เรืองไกร ผู้ร้องคดี-หุ้นสื่อ “พิธา”ไม่รอด-วืดนายกฯ

          ประเด็นทางการเมืองที่อยู่ในความสนใจเวลานี้ ก็คือเรื่องการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล”ที่กำลังลุ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

หลังมีรายงานว่า กกต.เริ่มขยับตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ขณะที่พิธา ก็เปิดเผยว่าได้โอนหุ้นไอทีวีให้ทายาท ที่เห็นชัดว่านี้คือหนึ่งในกระบวนการสู้คดีของพิธา เพื่อหวังปลดล็อกปมปัญหาดังกล่าวเพื่อให้ตัวเองสามารถขึ้นสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ ต้องรอติดตาม

          “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ -ผู้ร้องเรื่องคดีถือหุ้นไอทีวีของพิธา ต่อกกต.”กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจหลังเราถามถึงว่ามั่นใจหรือไม่ว่า เรื่องนี้พิธา ไม่รอดเพราะทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3)ถือหุ้นสื่อก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งและก่อนพรรคก้าวไกลเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวตอบมาว่า “ผมว่าไม่รอด หากดูจากคำวินิจฉัยในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา แต่ส่วนตัวผมมั่นใจ เพราะอย่างศาลก็เคยวินิจฉัยมาแล้วว่า แม้แต่หุ้นเดียวก็ถือไม่ได้ และคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตผู้สมัครส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ที่อ้างถึงกัน  ไปดูคำตัดสินดีๆ ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องจำนวนหุ้นเลย แต่ตอนนี้ ต้องรอดูว่า พิธา จะไปให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ของกกต.ที่ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างไร”

..ผมว่าไม่รอด หากดูจากคำวินิจฉัยในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา แต่ส่วนตัวผมมั่นใจ เพราะศาลเคยวินิจฉัยมาแล้วว่า แม้แต่หุ้นเดียวก็ถือไม่ได้..พิธา ไม่มีโอกาสจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงต่อให้ไม่มีเรื่องหุ้น สว.ชุดนี้ เคยโหวตคว่่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เคยเสนอไปกี่รอบแล้ว เขากลัวไหม เขาก็มีศักดิ์ศรี เป็นสภาสูง แต่คุณไป look down เขาตลอด

          ..ผมเชื่อว่า กกต.คงสรุปคำร้องแล้วส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตัวของ พิธา ก็ต้องไปแก้ต่างที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องหุ้นไอทีวีของนายพิธาดังกล่าว จุดสำคัญคือ"ข้อเท็จจริง"ที่ปรากฏในเอกสารบมจ.006 (เอกสารบัญชีผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชน) ที่แสดงให้เห็นว่า นายพิธาถือหุ้นไอทีวีอยู่ และข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ และข้อเท็จจริงที่ได้ยื่นเรื่องขอให้ กกต.เรียกข้อมูลจากส่วนราชการ เพราะหลายคนตอนนี้ชอบพูดว่าไอทีวีเลิกกิจการ ทั้งที่ความจริงเขาเลิกโดย"ถูกบังคับ"หลังมีข้อโต้แย้งกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.)

          ซึ่งข้อโต้แย้งสิทธิ์ดังกล่าวทางไอทีวีเอง ไม่ได้ยอมรับ จึงนำไปฟ้องอนุญาโตตุลาการสองครั้ง โดยครั้งแรก อนุญาโตตุลาการไม่วินิจฉัยให้ ครั้งที่สอง เขาร้องอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่า "การเลิกสัญญาไม่ชอบ"ทำให้สปน.ก็เดือดร้อน เพราะสปน.คือเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อถูกระบุว่าไปเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ ก็ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันตามมา จนเรื่องไปที่ศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองกลางก็ตัดสินว่า อนุญาโตตุลาการชี้ขาดถูกต้องแล้ว และศาลปกครองไม่มีอำนาจไปยกเลิกคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ศาลก็ตีตก ยกคำร้อง ต่อมาทาง สปน.ก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมาถึงตอนนี้ ปี 2566 ก็คาดว่าในทางคดีก็คงจะใกล้ออกมา แต่ถ้าดูสาระสำคัญของคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เขาชี้ขาดข้อกฎหมาย และศาลก็เห็นว่าเขาชี้ขาดถูกต้อง ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจไปยกเลิก ผมที่อ่านฎีกา-อ่านเรื่องพวกนี้มาเยอะ ก็มองว่าโอกาสที่ไอทีวีจะได้สิทธิ์คืนมีสูง โดยหากไอทีวีชนะ ก็จะเหมือนกับคดีต่างๆ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนแล้วรัฐเป็นฝ่ายแพ้ก่อนหน้านี้เช่นคดีโฮปเวลล์ ที่ก็คือต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้ผู้ชนะคดี หรือชดเชยอะไรให้

