การเปลี่ยนแปลงระดับ Mega Changes ของประเทศที่สัมผัสจับต้องได้คือ การสร้างประเทศสู่ความทันสมัยช่วงกลางทศวรรษพ.ศ 2520 เป็นต้นมา ขณะที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรียุคนั้นเร่งปรับฐานประเทศออกจากความยากจนปรับประเทศสู่โหมดอุตสาหกรรม โดยใช้โครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด ที่ส่งผลให้ประเทศปรับฐานจากสังคมเศรษฐกิจเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจที่มีอุตสาหกรรมเป็นแกนขับเคลื่อน-เปลี่ยนผ่านประเทศจากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่โลกอยู่ในยุคอุตสาหกรรม 1.0 - 2.0 บ้านเมืองไทยในครั้งนั้นจึงเคลื่อนอยู่ในกระแสโชติช่วงชัชวาล
หลังจากนั้นการปรับตัวของสังคมเศรษฐกิจไทยก็เคลื่อนไปตามกาลเวลา จนได้พาประเทศเข้าสู่ยุคการเมืองประชาธิปไตยเบ่งบาน ซึ่งช่วงตั้งแต่ต้นทศวรรษ พ.ศ 2540 ผู้คนตื่นตัวทางการเมือง-สนใจที่จะดึงการเมืองออกจาก “วงจรอุบาท” แต่ที่สุดก็กลายเป็นการช่วงชิงอำนาจ-สร้างความขัดแย้งรุนแรงเป็นการเมืองของเสื้อสีและความขัดแย้ง-แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสร้างความรุนแรงจนสับสนอลหม่านต่อเนื่องยาวนานนับทศวรรษ!
เมื่อสังคมโลกเคลื่อนสู่ศตวรรษที่ 21 ความเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ก่อรูปภูมิเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ “จีน” เป็นแกนขับเคลื่อนเปลี่ยนผ่านเส้นทางภูมิศาสตร์ของโลกยุคใหม่ผนวกผสานเส้นทางเชื่อมโลกตามโครงการ Belt Road initiative (BRI) เข้ากับเทคโนโลยียุคอุตสาหกรรม 4.0 ส่งผลให้สังคมเศรษฐกิจในโลกศตวรรษที่ 21 เคลื่อนไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 4.0 เปลี่ยนโลกยุค อนาลอคสู่โลกดิจิทัลที่เคลื่อนไหวต่างจากโลกใบเก่า-ทำลายล้างแบบแผนวิถีสังคมเศรษฐกิจยุคเก่าลงชนิดที่สัมผัสจับต้อง!
การปรับตัวของโลกศตวรรษที่ 21 ครั้งนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับฐานยกระดับเศรษฐกิจ สังคม และศักยภาพของ ผู้คน-ทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่โดยเปิดพื้นที่ “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC เพื่อดึงการลงทุนและเทคโนโลยสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยี-ปรับสร้างเศรษฐกิจและสะสมที่จะก้าวสู่อนาคตต่อไป
การขับเคลื่อนความก้าวหน้าใหม่ของเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จากช่วงปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมาจะพบความก้าวหน้าในหลายมิติ ไม่ว่าการลงทุนโดยภาพรวมที่ดึงเม็ดเงินลงทุน-ที่มาพร้อมเทคโนโลยียุค 4.0 ได้สูงถึง 1.9 ล้านล้านบาท การปรับสร้างสาธารณูปโภคสำคัญรองรับความเติบโตก้าวหน้าความเปลี่ยนแปลงใหม่ อาธิ การพัฒนามหานครการบิน-สร้างสนามบินใหม่ที่อู่ตะเภา การสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อสามสนามบิน สร้างท่าเรือ 3 ท่าเรือใหม่-ปรับฐานการจราจรโลจิสติกส์โดยรวม ยกระดับสื่อสารสู่ระบบ 5g ใน EEC จนถึงการจัดปรับพัฒนาการศึกษา-ศักยภาพคนรองรับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ฯลฯ
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ได้ขับเคลื่อนความก้าวหน้าใหม่ด้วยสถานะการเป็นองค์กรอิสระที่มีกฎหมายรองรับ มีความแข็งแกร่งของกฎหมายที่ลดทอนความรุงรังล้าหลังของระบบราชการเพื่อสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน-การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้โลกที่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าหาก EEC มีสภาพแบบองค์กรราชการ กระทรวง ทบวง กรม ฯ ทั่ว ๆ ไปย่อมไม่อาจขับเคลื่อนงานอย่างอิสระและก้าวหน้าได้ ที่สำคัญคือประชาชนในท้องถิ่นยอมรับการพัฒนาและกระบวนการเติบโตยุคใหม่ของเขตพัฒนาพิเศษฯอย่างโดดเด่น ผู้คนในสังคมหลายพื้นที่เปลี่ยนจากต่อต้านมาให้ความร่วมมืออย่างดี เพราะได้เห็นสัมฤทธิผล-อานิสงส์ของการพัฒนาเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ที่ได้รับประโยชน์โพดผลหลายประการ ตั้งแต่ระบบการศึกษาใหม่ในพื้นที่ไปจนถึงการลงทุนการจ้างงาน-ทิศทางการจัดการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น-ความก้าวหน้าที่เกิดจากการ ปรับตัวออกจากโลกใบเก่าสู่เศรษฐกิจสังคมฐานดิจิตอล ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
