เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. วิถีจิต วิถีชีวิต.. วิถีอวิชชา.. วิถีมิจฉาทิฏฐิ.. นับเป็นเรื่องปกติของสัตว์ที่ยึดโลกเป็นสรณะเหนืออื่นใด..
คำกล่าวที่ว่า.. สัตว์ไหลวนเวียนอยู่ในกระแสแห่งกิเลส วนเวียนอยู่ในกระแสกรรม.. กระแสวิบาก นับเป็นสัจธรรมที่เห็นได้อย่างเป็นปกติหากมีสติปัญญา..
จึงเห็นความก้าวหน้าทางวัตถุกับการถอยหลังทางจิตวิญญาณ.. ที่นับเป็นความสัมพันธ์เชิงปฏิภาค สามารถนำมาสร้างเป็นกฎ เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณหาค่าอัตราความเจริญและความเสื่อมโทรมในเชิงผกผัน.. ในแต่ละยุคสมัยได้จริง นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อเห็นเส้นกราฟที่สูงขึ้นในแกนบวก.. ของค่าความเจริญทางวัตถุนิยม.. ที่ผกผันกับค่าขยายตัวในแกนลบ.. ที่บ่งบอกความเสื่อมโทรมทางจิตใจ.. อันแสดงความเป็นจริงว่า.. ยากหาความสมดุลในสองสิ่งที่ตรงข้ามกันได้ หากขาดความเข้าใจใน มัชฌิมาปฏิปทา
จึงเห็นการกลับมาคืนชีพของ ติรัจฉานคาถา.. ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ.. และความเชื่ออย่างโง่เขลา ที่กลับคืนมาผุดบานเป็นดอกเห็ดไปทั่วมณฑลประเทศเขตแดน ที่ร่ำลือว่าเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองทางศาสนา...
“ไม่เชื่อ.. ห้ามลบหลู่” ... เป็นวจีที่กล่าวขานกันทั่ว อย่างขาดเหตุผลรองรับ เพื่อเพียงปกป้องทิฏฐิของตนมิให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งขัดแย้งต่อหลักพุทธศาสนาที่กล่าวว่า สัจธรรมนั้น ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนและท้าทายต่อการพิสูจน์... การวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร กาลใด สมัยใด.. และไม่ว่าเป็นใคร...
การปลุกเสกบุคคลให้ศักดิ์สิทธิ์ การปลุกเสกก้อนดิน เศษเหล็ก ให้เข้มขลัง.. ด้วยลัทธิมนต์ขลัง ติรัจฉาน เพื่อสร้างความเชื่อว่า สามารถทำให้บุคคล.. วัตถุ ทรงพลังได้.. จึงเป็นกระแสที่ถูกปลุกเร้ารุนแรงให้เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ไม่ต่างจากอดีต เพื่อให้กระทบ.. กระเทือน เข้าไปถึงใจกลางจิตของสัตว์ผู้มากไปด้วยความคิด.. ที่แฝงไว้กับมิจฉาทิฏฐิ
คำว่า.. คนโง่ ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนพาล
คนฉลาด ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนเจ้าเล่ห์
คนดี ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนชั่ว...
จึงเป็นคำกล่าวที่นำมาใช้เป็นคติเตือนใจได้ดียิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่นิยมเสพคบวัตถุเป็นดุจกัลยาณมิตร..