          ...หลายคนที่เคยอยู่ไอทีวี ไม่ว่าสื่อมวลชนหรือพิธีกร ที่ออกมาให้ความเห็นว่าไอทีวีเลิกกิจการไปแล้ว แสดงว่าคุณไม่เคยรักษาสิทธิ์ของตัวเองเลย เพราะไปทำช่องอื่นกันหมด แต่ไม่เคยรู้เรื่องของไอทีวีว่า ณ วันนี้ ไอทีวียังมีคดีความที่ศาลปกครองสูงสุดอยู่ คดียังไม่สิ้นสุด โดยไอทีวี จากที่ผมสันนิษฐานหลังเห็นข้อมูลต่างๆ คือ เป็นสื่อ และยังกลับมาเป็นสื่อได้ด้วย ซึ่งหากนายพิธาเกิดได้เป็นนายกฯ ก็ต้องรับภาระนี้ไปแก้ไข เพราะการบริหาราชการแผ่นดิน ไม่ใช่ว่าคนก่อนหน้านี้ทำ แล้วเข้าไปทีหลังจะไม่ทำตามไม่ได้ ยกเว้นแต่จะไปยกเลิกมติครม.หรือไปแก้กฎหมาย

เพราะฉะนั้น จะมาบอกว่าชนะเลือกตั้งมา แล้วก็ไปเดินสายคุยกับคนจากกลุ่มต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.มา แบบนั้นผมว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะประชาชนเลือกชัชชาติมาโดยตรง แต่กรณีของพิธา เป็นเรื่องของ8 พรรคการเมืองมาจับมือกันแล้วรวมเสียงได้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งแล้วจะมาเที่ยวแอ็คอาร์ต ไปพบคนกลุ่มต่างๆ มันจะเป็นการโอเวอร์รีแอคชั่นหรือไม่ แต่ผมดูแล้วการบริหารราชการแผ่นดินต้องมีขั้นตอน มีกฎ ระเบียบ ไม่ใช่ตั้งเองเออเอง ควรให้มาเป็นขั้นตอนคือให้เปิดประชุมสภาฯ เลือกประธานสภาฯ แล้วมีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ก่อนจะเหมาะสมกว่า

..และการโหวตเลือกนายกฯ ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา 376 เสียง แต่ฝ่ายที่จัดตั้งรัฐบาลตอนนี้รวมเสียงแล้วไม่ถึง ก็เลยพยายามจะขอเสียงสมาชิกวุฒิสภา ทั้งที่ไปต่อว่าสว.เขามาตลอดสี่ปี แล้วมาบอกว่า จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคเผด็จการ แต่สว.ก็ตั้งมาโดยเผด็จการที่พวกคุณไปกล่าวหาเขาไม่ใช่หรือ แต่วันนี้มาคอยวิ่งอ้อนวอนเขา กลืนน้ำลายหรือไม่ ทั้งหมดควรรอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียก่อนดีกว่า แต่ก่อนจะเป็น เรื่องเสียง 376 เสียง ผมว่ายากแล้ว แต่ยังต้องผ่านด่านลักษณะต้องห้ามที่ได้ยื่นคำร้องไปให้กกต.ครั้งนี้ด้วย

