเอง แต่ทุกวันนี้ขบวนเสด็จฯ ไม่ได้ปิดถนนแล้ว ฝั่งโน้นรถก็วิ่ง ฝั่งขบวนเสด็จฯ ก็วิ่ง คือวิ่งคู่กันไปเลยกับขบวนเสด็จฯ

ตอนนี้ความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ แทบจะหาไม่ได้เลย  แต่นั่นอาจหมายถึงว่าพระองค์ หรือ ผบ.ตร.คงเกรงประชาชนจะเดือดร้อน ก็เลยต้องปรับไปตามยุคตามสมัย ผมก็ไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบวันที่ 4 ก.พ.ขึ้นมาอีกเลย  แต่ถ้ามีต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่เพิ่งจะมารวบรวมพยานหลักฐานหลังเกิดเหตุไปแล้วหลายวัน โดยที่ประชาชนกับประชาชนทะเลาะกันแล้ว มีคดีความกันแล้ว แล้วตอนนี้ ผบ.ตร.มาบอกว่าจะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทั้งสองฝั่ง มันก็ได้แค่นี้แหละตำรวจ

-การเคลื่อนไหวของ ศปปส.มีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือมีใครอยู่เบื้องหลังคอยแบ็กอัปหรือไม่?

ผมอยากให้มีคนอยู่เบื้องหลังผม มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้อยู่เบื้องหลังผม แต่ไม่มี.

โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คปท. ศปปส. และ กองทัพธรรม ประกาศพักชุมนุมชั่วคราว

คปท. ศปปส. และกองทัพธรรม ประกาศ พักชุมนุมชั่วคราว เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ คืนพื้นที่เพื่องานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ให้สมพระเกียรติในหลวง ยาวไปถึง 12 สิงหาคมนี้ ขณะจนท.พร้อมเคลียร์พื้นที่-บิ๊กคลีนนิ่ง 24 กรกฎาคม แต่หากมีนิรโทษสุดซอย พร้อมกลับมาปักหลักชุมนุม

แกนนำ คปท. เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งให้เลิกชุมนุม

นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ เครือข่ายนักศึกษา ประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) ให้สัมภาษณ์หลังศาลแพ่ง มีคำสั่งให้ คปท. และ กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศปปส.) ยุติการชุมนุมบริเวณเชิงสะพาน

'นักวิชาการ' วิเคราะห์ผลการเลือกสว.จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ มากกว่าเป็นผลเสีย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

ศปปส. ค้านปล่อยผีนิรโทษคดี 112 จี้ 'วันนอร์' ตั้งกก.สอบเอาผิด สส.ก้าวไกล

นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) พร้อมคณะ ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายเจษ อนุกูลโภคารัตน์ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานประสานการเมืองและรับเรื่องราวร้องทุกข์