วันคืนของคนเหล่านี้จะปล่อยให้ผ่านไปกับการเสพคบวัตถุนิยม จนจิตวิญญาณยุ่งเหยิงอยู่กับกระแสไอทีที่ผิดเพี้ยนธรรมชาติ.. ไม่ว่าหลังจะงอ.. นิ้วมือจะหงิก.. สายตาจะพร่ามัว.. สมองจะสับสน.. จิตจะฟุ้งซ่านหรือหดหู่.. คับแคบหรือไม่ตั้งมั่น.. หย่อนหรือหละหลวม ยึดติดหรือยุ่งเหยิงอย่างไรก็ตาม.. คนในสังคมสมัยใหม่ของโลกวัตถุ.. ก็จะเพลิดเพลินอยู่กับ แสง สี เสียง.. สัมผัส ที่เสพคบได้ทางวัตถุเทคโนโลยี จนมึนงงอยู่กับกามวัตถุยุคไอทีที่ทรงพลัง อย่างไม่เปิดหู ลืมตา
ไอทีนิยม!! จึงมีมหันตานุภาพที่สามารถ disruption สังคมจิตวิญญาณให้วิปริตผิดเพี้ยนไปจากเดิม ได้อย่างน่าเกรงกลัวยิ่งในอิทธิพลของวัตถุเทคโนโลยีชั้นสูงเหล่านั้น ที่สามารถสร้างมายาศาสตร์เสมือนจริงได้อย่างน่าทึ่ง.. และถึงแม้จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยจิตใจของคนเรา.. แต่กลับครอบครองและทำลายจิตใจของผู้สร้างให้บรรลัยไปได้ชั่วพริบตา.. ทั้งนี้ เพราะการเรียนรู้ประโยชน์ด้านเดียว แต่มิได้เรียนรู้ในด้านตรงข้ามของสิ่งเดียวกัน ที่แสดงความเป็นโทษอันคู่กับประโยชน์นั้น.. และนี่คือความหายนะของสัตว์โลกที่ไม่เข้าใจระบบทวิภาวะ...
การเติบโตที่ขาดการควบคุมดูแล.. จึงนำไปสู่คำว่า ความเจริญที่คู่กับความเสื่อม.. ซึ่งแสดงหลักความเป็นจริงที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกเป็น ทวิภาวะ ที่แปลเป็นไทยๆ ว่า “การอยู่กันเป็นคู่” ที่แสดงความเป็นจริงของโลก...
ทวิภาวะ .. เป็นลักษณะความขัดแย้งในสิ่งผสมผสาน ที่คนในโลกทุกยุคทุกสมัยต้องเผชิญ เพื่อหาหนทางประคับประคองเกื้อหนุน เมื่อมีภาวะทำลายเกิดขึ้น.. ดังชีวิตของสัตว์ทั้งหลายที่ใช้คำว่า “เจริญวัย” กำกับวิถีชีวิต เพื่อแสดงความเป็นจริงในสิ่งหนึ่งที่มองภาวะในลักษณะความขัดแย้งที่ผสมผสานกัน จนมองดูคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกัน.. ระหว่าง ความเจริญ และ ความเสื่อม (วัย)...
พุทธศาสนา ประกาศหลักวิธีคิดแห่งปัญญา.. ที่เรียก โยนิโสมนสิการ หรือการพิจารณาโดยแยบคายด้วยการอาศัย สติ สัมปชัญญะ และวิริยะ เป็นเครื่องมือในการกำกับพัฒนาจิต เพื่อให้ คิดให้ถูกวิธี.. คิดให้เป็นเหตุเป็นผล.. คิดให้เร้ากุศล และคิดให้เป็นธรรม ขึ้น ทั้งนี้ เพื่อการจำแนกแจกแจงให้เห็นตามความเป็นจริง.. ที่มีอยู่จริงในสภาวธรรมนั้นๆ จนสามารถเข้าถึงกฎแห่งพระไตรลักษณ์ได้.. ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยการเห็นความเป็นไปของสภาวธรรมที่ขัดแย้งในเชิงผสมผสานว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ต้องผันแปรไปตามเหตุปัจจัย ที่ยักย้ายถ่ายเทไปตาม กระบวนการปัจจยาการ ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่พุทธศาสนาเรียกว่า อิทัปปัจจยตา..
วันนี้ในกระแสโลก.. วันไหนๆ ในกระแสโลก.. จึงไม่ได้เปลี่ยนไปจากความเป็นจริงของโลก ที่ไหลวนอยู่ในกระแสกิเลส.. ในเมื่อโลกถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจแห่งกิเลส..