"เรืองไกร"ย้ำว่าผลของการร้องครั้งนี้ หากสุดท้าย ถ้าพิธา ไม่รอด โดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าครอบครองหุ้นสื่อก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็จะทำให้พิธา หลุดจากการเป็นส.ส. และขาดจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล แต่มันมีประเด็นที่ผมร้องไปก่อนหน้านี้ คือหากพิธา มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติการลงเลือกตั้ง จะทำให้การเสนอชื่อบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.เขตและบัญชีราายชื่อของพรรคก้าวไกล ต้องเสียไปด้วยหรือไม่ เพราะเหตุว่า"ข้อบังคับพรรคก้าวไกล"ที่ออกมาตอนปี 2563 พบว่า เขียนเกินกว่าพรบ.พรรคการเมืองฯ เพราะมาตรา 24 ของพรบ.พรรคการเมืองฯ ที่มีการแก้ไขรอบล่าสุด บัญญัติว่า สมาชิกพรรคการเมือง ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในข้อบังคับพรรค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 โดยเขียนไว้หลายข้อ แต่ข้าม 98(3)ที่เป็นเรื่องการห้ามถือหุ้นสื่อก่อนเลือกตั้งไว้ให้ แต่ปรากฏว่าพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้มีการแก้ไขให้สอดคล้องกับพรบ.พรรคการเมืองฯ แต่ไปเขียนไว้ว่า สมาชิกพรรคต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ โดยไปยกมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญที่เป็นลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี มาใส่ไว้ในข้อบังคับพรรคก้าวไกลทั้งหมด

          ..ผมเลยร้องว่า เมื่อสมาชิกพรรค(พิธา)ทำผิดข้อบังคับพรรคแล้วมีสิทธิ์ไปเซ็นรับรองคนอื่นได้หรือการตรวจสอบข้อบังคับพรรคดังกล่าว ผมไม่ได้ดูแค่ข้อบังคับพรรคปี 2563 ที่ผมนำไปร้อง แต่ได้ดูด้วยว่าแล้วข้อบังคับพรรคก้าวไกลหลังจากปี 2563 ที่ออกมาอีกมีการแก้ไขตรงนี้หรือยัง ก็ไม่พบว่ามีการแก้ไข ก็เหมือนกับตอนที่มีการเสนอร่างแก้ไขรายมาตราหลายรอบ โดยเฉพาะรอบล่าสุดที่แก้ไขระบบการเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวเป็นบัตรสองใบ และเปลี่ยนวิธีการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ สมาชิกรัฐสภาก็ไม่ได้มีการเสนอแก้ไขให้ถอดมาตรา 98 (3)นี้ออก ทั้งที่มีโอกาสแก้ไข แต่ก็ไม่มีการแก้ไข หลายคนก็มาตกม้าตายเพราะเรื่องง่ายๆ ผมก็ส่งประเด็นนี้ไปให้กกต.พิจารณา โดยมีการอ้างอิงข้อกฎหมายชัดเจน เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเซ็นรับรองให้คนลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เพราะผมคิดว่าเขาขาดคุณสมบัติตั้งแต่ตอนเลือกตั้งปี 2562

          ส่วนว่าผลที่จะตามมาหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พิธา ถือหุ้นสื่อลงเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งการที่นายพิธาทำหน้าที่เป็นส.ส.มาร่วมสี่ปีในสมัยที่แล้ว มติต่างๆ ของสภาฯ ที่นายพิธา ไปร่วมลงมติไว้ตอนเป็นส.ส.สมัยที่แล้วจะไม่มีผล เพราะรัฐธรรมนูญรับรองไว้ แต่พวกเงินประจำตำแหน่งต่างๆ ค่าตอบแทนต่างๆ เช่นเงินเดือนของทีมงานของนายพิธาแปดคนสมัยเป็นส.ส.ในช่วงสภาฯสมัยที่ผ่านมาที่ได้จากสภาฯ  เขาก็ต้องรับผิดชอบ

