พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกับยุทธการสุมเตาเผาคอร์รัปชัน

ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุของเดือนเมษายนที่คืบคลานเข้ามาพร้อมกับมลพิษทางอากาศเนื่องจากฝุ่น PM 2.5 ดูเหมือนว่าอุณหภูมิและบรรยากาศในเมืองไทยจะร้อนแรงมากขึ้นภายหลังจากการประกาศยุบสภาในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  ประชาชนชาวไทยที่ห่างหายจากการเลือกตั้งมาเป็นเวลา 4 ปี จะได้มีโอกาสกลับมาลงคะแนนเสียงอีกครั้งด้วยความหวังว่าพรรคการเมืองที่ตนสนับสนุนจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลท่ามกลางความซับซ้อนของฉากหลังทางการเมืองและเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ 2560  น่าสังเกตว่า การหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้นโยบายแนวประชานิยมโดยเฉพาะการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและกระเป๋าสตางค์ของชาวบ้านทั้งทางตรงและทางอ้อมได้กลายเป็นธงนำเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและคะแนนนิยมจากประชาชนภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19  ในทางตรงข้าม นโยบายด้านการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงตัวประกอบประดับฉากที่พรรคการเมืองหลายพรรคแทบมิได้หยิบยกมาเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียง  

 ประเด็นดังกล่าวอาจสอดคล้องกับบริบทของความเป็นจริงเมื่อพบว่าคะแนนการปลอดคอรัปชั่นของไทยในปี 2564 ดำดิ่งลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งสวนทางกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เริ่มต้นโดยรัฐบาลชุดก่อนในปี 2561  ยิ่งถ้านำข้อมูลของ Transparency International เกี่ยวกับการคอรัปชั่นของไทยไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะพบว่า ในปี 2565 ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ตามหลัง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม  เป็นที่น่าสังเกตว่า เวียดนามซึ่งปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเพียงพรรคเดียวที่อาจส่งผลต่อการถูกตั้งคำถามถึงภาวะเผด็จการรัฐสภากลับแซงหน้าไทยขึ้นไปอยู่ในลำดับที่ 77 โดยมีดัชนีการรับรู้ทุจริต 42 คะแนน ในขณะที่ไทยตกลงไปอยู่ในลำดับที่ 101/108 โดยมีดัชนีการรับรู้ทุจริตเพียง 36 คะแนนเท่านั้น

นอกจากนั้น หากมองย้อนกลับไปในช่วงกึ่งทศวรรษที่ผ่านมาจะพบว่าค่าดัชนีการรับรู้ทุจริตหรือ Corruption Perception Index (CPI) ของเวียดนามได้แซงหน้าประเทศไทยไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา  คำถามสำคัญก็คือ ในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมานั้น เวียดนามสามารถยกระดับและแซงหน้าประเทศไทยด้านการรับรู้ทุจริตได้อย่างไร  ทั้งนี้ ค่าคะแนน CPI เป็นการสะท้อนภาพลักษณ์การทุจริตของประเทศต่างๆ และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นักลงทุนใช้ประเมินความน่าสนใจในการลงทุน โดยมองว่าการทุจริตเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เป็นต้นทุนหรือเป็นความเสี่ยงในการประกอบธรุกิจในแต่ละประเทศ  ดังนั้น ประเทศที่มีค่า CPI สูงกว่าย่อมดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติที่คำนึงถึงปัจจัยทางด้านการปลอดคอรัปชั่นได้มากกว่า  

ภายหลังการประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจโด่ยเหมยในปี 1986 การทุจริตคอรัปชั่นได้กลายเป็นปัญหาสำคัญของเวียดนามท่ามกลางกระแสการเปิดประเทศและการกระโจนเข้าสู่รูปแบบเศรษฐกิจแบบการตลาด  ภายหลังการปฏิรูปกว่าสองทศวรรษ ในปี 2010 เวียดนามยังคงถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 112/182 ประเทศด้านความโปร่งใส  ปัญหาทุจริตยังเป็นปัญหาหลักของชาติ  ในปี 2011 นายเหงียนฝูจ่องได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามวาระแรก  เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ชูนโยบายการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นอย่างเข้มข้น  เมื่อมองย้อนกับไปที่ภูมิหลังและตัวตนของเขาจะพบว่า เหงียนฝูจ่องจบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการพัฒนาพรรคฯ เป็นผู้นำพรรคฯ ที่มีภาพลักษณ์ของนักวิชาการที่ยึดมั่นในแนวคิดมาร์กซิสต์อย่างเข้มข้น  นอกจากนั้นยังมีจุดยืนในการจัดการกับสมาชิกพรรคฯ ที่มีแนวโน้มว่าจะสูญเสียคุณลักษณะสำคัญตามหลักการมาร์กซิส-เลนินนิสอย่างเด็ดขาด  

