...หากถามว่านับแต่ออกมาเคลื่อนไหว ได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่ ก็มีที่กระทบกับวิถีชีวิต และตลอดเวลาของการสู้คดีร่วมสิบกว่าปี กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไปสู้คดี ไปศาลตลอด เราเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และน้อมรับผลคำตัดสิน ไม่ใช่ว่าคดีไหนที่ศาลตัดสินแล้วเป็นประโยชน์ก็บอกว่าศาลยุติธรรม แต่หากคดีไหนติดคุกแล้วจะออกมาโจมตีศาล พวกเราไม่ใช่ ศาลตัดสินว่าเราผิด เราก็ยอมรับ เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำ ว่าเราได้ทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ใจ
แม้ถึงตอนนี้กลุ่ม "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" (พธม.) ที่บางคนเรียกกันว่า "เสื้อเหลือง" จะยุติบทบาทและการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากว่าสิบปีแล้ว แต่คดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวที่ทั้งแกนนำและแนวร่วม ต่างถูกฟ้องร้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งหลายคดีก็ยังไม่สิ้นสุด
อย่างเช่น คดีอาญากรณีกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ถูกบริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา ข้อหาชุมนุมปิดล้อมสนามบินทั้งสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงการชุมนุมเมื่อปี 2551 ก็จะมีการอ่านคำพิพากษาศาลอาญา ที่เป็นศาลชั้นต้นในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ หลังมีการพิจารณาคดีกันยาวนาน แม้ในส่วนของคดีแพ่งจะยุติไปแล้ว ที่แกนนำพันธมิตรฯ ถูกศาลตัดสินให้ชดใช้ทางแพ่งหลายร้อยล้านบาท จนต้องเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี-พิทักษ์ทรัพย์
ส่วนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2566 ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินยกฟ้องคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ถูกฟ้องคดีอาญา กรณีร่วมกันชุมนุมช่วง 25 พ.ค.-7 ต.ค. 2551 ที่หน้ารัฐสภา ที่เรียกกัน "คดีปิดล้อมสภาฯ"
เรื่องราวการต่อสู้ของแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ผลของการเคลื่อนไหวในส่วนของคดีความที่ยังมีอีกหลายส่วนยังไม่สิ้นสุด อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ กับเรา ก็คือ "ศิริชัย ไม้งาม อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2, อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือกฟผ."
โดย "ศิริชัย-อดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นสอง" บอกเล่าเส้นทางชีวิตของตัวเอง ก่อนจะมาเป็นแกนนำนักเคลื่อนไหวการเมืองนอกรัฐสภาแถวหน้าว่า การเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้ประสบการณ์ จากการเป็นหนึ่งในทีมโค้ชผู้ฝึกสอนตะกร้อทีมชาติไทย แข่งขันเอเชียนเกมส์ที่กรุงเทพมหานคร และซีเกมส์ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นได้มา 6 เหรียญทอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นการทำงานจิตอาสา และจากที่เคยทำงานด้านกีฬาดังกล่าว ที่ต้องเจอสภาวะกดดันในการแข่งขันก็ได้ประสบการณ์ที่ดี
...ต่อมาหลังเข้าไปทำงานที่ กฟผ. ซึ่งในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ผมเข้าไปทำงานในสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พอเข้าไปก็ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการและเป็นเลขาธิการสหภาพฯ เลย จากนั้นก็เป็นประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ.ต่อเนื่อง 20 กว่าปีจนเกษียณ
ประเทศไทยในช่วงปี 2540 ที่ไทยเจอวิกฤตเศรษฐกิจต้องเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ก็มีเงื่อนไขให้รัฐบาลต้องทำตามหลายเรื่อง
...และเรื่องหนึ่งก็คือ การให้รัฐบาลต้องออกกฎหมาย 11 ฉบับ ที่ตอนนั้นเรียกกันว่ากฎหมายขายชาติ อีกทั้งต้องมีการแปรรูป ขายรัฐวิสาหกิจ ยุคนั้นรัฐบาลชวน หลีกภัย เข้ามาบริหารประเทศต่อจากรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็มีการขายโรงไฟฟ้าราชบุรี ก็ทำให้มีการเคลื่อนไหวคัดค้าน มีม็อบพนักงาน กฟผ.ที่คัดค้านการขายโรงไฟฟ้า รวมถึงคัดค้าน พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ที่เป็นหนึ่งในกฎหมาย 11 ฉบับที่ไอเอ็มเอฟให้ไทยต้องออกกฎหมายดังกล่าว เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินและนำเงินไปชำระหนี้ไอเอ็มเอฟที่ยืมมา