...ส่วนว่าผลคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไรก็ต้องรอดู แต่ผมก็ร้องไปว่า การที่เขา(พิธา)ใช้สิทธิ์รับรองแล้วลงลายมือชื่อในฐานะหัวหน้าพรรค เมื่อไม่มีสถานาะเพราะหมดสภาพไปแล้วจากการทำผิดข้อบังคับพรรคก้าวไกลดังกล่าว ทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์เที่ยงธรรม แต่โทษฐานความผิดเรื่องนี้ไม่ถึงขั้นยุบพรรค เพราะตอนแก้ไขพรบ.เลือกตั้งส.ส.มีการแก้ไขโดยไม่ให้มีเรื่องยุบพรรคเขียนไว้

          -ถ้าผลออกมาโดยศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การเซ็นรับรองผู้สมัครส.ส.ของนายพิธา ไม่ชอบด้วยข้อบังคับพรรคก้าวไกล จะมีผลทำให้ อย่าง 39 ที่นั่งส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคก็อาจต้องหายไป?

          ผมเห็นว่าการที่เขาใช้สิทธิ์รับรองส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะหัวหน้าพรรคโดยลงลายมือชื่อ เมื่อคุณหมดสภาพไปแล้ว มันก็ไม่ควรจะได้รับการพิจารณา ก็ควรตัดออกไป ซึ่งวิธีการตัดเรื่องบัญชีราายชื่อ ที่ผมให้ความเห็นไปในคำร้อง ผมก็บอกว่าควรตัดออกทั้งหมด บัญชีรายชื่อนายกฯก็ต้องตัดออก ส่วนส.ส.เขต ก็ควรพิจารณาเฉพาะที่พรรคก้าวไกลชนะ แต่เมื่อได้มาโดยคนที่ไม่ชอบมาส่งลงเลือกตั้ง ทางกกต.จะปรับบทกฎหมายหรือศาลจะว่าอย่างไร ก็ว่ากันไป แต่ข้อเท็จจริงมันชัดอยู่ เพราะหากพรรคไม่เขียนไว้แบบนั้น ผมก็ไม่มีมุมร้อง เพราะเขาไปเขียนว่าสมาชิกพรรคต้องไม่ถือหุ้นสื่อ ซึ่งถือว่าแรงกว่ารัฐธรรมนูญเสียอีก เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แค่ว่า ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ได้เขียนไว้ถึงขั้นสมาชิกพรรค แบบนี้ตายเลย บังคับกับสมาชิกพรรคทุกคน โดยทั้งหมด ผมก็ให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่สำนักงานกกต.ไปตามนี้แล้ว

          -การทำคำร้องของกกต.อาจส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแค่ว่านายพิธา ถือหุ้นสื่อก่อนลงเลือกตั้ง โดยไม่ส่งประเด็นเรื่องทำผิดข้อบังคับพรรคก้าวไกล แล้วไปเซ็นรับรองให้คนลงเลือกตั้ง ไปให้ศาลวินิจฉัยได้หรือไม่ คือไม่ส่งไปครบทุกประเด็นที่ร้องไปได้หรือไม่?

          คือเขาจะเอาหรือไม่เอาก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่ส่งประเด็นดังกล่าว เหตุผลคืออะไร เพราะประเด็นคำร้องที่ผมยื่นไป มันแยกเป็นข้อๆ ครบหมด แต่หากกกต.จะไม่ส่งบางประเด็นไปให้ศาลวินิจฉัย ตามหลัก กกต.ต้องตอบกลับมายังผู้ร้องว่าประเด็นที่ไม่รับวินิจฉัยเป็นเพราะอะไร ที่ผ่านมา กกต.จะตอบกลับมาทุกครั้ง ทุกเรื่องที่ส่งไป

          -การที่นายพิธา โอนหุ้นไอทีวีไป ในช่วงนี้ มองว่าเป็นอย่างไร?