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ..... จึงเป็นตัวแทนสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ที่ต้องมีสภาวธรรมอย่างนี้.. จึงจะเรียกว่า สัตว์โลก...
ในเมื่อ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม .. นำไปสู่ ชาติ ชรา มรณะ.. และความทุกข์ทั้งปวงฉันใด.. จึงเป็นปกติที่สัตว์ทั้งหลายไม่ว่าอยู่ในภพภูมิใด ก็ย่อมดำเนินวิถีชีวิตไปสู่ความทุกข์ฉันนั้น...
..เหล้าเก่าในขวดใหม่.. แกงใหม่ในหม้อเก่า.. ร่างเก่าในเสื้อผ้าใหม่.. จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก หากมีสติปัญญารู้จักพิจารณา.. แต่หากขาดสติปัญญา ก็ยากจะเข้าใจในสิ่งที่ควร.. ยากจะแยกแยะในสิ่งที่เป็น.. ยากจะเห็นในสิ่งที่จริง...
วรรณะ ฐานะ ชาติ ตระกูล การศึกษา อายุ เพศ วัย.. มิใช่เครื่องหมายของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย.. จิตสันดานของสัตว์โลก ผู้มากไปด้วยกิเลส.. อันเนืองนองด้วย ราคะ โทสะ และโมหะ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติ.. และเป็นความจริงเสมอ
จึงไม่แปลกที่ วันดีคืนดี.. โลกวัตถุไอทีกลับมามีอิทธิพลปลุกเร้าให้จิตวิญญาณหมู่ชน กลับไปหลงเชื่อถือคำพยากรณ์.. ที่ไร้ราคา ไม่มีสาระ.. ขาดเหตุผลแม้เชิงวิทยาศาสตร์รองรับ เพียงแค่คนคนหนึ่งนอนฝัน แล้วตื่นขึ้นมากล่าวอ้างว่า.. ได้ไปพบเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้.. ไปพบกับคนคนนั้น คนคนนี้..
คนนั้น อดีตชาติ เป็นอย่างนั้นมา..
คนนี้ อดีตชาติ เป็นอย่างนี้มา...
คนนั้น สร้างกรรมก่อเวรเช่นนี้.. คนนี้สร้างเวรก่อกรรมเช่นนั้น.. จะต้องไปขอขมาลาโทษที่นั่น ต้องไปบวงสรวงที่นี่.. ต้องไปหาพระดีที่นั่นที่โน่น
ภาวะสังคมสุดโต่งในยุคสมัยเทคโนโลยีจึงเกิดขึ้น เมื่อได้เห็นหมู่ชนที่เสพคบเทคโนโลยี แต่กลับไปเชื่อถือผีสางนางไม้ คำบอกกล่าวพยากรณ์ที่ไร้เหตุผล.. ที่กลับมามีอานุภาพในการชักนำหมู่ชนในโลกคนสิ้นคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
จึงเกิดสภาวธรรมที่สับสน ผกผันไปจากธรรม สร้างความโกลาหลของคนในสังคม.. ที่ขาดสติปัญญา..ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง.. เหมือนเข้าสู่สมัย กระต่ายตื่นตูม...
เขาว่ากันมา.. ก็ว่ากันต่อไป.. ถามว่า เคยเห็นจริงตามที่เขาพูดเขากล่าวหรือ.. ก็บอกว่า ไม่เคยเห็น แล้วทำไมเชื่อล่ะ... ก็ตอบว่า.. ก็เขาว่ากันมา.....
เมื่อเขาตัวนี้กลายเป็นวัตถุทรงอิทธิพลต่อจิตใจของประชาสัตว์ที่จมอยู่ใน ปปัญจธรรม จึงทำให้เกิดประสิทธิภาพในการแพร่กระจาย ซึมซับเข้าสู่ระบบจิตวิญญาณสัตว์ที่ขาดการกลั่นกรอง.. ขาดการคิด วิเคราะห์ ได้อย่างรวดเร็ว...