นักวิเคราะห์ตะวันตกมองว่า นับตั้งแต่การประกาศนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจโด่ยเหมยเมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าอำนาจของรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารเศรษฐกิจจะเพิ่มมากขึ้นในขณะที่อำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีบทบาทสำคัญทางด้านแนวคิด นโยบาย และการกำหนดทิศทางของชาติจะสวนทางไปในทิศทางตรงกันข้าม  ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำอันดับแรกคือการกระชับอำนาจและสร้างกลไกลในการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นแกนกลางเพื่อควบคุมฝ่ายบริหารและการเมืองทุกระดับ  ในปี 2013 คณะกรมการเมืองฯ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกพรรคฯ ระดับสูงได้มีมติจัดตั้ง ‘คณะกรรมการกลางเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ’ โดยมีเลขาธิการใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการฯ  เมื่อก้าวเข้าสู่วาระที่ 2 ในตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในปี 2015 เหงียนฝูจ่องได้ประกาศแคมเปญ ‘เตาเผา’ (đốt lò) เพื่อกวาดล้างการทุจริตคอรัปชั่นที่กลายเป็นปัญหารื้อรังของชาติมากว่า 3 ทศวรรษ

ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ เหงียนฝูจ่อง มักจะมีวาทะเด็จที่กล่าวถึงการทุจริตคอรัปชั่นอยู่เสมอ  ในที่ประชุมเพื่อพบปะประชาชนเมื่อเดือนธันวาคม 2013 เขากล่าวว่า “แม้กระทั่งพระถังซัมจั๋งผู้เดินทางไปอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกยังต้องทำการติดสินบน  เมื่อก้าวเท้าสู่ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาก็ยังต้องติดสินบน 

ดังนั้นพวกเราต้องตั้งอยู่บนฐานของการตั้งมั่นเพื่อพิจารณา มีสติ ใสสะอาด”  ในการพบปะประชาชนในเดือนตุลาคม 2014 เหงียนฝูจ่องกล่าวว่า “ต้องตั้งอยู่ในความสงบ มีสติ อาศัยสติปัญญา ใช้วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ ลุงโฮได้สั่งสอนไว้แล้ว บรรพชนของพวกเราได้สั่งสอนไว้แล้วว่าถ้าจะไล่หนูก็จงระวังแจกันแตก ทำอย่างไรที่จะขับไล่หนูโดยแจกันไม่ตกแตก หมายถึงจะต้องรักษาเสถียรภาพไปพร้อมกับการปราบทุจริต”  วาทะของเขาเผยให้เห็นว่านับวันความเข้มข้นของการปราบปรามคอรัปชั่นจะเพิ่มมากขึ้น  ในเดือนกรกฎาคม 2017 เขาเน้นย้ำถึงความเข้มข้นของแคมเปญ ‘เตาเผา’ ว่า “เมื่อเตาเผาร้อนได้ที่แล้ว แม้ฟืนสดก็ต้องมอดไหม้ ฟื้นแห้งขนาดพอเหมาะอาจไหม้ก่อน และเมื่อไฟร้อนทั่วเตาเผาแล้ว องค์กรที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนย่อมลงสู่สนาม จะไม่มีใครอยู่ภายนอก (การปราบคอรัปชั่น) อีกต่อไป”

ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา (2012-2022) การปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นในเวียดนามส่งผลให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจำนวน 7,390 คนถูกลงโทษทางวินัย มีคดีความที่เกี่ยวกับการคอรัปชั่นจำนวน 2,439  คดีทุจริตที่ได้รับการพิจารณาในศาลชั้นต้นมีผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 5,647 คน  ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกดำเนินคดีในศาลชั้นต้นจำนวน 37 คนคืออดีตข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนกลาง  คดีทุจริตที่อยู่ในระหว่างการเริ่มดำเนินคดีและการสืบสวนจำนวน 3,628 คดี  หน่วยงานบังคับคดีทางแพ่งในระดับต่างๆ สามารถเรียกคืนทรัพย์สินเป็นมูลค่า 61,000 พันล้านด่งเวียดนาม  คณะกรรมการกลางเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบดำเนินการชี้นำและอำนวยการเพื่อเรียกคืนทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่า 50,000 พันล้านด่งเวียดนาม  กรณีที่น่าสนใจเช่น การจับกุมและดำเนินคดีกับนายดิงลาทัง อดีตกรรมการประจำกรมการเมือง รมต.กระทรวงคมนามคม เลขาธิการพรรคฯ ประจำนครโฮจิมินห์ ฯลฯ ในข้อหาจงใจละเมิดข้อกำหนดของรัฐบาลเกี่ยวกับการบริหารจัดการทางด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรง

 การดำเนินการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามภายใต้การนำของนายเหงียนฝูจ่อง นอกจากจะส่งผลให้ดัชนีการรับรู้ทุจริต หรือ Corruption Perception Index (CPI) เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญแล้วยังส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในหมุดหมายและโฟกัสของผู้ที่สนใจเกี่ยวกับความเป็นไปและการเมืองของประเทศที่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์และมีภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับไทยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้  ข้อสังเกตที่น่าสนใจที่อาจต้องติดตามต่อไปก็คือพรรคฯ จะดำเนินการอย่างไรต่อกรณีการลาออกของคณะผู้บริหารระดับสูงซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมของประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา  นอกจากนั้น ภายหลังจากการลงสู่อำนาจของนายเหงียนฝูจ่อง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างองค์กรการเมืองต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้างความสมดุลทางอำนาจภายใต้การปกครองแบบพรรคเดียวจะมีลักษณะอย่างไร  โปรดติดตามต่อไป

ดร.สุริยา คำหว่าน อาจารย์สาขามานุษยวิทยาวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม โทร 0857446724 email [email protected]

คอลัมน์ เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิชิอิ'เร่งแก้จุดบกพร่อง บู๊เวียดนามรอบชิงฯอาเซียนนัด2 'โจนาธาน'มั่นใจไทยมีดีจะคว้าแชมป์

วันที่ 4 มกราคม 2568 เวลา 11.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน ฝ่ายจัดการแข่งขันสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน หรือ AFF จัดงานแถลงข่าวก่อนการแข่งขันฟุตบอล ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดที่สอง ระหว่าง ทีมชาติไทย กับ ทีมชาติเวียดนาม

'มาดามแป้ง'-กกท.-ไทยรัฐทีวี ตั้งจอยักษ์หน้าอินดอร์ เชียร์'ช้างศึก'แก้มือเวียดนาม

"มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประสานงาน การกีฬาแห่งประเทศไทย และ ไทยรัฐ ทีวี  เพื่อติดตั้งจอยักษ์บริเวณหน้าสนาม ราชมังคลากีฬาสถาน (หน้าอินดอร์ สเตเดียมหัวหมาก) เพื่อให้แฟนบอลที่พลาดในการซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขัน มีโอกาสเชียร์ ทีมชาติไทย ไปพร้อมกัน ในเกมเปิดบ้านพบกับ เวียดนาม ศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดที่สอง

'อิชิอิ'เผยเหตุแพ้เวียดนาม ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง พร้อมรับมือเกมในบ้าน

มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ให้สัมภาษณ์ หลังการแข่งขันฟุตบอล อาเซียน คัพ 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก เกมดังกล่าว ไทย พ่ายต่อ เวียดนาม ไป 1-2 โดยเวียดนาม ได้สองประตูจาก เหงียน ซวน เซิน ส่วน ไทยตีไข่แตกจาก เฉลิมศักดิ์ อักขี

'อิชิอิ'ยอมรับบุกเวียดนามงานยาก นักเตะเจ็บหลายคน แต่จะทำผลงานที่ดีกลับมา

วันที่ 1 มกราคม 2568 เวลา 11.00 น. ณ โรงแรม ไซง่อน พูโถ ฝ่ายจัดการแข่งขันสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน หรือ AFF จัดงานแถลงข่าวก่อนการแข่งขันฟุตบอล ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก ระหว่าง ทีมชาติเวียดนาม กับ ทีมชาติไทย