          ไม่มีผล ก็อยากถามว่า ที่ผ่านมา เขาเถียงว่า เรื่องนี้ไม่ผิดเพราะเป็นกองมรดก แล้วโอนทำไม แต่ไม่มีผลเพราะความผิดสำเร็จแล้ว เหมือนกับบางเคสเช่นอดีตกรรมการป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง โดยแม้ต่อมา จะมีการยกเลิกมติและคืนเงิน แต่ศาลฎีกาฯ ก็ตัดสินว่ามีความผิด

ผมไม่มีปัญหาอะไรกับ”พิธา”

กับความหลังการเมืองพรรคส้ม  

          -ส่วนตัวเคยเจอ พูดคุยกับพิธา ในช่วงสภาฯสมัยที่แล้วบ้างหรือไม่

          ก็เคยเจอ ก็เจอตั้งแต่เขายังเป็นส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ตอนนั้น สภาฯ ไปเช่าที่ตรงสำนักงานใหญ่ทีโอที แจ้งวัฒนะ ซึ่งตอนนั้น ผมเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็ไปที่นั่นบ่อย แล้วห้องของเพื่อไทยกับอนาคตใหม่ มันอยู่ติดกัน คนของพรรคอนาคตใหม่ เขาก็เข้ามาคุยกับผม มาปรึกษาเรื่องอะไรต่างๆ อย่างนายชัยธวัช ตุลาธน ที่เป็นเลขาธิการพรรคก้าวไกลเวลานี้ ตอนนั้นเขาก็นัดผมคุยด้วย ก็ไปคุยกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและปิยบุตร แสงกนกกุล คุยกันหลายเรื่องให้ข้อคิดข้อหารือ แล้วพอรัฐสภาย้ายมาอยู่ที่เกียกกาย มีอยู่ปีหนึ่ง ธนาธร เขาเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาฯ ก็พอดีผมเป็นกรรมาธิการอยู่ด้วย ก็เลยนั่งใกล้ๆ กัน ก็มีการพูดคุยกันในตอนพิจารณาพรบ.งบฯ บางเรื่องเขาไม่เข้าใจ ก็มาสอบถาม เช่นเรื่องงบทหาร เขามาขอความรู้ผม ตัวผมก็อธิบายให้ฟัง แต่ไม่ใช่เฉพาะอนาคตใหม่ -ก้าวไกล พรรคอื่นมาถาม ผมก็อธิบายให้ฟังหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า การที่คุณถามผม แล้วผมบอกคุณ แล้วผมจะไม่ตรวจสอบก็ไม่ใช่ ผมว่าตามเนื้อผ้า

          สำหรับกับตัวพิธา เขากับผมไม่มีอะไรกัน ก็เคยเจอและพูดคุยกัน แต่บางอย่าง ผมก็เคยติงเขา เช่น มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เขาเป็นกรรมาธิการงบประมาณฯ ของสภาฯ กับผม มีอยู่วันหนึ่ง พิธา ลงไปรับเรื่องจากกลุ่มมวลชนที่มาร้องอะไรสักอย่างที่รัฐสภา  แล้วก็แถลงข่าว พอเสร็จเขาขึ้นมา ประชุมต่อ ผมก็บอกเขาว่า แบบนี้ไม่ได้ จะไปรับปากว่าจะปรับลดงบประมาณแล้วจะไปเพิ่มอะไร มันขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ผมก็เตือนเขา เพราะปรับลดได้ แต่แปรญัตติเพื่อเพิ่มงบประมาณไม่ได้ ก็เตือนกันธรรมดา แต่ถูกใจหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ผมพูดเรื่องถูกต้องทั้งนั้น แต่ผมกับเขา ไม่มีอะไรกัน

          “แต่มีส.ส.เขาเอง เคยเจอกับผม แล้วบอกว่า ถ้ามีอะไร ก็เว้นหัวหน้าเขาสักคน คือตอนนั้นผมกำลังดูเรื่องหุ้นของภรรยาเขา ที่ไม่ได้แจ้งป.ป.ช. ในช่วงที่ตอนนั้นพิธาเป็นกรรมาธิการงบประมาณฯ”