การปลุกเสกให้เกิดพระดัง.. คนขลัง.. วัตถุวิเศษ จึงเกิดขึ้นจากจิตลวงมากมายา.. ไร้สาระธรรม ที่กลับทรงประสิทธิภาพยิ่งในการสร้างความเชื่อถือให้กับสัตว์ผู้นิยมความไร้เหตุผล หลงใหลอยู่แต่ในม่านอารมณ์แห่งความลวง.. เพ้อเจ้อ จินตนาการไปวันๆ.. อย่างขาดสติปัญญา สะท้อนความเป็นจริงของสภาพของคนที่อ่อนแอ.. มากไปด้วยความวิตกกังวลหวาดกลัว.. และเหนียวแน่นไปด้วยความยึดติดยึดถือในความเป็นตัวตน.. อย่างยากจะแก้ไข...
สมัยสังคมวัตถุนิยมก้าวหน้า แต่จิตใจเสื่อมถอยจากธรรมแบบนี้.. จึงไร้ความสงบสุขที่แท้จริง.. เพราะเต็มไปด้วยความลวงต่อกัน ไม่เว้นแม้ในเพศใด.. ฐานะใด.. ที่หากขาดสติปัญญา ก็ยากนักที่จะแก้....
เจริญพร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อุทธัจจะ .. ในวังวนแห่งการตื่นธรรม .. ยุคไอที!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย... สัทธายะ ตะระติ โอฆัง.. บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา.. โอฆะ หมายถึง ห้วงน้ำ ที่มีกระแสเชี่ยวกราก พัดพาสัตว์ทั้งหลายให้ตกไปในกระแสน้ำนั้น ยากจะข้ามฝั่งไปได้
’ห้าพันตารางกิโลเมตร‘ เท่ากับกี่ตารางนิ้ว ? เงื่อนตายของ MOU 2544 ?
MOU 2544 ไม่ใช่กรอบการเจรจาเพื่อหาข้อตกลง ”แบ่งผลประโยชน์(ปิโตรเลียม)“ เท่านั้น แต่หาข้อตกลง “แบ่งเขตแดน(ทะเล)“ ด้วย !
คำนูณ ผ่าปม 2 ได้ 3 เสีย ถ้าไม่ยกเลิก MOU 2544
ความเคลื่อนไหวและการแสดงความคิดเห็นเรื่อง MOU 2544 ที่เชื่อมโยงถึงเกาะกูด, การหาแหล่งพลังงานแห่งใหม่ในพื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา ที่มีการประเมินกันว่ามีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านบาท ยั
'แก้วสรร' แพร่บทความ 'นิติสงคราม' คืออะไร?
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกบทความเรื่อง “นิติสงคราม” คืออะไร???
อย่าได้ประมาทในธรรม.. “เมื่อใจตรง .. จะตรงใจ”..
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. เดินทางกลับมาจากอินเดีย เมื่อ ๗ พ.ย.๒๕๖๗.. ถึงกรุงเทพฯ ๘ พ.ย.๒๕๖๗ หลังจากไปร่วมประชุม “The First Asian Buddhist Summit 2024” ที่นิวเดลี งานนี้จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของรัฐบาลอินเดีย
ขึ้นต้นก็(เขียน)ผิดแล้ว ! ว่าด้วยเส้น “ละติดจูด” ที่ 11° “E” ในเอกสารแนบท้าย MOU 2544
เขียนและพูดเรื่อง MOU 2544 มาหลายปี หลากมุมมอง ล่าสุดช่วงนี้ก็จำแนกข้อดีข้อเสีย รวมทั้งส่วนที่จะได้และส่วนที่จะเสียหากเจรจาสำเร็จ ล้วนหนัก ๆ ทั้งนั้น .