ต่อมาจะมีการเลือกตั้งปี 2544 นายทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทย และชูนโยบายต่างๆ เช่นจะทำสงครามยาเสพติด สงครามความยากจน รวมถึงตอนนั้น เขาชูนโยบายจะไม่แปรรูป-ขายรัฐวิสาหกิจ โดยการเมืองช่วงนั้นแข่งกันระหว่างไทยรักไทยกับประชาธิปัตย์
ทำให้พวกเรากลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจที่เรียกกันว่า สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ก็ประกาศสนับสนุนไทยรักไทยและทักษิณให้เป็นนายกฯ เพราะตอนนั้นกลุ่มรัฐวิสาหกิจไม่เอารัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ไปออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ
"ศิริชัย-อดีตประธานสหภาพ กฟผ." เล่าต่อไปว่า ต่อมาเมื่อพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง ทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นเป็นนายกฯ ปรากฏว่าสิ่งที่ไทยรักไทยเคยหาเสียงคือ ไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่ปรากฏว่าเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว รัฐบาลไทยรักไทยกลับดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหลายแห่งทั้ง อสมท, การบินไทย, การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย, องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย, การสื่อสารแห่งประเทศไทย โดยรัฐบาลทักษิณไม่ใช่แค่แปรรูป แต่ใช้วิธีการขายรัฐวิสาหกิจ ที่แตกต่างจากยุครัฐบาลชวน ที่ใช้วิธีนำกิจการบางอย่างในรัฐวิสาหกิจไปแปรรูปเท่านั้น เช่น การขายโรงไฟฟ้าราชบุรี แต่ยุคทักษิณใช้วิธีการคือขายทั้งหมด โดยใช้ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจแปรทุนให้กลายเป็นหุ้น แล้วเอาหุ้นไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยขายหุ้นไป 49 เปอร์เซ็นต์ เหลือไว้ให้รัฐถือ 51 เปอร์เซ็นต์
สำหรับ กฟผ. รัฐบาลทักษิณพยายามจะแปรรูปเหมือนกับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่ทำไปแล้ว
พอเริ่มมีการดำเนินการดังกล่าว ผมก็ลุกขึ้นสู้ โดยที่ช่วงแรกสังคมก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนก็มาตำหนิพวก กฟผ.ที่คัดค้านการแปรรูป เช่นบอกว่าพวกเรา กฟผ.เห็นแก่ตัว เพราะหากแปรรูปได้จะได้มีเงินไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ และแปรรูปแล้วกิจการ กฟผ.จะได้เจริญก้าวหน้า ทำไมต้องมาขัดขวาง ก็หาว่าพวกเรา กฟผ.ที่คัดค้านเพราะเงินเดือนสูง กลัวเสียผลประโยชน์ กลัวไม่ได้โบนัส กลัวไม่ได้ใช้ไฟฟรี
...โดยที่ตอนนั้นผมเคยได้ไปดูงานที่อังกฤษกับฝรั่งเศส ได้เห็นเลยว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ล้มเหลวโดยเฉพาะกิจการไฟฟ้า โดยแยกระหว่างระบบผลิต โรงไฟฟ้ากับระบบจำหน่ายไฟออกจากกัน โดยมีตลาดกลางคอยทำหน้าที่ซื้อขายไฟฟ้า สุดท้ายมีปัญหาเยอะ ไปต่อไม่ได้ ทำให้ผมถึงต่อสู้เรื่องนี้อย่างถึงที่สุด
ช่วงนั้นสู้กันร่วม 400 กว่าวัน ตั้งแต่ที่รัฐบาลไทยรักไทยเริ่มมีการขยับแปรรูป กฟผ.ด้วยการจัดตั้งบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) แต่สุดท้ายระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ เพราะพอเริ่มระดมทุนพวกเราใน กฟผ.ก็เคลื่อนไหวกับกลุ่มต่างๆ นำโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่มีคุณรสนา โตสิตระกูล เป็นแกนนำ สุริยะใส กตะศิลา ที่ตอนนั้นอยู่ ครป.รวมทั้งสิ้น 11 คน ได้ร่วมกันยื่นฟ้องศาลปกครอง โดยมีทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ เป็นหัวหน้าทีมฝ่ายกฎหมายให้พวกเราในฐานะผู้ร้อง
จนในที่สุดศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่า กระบวนการแปรรูป กฟผ.ของรัฐบาลทักษิณในเวลานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ถือเป็นชัยชนะของประชาชน
โดยที่ตอนนั้นมีการจัดตั้งบริษัท กฟผ.จำกัด เรียบร้อยแล้วด้วย มีการกระจายหุ้นให้พนักงาน โดยที่ตอนนั้นผมกับเพื่อนๆ รวมกันประมาณ 20 กว่าคน ประกาศไม่รับหุ้นกฟผ. ทั้งที่พนักงานคนไหนไม่มีเงินมาซื้อหุ้น ก็มีการบริหารจัดการหาแหล่งเงินมาให้พนักงานกู้ยืมได้
"ศิริชัย-อดีตประธานสหภาพ กฟผ." ย้อนเรื่องราวการต่อสู้ในครั้งนั้นไว้ว่า การรับหุ้น กฟผ.ตอนนั้น หากรับไปแล้วก็เหมือนกับการถูกปิดปาก เพราะถ้ารับไปก็จะทำให้ไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหวต่อสู้ เพราะคุณได้ผลประโยชน์ไปแล้ว
หากตอนนั้นผมไปรับหุ้น กฟผ. ที่หากรับก็ได้เยอะน่าจะร่วมๆ 5 หมื่นหุ้น แต่ผมไม่รับ โดยหากผมไปรับหุ้นไว้ก่อน ก็ทำให้โอกาสที่จะฟ้องศาลปกครองอาจต้องพับไป ซึ่งสมัยรัฐบาลชวนที่มีการขายโรงไฟฟ้าที่ราชบุรี ผมก็ไม่ได้รับหุ้น ที่ตอนนั้นหากรับก็น่าจะประมาณ 1 หมื่นหุ้น
...ผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ทำให้ความพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ของรัฐบาลทักษิณเวลานั้น และรัฐบาลอื่นๆ จนถึงตอนนี้มันยุติลง เพราะตอนนั้น หาก กฟผ.แปรรูปได้ ก็จะทำให้ความพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ตามมา เพราะตอนนั้นเขาเตรียมไว้หมด จะมีการแปรรูปองค์กรอื่นๆ อีก เช่น การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การประปานครหลวง, การประปาส่วนภูมิภาค, การท่าเรือแห่งประเทศไทย, องค์การเภสัชกรรม
รัฐวิสาหกิจที่ดีๆ รัฐบาลตอนนั้นเขาพร้อมจะแปรรูป แต่พอเกิดกรณี กฟผ.ที่แปรรูปไม่สำเร็จ ก็ทำให้ความพยายามจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ หยุดหมด
...ผลก็คือทำให้ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจก็หยุดไปด้วย ไม่มีการหยิบยกขึ้นมาอีก เพราะหากทำก็จะถูกต่อต้านจากประชาชน ที่มีการเอาสมบัติชาติไปแล้วอ้างว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ แต่ข้อเท็จจริงก็คือมันเป็นการไปตอบแทนผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนกับที่เห็นอย่างเช่น ทอท., การบินไทย, อสมท
เส้นทางชีวิตนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน จากประธานสหภาพฯ กฟผ. สู่แกนนำพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง
"ศิริชัย" เล่าเส้นทางจากแกนนำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ. จนมาเข้าร่วมเคลื่อนไหวการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เริ่มเปิดตัวในช่วงปี 2548 ในยุคเทอมสองของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ภายใต้การนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล, พลตรีจำลอง ศรีเมือง ว่า ในช่วงแรกหลังนายสนธิเริ่มมีการเคลื่อนไหว จัดรายการเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเปิดโปงระบอบทักษิณ จนการเคลื่อนไหวขยายตัวไปและมีการนัดชุมนุมทางการเมืองกันตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร (สวนลุมพินี-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-ลานพระบรมรูปทรงม้า-สนามหลวง เป็นต้น) ที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
พวกผมในนามของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ.ที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ที่ตอนนั้นมีแกนนำคือ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, สาวิทย์ แก้วหวาน ทั้งหมดก็ประกาศเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ
จนต่อมามีการตั้ง 5 แกนนำพันธมิตรฯ ที่หนึ่งในห้าแกนนำก็คือ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข โดยผมก็เข้าไปช่วยดูแลภาพรวมการเคลื่อนไหว เช่นการทำความเข้าใจกับพี่น้อง เพื่อนๆ ในสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยการทำความเข้าใจกับพวกเขาว่า ได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศจากระบอบทักษิณ ที่ตอนนั้นถือว่ากลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจก็เป็นกลุ่มที่เข้มแข็งในแนวร่วมพันธมิตรฯ เป็นพลังสำคัญให้กับภาคประชาชน
จนสุดท้ายมีการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 2549 โดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในเวลานั้น ที่ทำรัฐประหารในนาม คมช. โดยอ้างเหตุผลหนึ่งในการทำรัฐประหารว่า เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยเกิดการเผชิญหน้ากันเอง เพราะทราบมาว่าจะมีกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ที่จัดตั้งกันมา เตรียมจะเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่นัดชุมนุมใหญ่ 20 ก.ย. 2549 หลัง คมช.ทำรัฐประหาร กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ลดบทบาทลงไปหลังมีรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ประท้วงขับไล่รัฐบาลนอมินี จนเกิดคดีความ ชุมนุมปิดล้อมสนามบิน
"ศิริชัย ไม้งาม" เล่าต่อไปว่า ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงปี 2550 จนได้รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นรัฐบาลนอมินีของทักษิณ ชินวัตร และเมื่อรัฐบาลสมัครบริหารประเทศไปได้สักระยะ กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ก็ออกมาเคลื่อนไหวนัดชุมนุมการเมือง เพราะเห็นว่ารัฐบาลดังกล่าวคือรัฐบาลนอมินี จนมีการออกมาเคลื่อนไหวรวมตัวกันทางการเมือง มีการปักหลักชุมนุมประท้วงรัฐบาล ตั้งแต่หน้าทำเนียบรัฐบาลเรื่อยไปที่เป็นการชุมนุมระยะยาว และมีการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล
จนช่วงหนึ่งรัฐบาลก็มีการใช้มาตรการดำเนินคดีออกหมายจับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ จน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ออกไปเคลื่อนไหวภายนอกจุดชุมนุมใหญ่ไม่ได้ ทำให้ต้องมีการตั้งแกนนำพันธมิตรชุดสอง ที่มีการเลือกนายสำราญ รอดเพชร, สาวิทย์ แก้วหวาน และตัวผมเป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นสอง
จากนั้นเมื่อนายสมัครหลุดจากตำแหน่งนายกฯ จากคดีชิมไปบ่นไป ตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ทางทักษิณก็ดันนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยขึ้นมาเป็นนายกฯ แทน และรัฐบาลสมชายมีการนัดหมายแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาเดิม ตรงถนนอู่ทองใน แกนนำพันธมิตรฯ ก็นัดหมายและเคลื่อนขบวนกลุ่มผู้ชุมนุม ไปปักหลักที่หน้ารัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลสมชาย เข้าไปแถลงนโยบายรัฐบาล จนต่อมาเกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และมีการตั้งแกนนำและผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เพิ่มเติม เช่น นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า
หลังจากนั้นเมื่อรัฐบาลสมชายเข้ามาบริหาร แต่เข้าทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ ก็ใช้ที่ทำการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ที่ตั้งอยู่บริเวณสนามบินดอนเมือง กลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีการเคลื่อนไหนไปชุมนุมกันที่บริเวณแถวๆ ที่ทำการของ ทอท. แต่ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่บริเวณสนามบิน โดยระหว่างนั้นการชุมของพันธมิตรฯ ที่มีทั้งที่ทำเนียบรัฐบาลและที่ดอนเมือง สถานการณ์ก็ตึงเครียดเพราะมีเอ็ม 79 ไปลงที่ทำเนียบรัฐบาล ที่พันธมิตรชุมนุมกันทุกคืน ทำให้มีคนบาดเจ็บเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างนั้นตัวนายสมชายบินไปร่วมประชุมที่ต่างประเทศ และกำลังจะกลับประเทศไทย ก็ทำให้มวลชนส่วนหนึ่งเห็นว่าควรไปเคลื่อนไหวแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าไม่ให้นายสมชายเข้าประเทศ ก็เลยเคลื่อนไหวไปชุมนุมกันที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิก่อนที่สมชายจะเดินทางเข้ามา
"ศิริชัย" เล่าถึงการชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิตอนนั้นไว้ว่า ช่วงการชุมนุมดังกล่าว ทางกลุ่มพันธมิตรฯ กระจายการชุมนุมออกเป็น 3 เวที คือทำเนียบรัฐบาล-ดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งการที่มวลชนมีอยู่มาก แล้วชุมนุมแบบดาวกระจาย มันก็มีส่วนดี เพราะไม่อย่างนั้นหากชุมนุมจุดเดียว ก็จะถูกยิงทุกวันทุกคืน ก็ทำให้มีการแบ่งหน้าที่ให้แกนนำ ผู้ประสานงานในการไปดูแลมวลชน
การที่เราไปที่สนามบิน เราไม่ได้คิดจะไปปิดสนามบิน แต่เป็นการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ มวลชนไปก่อนแกนนำด้วย เราก็ตามไป เพื่อคุยกับมวลชน และสุดท้ายสนามบินคือผู้บริหารของ ทอท.และเจ้าหน้าที่ของ ทอท.ก็มาใช้วิธีปิดสนามบิน
ทั้งที่เราไม่ได้ไปกีดขวางการทำงาน หรือไปทำอะไรที่กระทบกับความปลอดภัยในการขึ้นลงของเครื่องบิน หรือผู้โดยสารอะไรต่างๆ เพราะเราชุมนุมอยู่ด้านนอก ไม่ได้ไปขวางทุกประตูเข้าออกของสนามบิน ยังมีประตู เปิดเข้าออกได้ตามปกติ แต่สุดท้าย ทอท.ก็ประกาศยุติการบิน ปิดสนามบิน ทำให้ผู้โดยสารขาเข้า ขาออกก็เดินทางไม่ได้ แต่ก็มีบางคณะเราก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ อย่างคุณพิภพ ธงไชย ก็ช่วยพี่น้องมุสลิมภาคใต้ที่จะไปแสวงบุญที่ นครเมกกะ ก็ประสานให้เครื่องบินจากอิหร่านไปลงที่อู่ตะเภา แล้วก็ประสานเอารถ ขสมก.พาทั้งหมดไปส่งขึ้นเครื่องที่อู่ตะเภาได้ ยืนยันว่าการที่สนามบินปิดตอนนั้น ไม่ได้ปิดเพราะพันธมิตร แต่ปิดเพราะ ทอท.ไปประกาศปิดเอง
...คือเขา (ทอท.) อยากโยนภาระทั้งหมดมาให้กับพันธมิตรฯ ว่าเราไปทำการปิดสนามบิน ทั้งที่ตรงนั้นทรัพย์สินเป็นแสนล้าน ยังไงเขาก็ควรต้องให้มีเจ้าหน้าที่ มีรปภ.อยู่ประจำการไว้ เราอยู่แค่ด้านหน้าของอาคารสนามบิน แต่คุณปิดทั้งหมดเพื่อโยนภาระให้เรา เหมือนกับตกกระไดพลอยโจร ที่อาจทำให้มีมือที่สาม มีก่อการร้ายมาก่อวินาศกรรมได้ แล้วเขาก็มาโยนข้อหาก่อการร้ายให้กับเราด้วย ทั้งที่พวกเราพันธมิตรไม่มีอาวุธใดๆ เลย
ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา คดีสนามบิน 18 ธ.ค.