          ...แต่อย่างนโยบายพรรคก้าวไกลบางเรื่องเช่น จะให้ถ่ายทอดสดการประชุมคณะกรรมาธิการของสภาฯ ทุกคณะ เขียนไว้เป็นนโยบายพรรค จะบ้าหรือ สภาฯ มีกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ แล้วก็ยังมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดต่างๆ อีกมาก แล้วจะเอาช่องทางไหนไปถ่ายทอดสดได้ทุกคณะ ทำไม ไม่เอาไปถึงคณะอนุกรรมาธิการไปเลย คือวิธีคิดของเขา คนที่ไม่เข้าใจ ก็บอกจะเอาหมด เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง จะเอารายละเอียดงบประมาณ เป็นตาราง เอกซ์เซล แต่หน่วยงานรัฐ เขาก็ไม่ให้เพราะเกรงจะนำไปmodified แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง จะขอให้ถ่ายทอด แล้วพอไม่ได้ ก็ไปโพสต์ลงfacebook พวกข้าราชการก็ฟ้องผมมา มันก็เข้าข่ายหมิ่นประมาท จนต้องนำเรื่องนี้ไปหารือในคณะกรรมาธิการ ก็สอบถามกันว่าใครไปทำ ผมก็บอกว่า การทำแบบนี้ มันต้องดูข้อกฎหมายด้วย ไม่ใช่ว่าจะพูดๆอะไร แต่คนอื่นเขาเดือดร้อน คือคนเขาไม่รู้ ไม่แม่น

แนะส.ส.หลังเปิดสภาฯเข้าชื่อ

ส่งศาลรธน.-ให้พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่  

          -หากพิธา ไม่รอดในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ โดยหลุดจากส.ส.ด้วยและขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ?

          ก็รอไปอีกสี่ปี อย่างธนาธรกับปิยบุตร ที่โดนคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ถึงตอนนี้เขาเหลืออีกหกปี แต่กรณีของพิธา แค่มีลักษณะต้องห้าม โดยหากเขาหลุดจากส.ส. ก็ต้องเลื่อนผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล คนถัดไปขึ้นมาแทน เว้นเสียแต่บางกรณีเช่น มีเลือกตั้งซ่อมส.ส.ระบบเขต เกิดขึ้น ก็หาช่องสมัครเข้ามาใหม่ เพราะว่าไม่ได้โดนตัดสิทธิ์  แต่ในส่วนของการจะเป็นนายกฯ เลยสมัยนี้ เป็นไม่ได้เพราะขัดคุณสมบัติ

ส่วนกกต.จะส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อใด ก็ต้องแล้วแต่กกต. แต่ถึงตอนที่ประชุมร่วมรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีต้องระวัง เพราะคุณสมบัติของคนจะเป็นนายกฯ จะมีหลายเรื่องเช่น ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ถ้ามีการเสนอชื่อพิธาตอนนั้น ก็อาจจะมีการอภิปรายจากที่ประชุมกันพอสมควร โดยเฉพาะจากสมาชิกวุฒิสภา ถ้าจะดันทุรังไป ความสง่างามมันจะไม่ได้ แต่ความอยากมีเยอะ เห็นแถลงอะไรต่างๆ ไปเที่ยวพบคนนั้นคนนี้ คืออยากเป็นนายกฯมาก

          หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ผมก็อาจจะเสนอไปยังสภาฯ ผ่านไปยังส.ส.เพราะเมื่อกกต.รับรองแล้ว ก็ถือว่าแต่ละคน มีสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 82 บัญญัติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ มีสิทธิ์เข้าชื่อร้องต่อประธานสภาฯ ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลงเพราะมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 101  หรือไม่ ซึ่งกรณีแบบนี้สภาฯสมัยที่แล้ว ก็เคยมีการทำเช่น ที่ส.ส.ฝ่ายค้านชุดที่แล้ว ที่มีพรรคก้าวไกลรวมอยู่ด้วยเข้าชื่อกันยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แล้วต่อมา ศาลสั่งให้นายศักดิ์สยาม หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก็เหมือนกับตอนสมัยผมร้องคุณสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี  ตอนนั้นก็มีการส่งเรื่องแบบนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ทำไปสองทาง เพื่อช่วยกันพิจารณาให้เกิดความรอบคอบ กรณีนายพิธา ผมก็อาจจะเสนอส.ส.เขาว่า เรื่องนี้ควรพิจารณาดำเนินการ เพราะมันไม่ใช่แค่คุณสมบัติของส.ส.หรือสว. แต่เป็นเรื่องคุณสมบัติคนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี มันต้องสง่างาม โปร่งใส มีความซื่อสัตย์ เพราะเป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ซึ่งหากเขาถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ถามว่าอย่างสว.เขาจะสังฆกรรมกับคุณด้วยหรือไม่ แม้ 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลจะยืนยันเสนอชื่อพิธา มาให้โหวตเป็นนายกฯ เพราะอย่าลืมว่าสว.เขามีประสบการณ์ มีความชำนาญเรื่องการตรวจสอบบุคคลต่างๆ เพราะสว.เขาต้องลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ บุคคลที่ได้รับเลือกมาให้เป็นกรรมการองค์กรอิสระเช่นป.ป.ช.  ทางสว.ก็ต้องอภิปรายเรื่องนี้อยู่แล้ว 

          -ประเมินว่า พิธา จะได้เสียงโหวตถึง 376 เสียง หรือไม่ โดยเฉพาะเสียงจากสว.?

          เรื่อง 376 เสียงมันยากอยู่แล้ว เพราะคุณไปด่าเขา มาตลอดสี่ปี เขาก็คนเหมือนกัน เขาก็คิดเป็น  หรืออย่างบางพรรคการเมือง ที่เคยปฏิเสธไม่เอามาร่วมเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลด้วย แต่วันนี้จะต้องไปง้อเขา

“ผมดูแล้ว พิธา ไม่มีโอกาสจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีเลย ถึงต่อให้ไม่มีเรื่องหุ้น ก็ไม่มีทางได้เสียงถึง 376 สว.ชุดนี้ เขาก็เคย โหวตคว่่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เคยเสนอไปกี่รอบแล้ว เขากลัวไหม เขาก็มีศักดิ์ศรี เป็นสภาสูง แต่คุณไป look down เขามาตลอด ผมจึงมองว่า คะแนนเสียงโหวตตามบทเฉพาะกาลที่จะต้องได้ 376 เสียง คะแนนมันจะไม่ถึง มันยาก”

                                                          โดยวรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“รองประธานสโมสร เชียงราย ยูไนเต็ด สู่นักการเมืองหญิงแกร่ง”

หลายคนรู้จักกับนักการเมืองรุ่นใหญ่ อย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” อดีตประธานรัฐสภา ที่มีลูกสาว “สส.โฮม” ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่ “สส.โฮม” ได้ตัดสินใจลงเล่นการเมือง จากมาดามสู่สส. มีอะไรต้องเปลี่ยนเยอะ และด้วยภาพลักษณ์ที่สดใส เป็นมิตร เฟรนลี่กับทุกคน จึงได้รับคำเรียกเล่นๆว่า ทูตสันถวไมตรี เพราะ “สส.โฮม” เป็นกันเอง ไม่ถือตัวกับทุกคน แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของ “โฮม” นั้น ผ่านอะไรมาบ้าง จึงได้ไปสอบถาม

เลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด บ้านใหญ่ รอเข้าวิน พท.กวาดเยอะ-พรรคส้ม เสี่ยงร่วง

ยิ่งใกล้ถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือนายก อบจ. พบว่าการหาเสียงของผู้สมัครนายก อบจ.ทั้งที่ลงในนามพรรคการเมือง และไม่ได้ลงในนามพรรค

ร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม .. ณ จังหวัดนครปฐม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ โครงการร้อยใจธรรม สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ที่ดำเนินการโดย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน

ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล

ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?

2 สว. “ชาญวิศว์-พิสิษฐ์” ปักธงพิทักษ์รธน. ปกป้องสถาบันฯ พวกเราเป็นอิสระ ไม่มีรับใบสั่ง

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูยเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...