องค์กรเครือข่ายความร่วมมือของนักวิชาการ-นักบริหาร-นักปฏิบัติการภาคตะวันออก Club of Eastern Corridor สำรวจวิจัยพบว่า การยอมรับของประชาชนในการดำเนินโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC มีปัจจัยสำคัญ 5 ประการด้วยกัน คือ 1) EEC เป็นองค์กรอิสระที่ปราศจากการเมืองและการครอบงำทางการเมือง และไม่ผูกติดกับระบบระเบียบวิธีการทำงานแบบราชการ จึงมีวิธีการทำงานที่ต่างไปจากวิธีการทำงานแบบเดิมในระบบราชการ ทำให้เกิดความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้คนและสังคมท้องถิ่น 2) มีการจัดปรับฐานการศึกษาและการพัฒนาคนที่โดดเด่น ทำให้การศึกษาตอบโจทย์การมีงานทำและรายได้สูง สร้างประโยชน์ทั้งกับภาคอุตสาหกรรมและเด็กเยาวชนที่อยู่ในระบบการศึกษาโดยตรง 3) มีการเปิดการลงทุนที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ช่วยให้มีการปรับใช้เทคโนโลยีที่มีผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตผู้คนและชุมชนท้องถิ่น 4) มีความเคลื่อนไหวทางด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเชิงบวกจากเทคโนโลยีใหม่ที่เป็น 4.0 มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมช่วยแก้ปัญหาที่หมักหมมสั่งสมมาจากอุตสาหกรรมยุคเก่าได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ช่วยให้สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมท้องถิ่นดีขึ้น 5) มีการทำงานที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น และตอบสนองความต้องการของผู้คนในพื้นที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาขึ้นต่อขั้นตอนของระบบราชการและอำนาจความคิดราชการเก่าๆ ที่สำคัญคือปลอดจากการเมืองและการครอบงำจากของผลประโยชน์ทางการเมืองด้วย!
บทสรุป 5 ประการนี้ สะท้อนว่าการขับเคลื่อนความก้าวหน้าใหม่นั้นต้องยึดโยงกับผลประโยชน์ของพื้นที่และผู้คนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ องค์กรที่ดำเนินงานต้องมีวิสัยทัศน์-กระบวนการที่ปลอดการเมือง ไม่ถูกครอบงำทั้งจากการเมืองและความล้าหลังของระบบราชการ ฯ การเมืองควรเป็นผู้ช่วยสร้างเสริม สนับสนุน ช่วยปลดแก้เงื่อนปมปัญหา-นำประเทศสู่จุดหมายได้ มุ่งขับเคลื่อนสร้างประโยชน์กับทุกภาคส่วน สนับสนุนการทำงานที่ปลอดจากการเมือง-การครอบงำผลประโยชน์ทั้งปวง และมีศักยภาพขับเคลื่อนงานได้โดยไม่ตกอยู่ใต้กับดักของระบบราชการที่อ่อนล้า! นี่คือปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงการมีอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน ของประเทศในการขับเคลื่อนโดยโครงการขนาดใหญ่ที่ทุกคนสัมผัสจับต้องได้!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด บ้านใหญ่ รอเข้าวิน พท.กวาดเยอะ-พรรคส้ม เสี่ยงร่วง
ยิ่งใกล้ถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือนายก อบจ. พบว่าการหาเสียงของผู้สมัครนายก อบจ.ทั้งที่ลงในนามพรรคการเมือง และไม่ได้ลงในนามพรรค
ร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม .. ณ จังหวัดนครปฐม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ โครงการร้อยใจธรรม สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ที่ดำเนินการโดย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน
ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล
ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?
2 สว. “ชาญวิศว์-พิสิษฐ์” ปักธงพิทักษ์รธน. ปกป้องสถาบันฯ พวกเราเป็นอิสระ ไม่มีรับใบสั่ง
กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูยเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...
เหลียวหลังแลหน้า การเมืองไทย จาก 2567 สู่ 2568 ส่องจุดจบ ระบอบทักษิณภาค 2
รายการ"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด"สัมภาษณ์ นักวิชาการ-นักการเมือง สองคน เพื่อมา"เหลียวหลังการเมืองไทยปี 2567 และแลไปข้างหน้า