"ศิริชัย-อดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่สอง" เปิดเผยว่า ศาลอาญาได้มีการนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่บริษัท ทอท.แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ โดยจะมีการอ่านคำพิพากษาวันที่ 18 ธ.ค 2566 โดยสาเหตุที่คดีนี้มีการสู้คดีกันนาน เพราะมีการตั้งข้อหาหนักให้กับกลุ่มพันธมิตร โดยมีจำเลยร่วมร้อยคน ทำให้ศาลก็มีการแบ่งกลุ่มจำเลยออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกคือกลุ่มแกนนำประมาณ 30 กว่าคน กับอีกกลุ่มคือผู้ร่วมชุมนุมอีกประมาณ 70 กว่าคน
...จำเลยกลุ่มแรกพวกแกนนำ มีการสืบพยานเสร็จหมดแล้วทั้งพยานฝ่ายโจทก์และจำเลย โดยจะมีการนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นวันที่ 18 ธ.ค.นี้ โดยการสู้คดีที่ผ่านมา เราก็ยืนยันว่าเราไม่ได้ปิดสนามบินทั้งสองแห่ง ซึ่งคดีนี้ มีการตั้งข้อหาจำเลยร่วม 15 ข้อหา ตั้งแต่ก่อการร้ายจนถึงกีดขวางอะไรต่างๆ ซึ่งคดีที่จะตัดสิน 18 ธ.ค.นี้ จำเลยบางคนปัจจุบันก็เสียชีวิตแล้ว เช่น ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ โดยตอนนี้จำเลยอย่างผมก็เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นขอประกันตัวไว้แล้ว
"ศิริชัย" กล่าวอีกว่า นับแต่มีการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองและมีการดำเนินคดีต่างๆ กับแกนนำพันธมิตรฯ จะพบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ให้ความร่วมมือและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่มอบตัว ส่งฟ้องทั้งในชั้นตำรวจ อัยการ รวมถึงการปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลในการปล่อยตัวชั่วคราว เช่นเมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ก็ไม่ได้ออกไปก่อเหตุวุ่นวายอะไรจนจะเป็นเหตุให้ถูกยื่นถอนประกัน จะพบได้เลยว่าฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่เคยออกไปสร้างความวุ่นวายอะไร เราเคารพในเรื่องนี้ อย่างเมื่อแพ้คดี มีการตัดสินจำคุกแกนนำพันธมิตรฯ ในคดีต่างๆ เช่น การยึดทำเนียบรัฐบาล แกนนำก็เข้าคุกตามคำตัดสิน ทุกคนก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งหมด และน้อมรับผลคำพิพากษา
"หากถามว่านับแต่ออกมาเคลื่อนไหวได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่ ก็มีที่กระทบกับวิถีชีวิต และตลอดเวลาของการสู้คดีร่วมสิบกว่าปี กลุ่มพันธมิตรฯ ไปสู้คดี ไปศาลตลอด เราเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และน้อมรับผลคำตัดสิน ไม่ใช่ว่าคดีไหนที่ศาลตัดสินแล้วเป็นประโยชน์ก็บอกว่าศาลยุติธรรม แต่หากคดีไหนเราติดคุกแล้วจะออกมาโจมตีศาล พวกเราไม่ใช่ ศาลตัดสินว่าเราผิด เรายอมรับ เพราะมั่นใจในสิ่งที่เราทำ ว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างบริสุทธิ์ใจ และยืนยันได้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้ใช้ความรุนแรง และพยายามรักษาชีวิตของพี่น้องพันธมิตรทุกคนที่เข้าร่วมการชุมนุม เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ว่าเราจะพยายามรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ บ้านเมือง และตรวจสอบ กำจัดการเมืองที่ชั่วช้า"
ผลกระทบหลังแพ้คดีแพ่ง ชุมนุมสนามบินฯ ปี 2551
"ศิริชัย-อดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นสอง" กล่าวถึงกรณีเมื่อ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแกนนำพันธมิตรฯ รวม 11 ราย หลังบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ยื่นฟ้องล้มละลาย โดยมีชื่อของตนเป็นลูกหนี้รายที่ 9 ว่า เรื่องที่ถูกดำเนินคดีฟ้องร้องเรื่องกล่าวหาว่ามีการปิดสนามบินนั้น ในส่วนของ "คดีแพ่ง" จะมีหน่วยงานฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3 หน่วยงาน คือ บริษัท ทอท.จำกัด, บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย และบริษัทการบินไทย
...ทางบริษัท ทอท.เป็นผู้ดำเนินการยื่นฟ้องก่อนหน่วยงานอื่น โดยฟ้องทั้งคดีแพ่งและอาญา ซึ่งในส่วนของคดีแพ่ง ศาลชั้นต้นตัดสินเหมือนกับให้เราแพ้คดี โดย ทอท.เรียกค่าเสียหายมาร่วม 800 กว่าล้านบาท ทั้งที่บอกตรงๆ ความเสียหายในส่วนของสนามบินไม่มีเลย โดยการที่ ทอท.สั่งให้เจ้าหน้าที่ของสนามบินออกจากสนามบินทั้งหมด เหมือนกับเป็นการโยนภาระมาให้แกนนำพันธมิตรฯ แบบตกกระไดพลอยโจน ตอนนั้นแกนนำก็เกรงจะเกิดมือที่สามเข้ามาสร้างความวุ่นวาย เช่นวางแผนเผาสนามบิน แต่สุดท้ายเราก็รักษาสนามบินทั้งสองแห่งไว้ได้ เพราะเรามีการวางระบบป้องกันไว้อย่างดี จนทรัพย์สินของ ทอท.ไม่ได้มีอะไรเสียหายแต่อย่างใด
เมื่อผลคำตัดสินคดีแพ่งของศาลออกมา โดยที่เหมือนกับเราเป็นฝ่ายแพ้คดี ต่อมาก็มีการติดตามทรัพย์ของแกนนำแต่ละคน มีการฟ้องล้มละลาย อันนี้แค่เฉพาะของ ทอท.
ส่วนบริษัท วิทยุการบินฯ ก็มีการฟ้องร้องดำเนินคดี แต่ต่อมาก็ยุติเพราะเขาจะรอให้คดีอาญาจบหมดก่อน ส่วนบริษัท การบินไทยฯ ก็มีการฟ้องแต่ยังไม่ดำเนินการ เพราะรอให้คดีอาญาจบก่อนเช่นกัน แต่ ทอท.เดินบริษัทเดียว ที่ทำแบบจะเอาเป็นเอาตาย ทั้งการฟ้องร้องคดีแพ่งและเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย
...ต่อมาก็มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ออกมา อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนก็ลำบาก โดยหลายคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เขาอาจเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นบางคนที่ยังอยู่ในช่วงวัยทำงาน ยังทำงานหารายได้ ก็ได้รับผลกระทบ ต้องมีการไปคุยกับเจ้าหน้าที่ พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อสอบถามว่าเมื่อมีรายได้เข้ามา จะมีการบริหารรายได้เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างไร ก็ต้องขออนุญาตเขาให้เขาเห็นชอบ เช่นยกตัวอย่าง บางคนทำงานมีรายได้เข้ามาเดือนละ 5 หมื่นบาท ก็ต้องส่งให้เขา 25,000 บาท ส่วนอีก 25,000 บาท ก็ยึดส่งเข้ากองกลาง รายละเอียดลักษณะนี้ก็ต้องไปคุยกับเขา เพราะวันนี้เขาทำหน้าที่แทนเราทั้งหมด เราจะทำนิติกรรม ธุรกรรมต่างๆ ไม่ได้เลย แม้กระทั่งการจะไปธนาคารเพื่อเปิดสมุดบัญชี หรือการไปขอกู้เงินเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจอะไรต่างๆ ก็ทำแทบไม่ได้เลย และหากมีรายได้เข้ามาก็ต้องไปรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
"ศิริชัย-อดีตแกนนำพันธมิตรฯ" เล่าต่อไปว่า หลังมีคำตัดสินคดีแพ่งจนถึงที่สุดออกมา ก็มีการติดตามอายัดทรัพย์สินต่างๆ มีการติดตามบัญชีธนาคาร โดยมีการส่งชื่อไปที่ธนาคารทุกแห่ง แล้วธนาคารก็ล็อกเลขที่บัญชีเงินฝากอะไรต่างๆ ตามชื่อที่ส่งมาเอาไว้ ทำให้ทำธุรกรรมปกติต่างๆ ไม่ได้ พูดง่ายๆ คือเขาเอาเงินทั้งหมดในบัญชีไปไว้ตามกระบวนการ เช่นบางคนมีเงินอยู่ในธนาคาร 5 พัน ไปทำธุรกรรมถอนเงิน ธนาคารบอกว่าทำไม่ได้ หากจะทำธุรกรรมก็ต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ บางคนเคยเป็นอดีตสมาชิกรัฐสภา ก็จะได้เงินจากกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาเดือนละ 1.2 หมื่นบาท จากปกติที่เคยได้ก็จะไปถอนออกมาไม่ได้ บางคนเคยได้เงินผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท ตอนนี้ก็ถอนไม่ได้โดนล็อกไว้
สำหรับตัวผมที่เคยเป็นอดีตพนักงาน กฟผ. ก็จะมีเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เหมือนกับเป็นเงินบำเหน็จบำนาญ แบบเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยจะเป็นเงินที่ได้จากกองทุนที่ตั้งตามกฎหมายที่ให้นายจ้างกับลูกจ้าง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นเงินยังชีพในช่วงบั้นปลายชีวิต โดยให้ส่งฝ่ายละเท่ากัน เงินตรงนี้ผมสะสมตั้งแต่ผมเริ่มทำงานที่ กฟผ.จนเกษียณ รวมเวลาร่วม 40 ปี จากส่งแค่หลักพันต่อเดือน มาเป็นส่งหลักหมื่นต่อเดือน ซึ่งเงินส่วนนี้พนักงาน กฟผ.ก็จะต้องส่งทุกเดือน เช่นบางคนได้เงินเดือน 9 หมื่นบาท ก็ต้องส่งเงินเข้ากองทุน 11 เปอร์เซ็นต์ ก็ประมาณหมื่นบาท และทาง กฟผ.ก็ส่งเข้าไปอีกส่วนหนึ่งเท่ากัน
ตอนแรกผมคิดว่ากฎหมายคุ้มครอง เป็นเงินยังชีพที่ไม่สามารถมายึดหรือล้วงเอาไปได้ ผมก็เลยคาไว้ แล้วตอนหลังศาลตัดสินคดีแพ่งเสร็จแรกๆ เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้เข้ามาดูตรงนี้ ตอนนั้นก็คิดว่าเงินส่วนนี้คงเข้ามาเอาไปไม่ได้ เราก็คงไว้ แต่สุดท้ายพอประกาศพิทักษ์ทรัพย์เสร็จ ก็ทำธุรกรรมอะไรกับเงินดังกล่าวไม่ได้แล้ว คือหากจะเอาออก ก็คงได้ แต่เราก็ระมัดระวัง ไม่อยากทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่อยากทำอะไรที่เสียหาย เหมือนกับว่าเราไปผิดคำสั่งศาล เพราะเราเคารพศาล เลยไม่ได้นำเงินดังกล่าวออกมาก่อน
ไม่เคยเสียใจ เคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ
-สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว หากย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะเข้าร่วมเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่?
ผมเป็นคนที่เมื่อมุ่งมั่นตั้งใจแล้วก็จะต่อสู้ อย่างเช่นเรื่องหุ้น กฟผ.ที่มีการไปจัดตั้งบริษัท กฟผ.ไว้แล้ว ตอนนั้นใครจะคิดไว้ กฟผ.จะแปรรูปไม่สำเร็จ ตอนที่มีการเอาหุ้นไปแจกกัน ก็มองเห็นเงินล้านอยู่ข้างหน้า แต่ผมไม่รับ นี้คือจุดยืนของผม ที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อองค์กร ถ้าผมไปรับหุ้นตอนนั้น แล้วผมจะเงยหน้าขึ้นมาได้อย่างไร คนก็จะมองว่าที่ผมเคลื่อนไหว แต่พอมีผลประโยชน์มาให้ก็รับไว้
การเคลื่อนไหวในภาคประชาชนที่ผ่านมา ผมกล้าบอกเลยว่า ผมไม่เคยรับเงินใครมาเคลื่อนไหว
ผมยืนยันได้ว่าไม่มีใครมาซื้อผมได้ ดังนั้นเงินที่เสียไป หรือการที่ตัวเองต้องโดนดำเนินคดี เรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำ เราต่อสู้เพื่อส่วนรวม
ดังนั้น หากถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แล้วถามว่าจะเข้าร่วมเป็นแกนนำพันธมิตรหรือไม่ ก็ตอบได้ว่าก็เข้าร่วม โดยที่ตอนแรกที่เข้าไปก็ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นมาเป็นแกนนำ แต่เมื่อเขาเลือกให้เราขึ้นมาเป็นผู้นำ เราก็พยายามทำหน้าที่ดูแลผู้ชุมนุม ดูแลความปลอดภัยต่างๆ ไม่ให้เกิดความสูญเสีย ทำให้มวลชนก็เชื่อมั่น ศรัทธา และให้ความร่วมมือกับเรา ทำให้เห็นว่าพันธมิตรฯ ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่เราเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ถูกไล่ยิง โดนกระทืบ ตำรวจเหยียบ คือโดนทุกอย่างเลย แต่เราก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ตอบโต้กลับ นี้คือพันธมิตรฯ ที่มีอุดมการณ์มุ่งมั่น
ประสบการณ์และสิ่งดีๆ ที่ได้ในชีวิตการเป็นนักเคลื่อนไหวในช่วงก่อนหน้านี้ ก็คือการได้เจอคนดีๆ คนที่ทำงานเพื่อชาติ บ้านเมือง เพราะพันธมิตรฯ ที่มาร่วมกันต่อสู้ ก็คือคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คนที่มีความมุ่งมั่นอยากเห็นบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า บ้านเมืองมีการพัฒนาอย่างถูกต้อง ต่อสู้กับนักการเมืองที่ใช้อำนาจที่ฉ้อฉล เป็นพลังการตรวจสอบของภาคประชาชนที่เป็นพลังบริสุทธิ์ ทุกคนมาเข้าร่วมกันด้วยการเสียสละจริงๆ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
"ก็ต้องขอบคุณครอบครัวที่ให้กำลังใจเสมอมา เขาก็มีความห่วงใยเรา ตั้งแต่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงม็อบ กฟผ.ที่คัดค้านการแปรรูปแล้ว จนมาถึงพันธมิตรฯ เขาก็เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ เพราะครอบครัว ก็สนใจการเมือง เขาก็รู้ว่านักการเมืองเป็นอย่างไร"
เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับคำพูดที่นักเคลื่อนไหวการเมืองมักพูดกันว่า "นักรบต้องมีบาดแผล" โดย "ศิริชัย-อดีตแกนนำพันธมิตรฯ" บอกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ก็เหมือนกับอย่างพระธุดงค์ คือหากอยากเป็นพระที่สวดมนต์อยู่ในวัด ก็ไม่ต้องไปฝ่าดงหนาม เสี่ยงจะโดนพิษร้ายกัดต่อย ก็อยู่วัดก็ได้ ปฏิบัติธรรมในวัดไป แต่ถ้าเป็นพระธุดงค์ ก็ไปธุดงค์เพื่อแสวงหาความจริงของโลกเพื่อให้เห็นสัจธรรม เมื่อไปเดินธุดงค์ในป่าก็ต้องเจอหนาม อาจต้องเจองู เจอสัตว์ป่าอะไรต่างๆ
"เรื่องของการเป็นนักรบ เป็นธรรมดาต้องมีบาดเจ็บ อาจต้องสูญเสียอวัยวะ หรืออาจต้องสูญเสียชีวิต ผมคิดว่านี้คือพันธมิตรฯ ที่เห็นหมดสัจธรรมต่างๆ บางคนมา แล้วเขาต้องเสียชีวิตในช่วงการเคลื่อนไหว เช่นในช่วงสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อ 7 พฤษภาคม 2551 หลายคนก็บาดเจ็บต้องพิการจนถึงวันนี้ เขาเหล่านี้มาเพื่ออะไร ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้สนุกเลย แต่มาเพื่อต่อสู้เพื่อบ้านเมือง"
-ในการเป็นนักเคลื่อนไหวแล้วต้องเจอคดีมากมาย ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่กับบางคนเช่นนายทักษิณ ชินวัตร ที่โดนตัดสินคดีทุจริต แล้วตอนนี้ก็ไปนอนรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ มีความรู้สึกอย่างไรหรือไม่?
ผมคิดว่ากฎหมายก็ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ เพียงแต่คนที่ใช้กฎหมายจะเคารพกฎหมายหรือไม่ หรือว่าจะเลือกปฏิบัติ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ก็ต้องทบทวนบทบาทตัวเองว่า ท่านมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงแล้วเลือกปฏิบัติ แล้วสุดท้ายจะไปบังคับใช้กฎหมายได้อย่างไร บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร แล้วยิ่งวันนี้เพื่อไทยอยู่ในอำนาจ แล้วจะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นแบบนี้หรือ.
.........................................................................................................
หากจะออก 'กม.นิรโทษกรรม' ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เพื่อลดความขัดแย้ง ถึงเวลามันก็ต้องทำ แต่ใครจะเป็นคนทำ และหากทำแล้วต้องให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อะไรที่ให้ได้ อะไรให้ไม่ได้ ต้องอธิบาย ต้องมีการรับฟังจากทุกส่วน ให้ได้มีโอกาสพูดคุยกัน และคนที่หากจะได้รับการนิรโทษกรรม ก็ต้องมีสำนึกด้วย เพราะทุกอย่างมันเกิดจากนักการเมือง เพราะหากนักการเมืองไม่ทุจริตคอร์รัปชัน เคารพกฎหมาย ก็ไม่มีการชุมนุม ไม่มีการประท้วง ไม่มีการขับไล่
"ศิริชัย-อดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่สอง" ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบตามมาจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง เขาให้ความเห็นหลังเราถามว่า มองเรื่องแนวทางการสร้างความปรองดองและการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีชุมนุม หรือคดีแสดงออกทางการเมืองอย่างไร?
กับคำถามดังกล่าว ศิริชัย มีข้อคิดเห็นว่า ตัวผมเอง ก็อยู่ในฐานะที่จะมีส่วนได้เสียในเรื่องหากจะมีการนิรโทษกรรม แต่ก็ได้เห็นว่าบ้านเมืองเรา นักการเมืองที่เคยใส่กัน เคยโจมตีกัน เช่นบอกว่าอีกฝ่ายเป็นเผด็จการ แต่หลังเลือกตั้งมา จะมาตั้งรัฐบาล ก็บอกว่าต้องมีรัฐบาลปรองดอง ต้องสมานฉันท์เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
"เรื่องที่จะให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรืออะไรต่างๆ เช่น ล้างมลทิน ก็ต้องออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาคดีความ ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูกัน ถามว่าคนมีความผิด แล้ววันนี้มันตามมา มันไม่ได้โยงแค่พันธมิตรฯ, นปช., กปปส. แต่ยังมีด้อมส้มอะไรต่างๆ มันจะไปใหญ่ ที่สุดท้ายจะไปกระทบชาติ ศาสนา และสถาบัน ไปกระทบความสามัคคีของคนในชาติ อันนี้ก็ต้องดูให้ดี ถามว่าถ้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ แล้วทำให้อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม จะเป็นกระแสที่จะตามมา ที่บอกว่าอยากจะเห็นความปรองดองของคนในชาติ มันจะเกิดขึ้นหรือไม่"
เมื่อถามว่า หลังมีการเปิดสมัยประชุมสภาฯ หากจะมีการขับเคลื่อนเรื่องการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เช่นหากฝ่ายพรรคการเมืองซีกรัฐบาลมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภาฯ เพื่อประกบกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่พรรคก้าวไกลเสนอไปก่อนหน้านี้ "ศิริชัย" ตั้งคำถามกลับมาว่า เรื่องนี้ก็ต้องถามว่ามีความจริงใจหรือไม่ ทั้งที่คนของฝ่ายเพื่อไทยเองก็โดนดำเนินคดี อย่างการชุมนุมของ นปช.ที่แกนนำไปปลุกผู้เข้าร่วมการชุมนุมให้ทำลายสถานที่ต่างๆ แล้วบอกว่าจะรับผิดชอบเอง ที่คือการปลุกทางการเมือง สุดท้ายคุณจะไม่คิดนิรโทษให้เขาหรือ วันนี้คุณอยู่ในอำนาจแล้ว เลยอาจทำให้มองไม่เห็นมวลชนที่เคยออกมาช่วงนั้น ก่อนหน้านี้เคยได้ยินที่มีแกนนำ นปช.บอกว่าเหมือนเขาโดนทิ้ง คือพอโดนดำเนินคดีก็ทิ้งเขาเลย เขาสู้เพื่อให้นักการเมืองกลับสู่อำนาจ แต่พอนักการเมืองมีอำนาจเคยหันกลับไปดูเขาหรือไม่ แต่พันธมิตรฯ ยังดีมีกองทุน มีทนายมาคอยช่วยดูเรื่องคดีให้ มีการช่วยแบ่งเบาเยียวยาให้
เมื่อถามย้ำว่า เห็นว่าตอนนี้ถึงเวลาหรือยังที่จะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่พูดกันมานาน คำตอบที่ได้ "ศิริชัย" ระบุว่า
"ผมคิดว่าเพื่อลดความขัดแย้ง ถึงเวลามันก็ต้องทำ แต่ใครจะเป็นคนทำ และหากทำแล้วต้องให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อะไรที่ให้ได้ อะไรให้ไม่ได้ ต้องอธิบาย ต้องมีการรับฟังจากทุกส่วน ให้ได้มีโอกาสพูดคุยกัน และคนที่หากจะได้รับการนิรโทษกรรม ต้องมีสำนึกด้วย เพราะทุกอย่างมันก็เกิดจากนักการเมือง เพราะหากนักการเมืองไม่ทุจริตคอร์รัปชัน เคารพกฎหมาย มันก็ไม่มีการชุมนุม ไม่มีการประท้วง ไม่มีการขับไล่".
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'สนธิ' ประกาศปีหน้าทำ 3 เรื่อง ปลุกไล่รัฐบาล เป็นการเดินครั้งสุดท้ายในชีวิต
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ช่องยูทูบที่ใช้ชื่อว่า Sondhitalk ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิ
คำพิพากษาที่งดงาม ศาลอาญายกฟ้องพันธมิตรฯชุด 2 คดีปิดสนามบิน
ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบ พธม.บุกสนามบินดอนเมือง หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงาน
แกนนำพันธมิตรฯโอเคนิรโทษกรรม แต่คดี 112 ต้องคุยกันยอมรับได้หรือไม่
นายศิริชัย ไม้งาม อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่น 2 ซึ่งเป็นผู้ที่ในวงสนทนา เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา ระหว่างนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ” อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม และอดีตแนวร่วมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูป
ศิริชัย ไม้งาม แกนนำพธม.รุ่น2 นักสู้พร้อมมีบาดแผล รอลุ้นคดีอาญาสนามบิน 18 ธ.ค.
แม้ถึงตอนนี้ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"(พธม.)ที่บางคนเรียกกัน"ฝ่ายเสื้อเหลือง"จะยุติบทบาททางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาสิบกว่าปีแล้ว
'ประพันธุ์' เผยศาลอุทธรณ์ยกฟ้องพันธมิตรฯ คดีควรจะต้องถึงที่สุดแล้ว หากยื่นฎีกาก็ต้องร้องอสส.
นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งในจำเลยในคดีกลุ่มพันมิตรฯชุมนุมปิดล้อมสภาฯ ปี 2551 เปิดเผยหลังศาลอ่านคำพิพากษาว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ด่วน! ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้องพันธมิตรฯปิดล้อมสภาปี 51 ชี้ชุมนุมสงบ
ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีดำอ.4924/55 ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ร่วมกันชุมนุมที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ และอดีตแนวร่วมคนอื่น ๆ รวม 21 คน