พรรคไทยภักดี โดยการนำของ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้าสู่ศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ท่ามกลางการคาดการณ์จากทุกฝ่ายว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะต่อสู้กันอย่างดุเดือด แล้วสำหรับ พรรคไทยภักดี ที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งใหญ่ครั้งแรก พร้อมทำศึกมากน้อยแค่ไหน นพ.วรงค์-หัวหน้าพรรคไทยภักดี มีคำตอบ พร้อมกับกางยุทธการหาเสียงว่าจะใช้รูปแบบ จรยุทธ์ คือเน้นการเข้าถึงทุกพื้นที่ ต่อสู้แบบไร้รูปแบบ สู้บ่อย สู้ถี่ สู้แรง สู้ให้มาก
เริ่มที่ นพ.วรงค์-หัวหน้าพรรคไทยภักดี บอกว่า จนถึงขณะนี้การเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งตามกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคไทยภักดีทำไปได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
โดยพรรคตั้งใจจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตให้เยอะที่สุด ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะส่งให้ครบทั้ง 400 เขต แต่เนื่องจากความเป็นพรรคใหม่ โครงสร้างพรรคปัจจุบันยังอาจสู้พรรคที่ตั้งมานานแล้วไม่ได้ ก็ทำให้พรรคน่าจะส่งคนลงสมัครประมาณ 300-350 เขตเลือกตั้ง ตอนนี้พรรคทำงานกันหนักตลอด เพราะตามกฎหมาย ระเบียบ กกต.จะต้องมีการประชุมตัวแทนพรรคประจำจังหวัดเพื่อทำไพรมารีโหวตผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตในจังหวัดต่างๆ ทางพรรคไทยภักดีก็ให้แต่ละจังหวัดมีการไปดำเนินการในส่วนนี้ทุกวัน เพื่อให้พรรคส่งผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามพรรคเราก็มีข้อจำกัดเรื่องทุน เพราะนโยบายของพรรคเราปะทะกับทุน โดยเฉพาะทุนผูกขาด แต่ยืนยันได้ว่านโยบายของพรรคหลายเรื่องเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศ ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์
-ถึงตอนนี้คาดการณ์หรือตั้งเป้าไว้หรือยังว่าพรรคไทยภักดีจะได้ ส.ส.กี่คน?
สิ่งที่พรรคไทยภักดีทำ เป็นสิ่งที่ท้าทายความรู้สึกของประชาชนอย่างมาก ผมเชื่อว่าประชาชนตอนนี้เบื่อการเมืองระบบเก่า รวมถึงแม้แต่กลุ่มใหม่หรือกลุ่ม 3 ป.ตอนนี้ ประชาชนก็เริ่มเบื่อหน่าย เพราะเห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศจริง อีกทั้งปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเยอะ
ที่สำคัญก็ยังรับช่วงต่อการเอื้อประโยชน์ทุนผูกขาด ทั้งกิจการไฟฟ้า กิจการพลังงาน และกิจการดาวเทียม มันทำให้ความรู้สึกของประชาชนมีปัญหา เราจึงพยายามที่จะยืนยันการเป็น ทางเลือกให้กับประชาชน เพราะเราเชื่อว่าน้ำเน่าเก่าที่เคยเอาน้ำดีไปไล่น้ำเน่า แต่น้ำดีเองตอนนี้นานวันมันก็เริ่มเน่าขึ้นมา ดังนั้นการจะเอาน้ำเน่าเก่ามาไล่น้ำเน่าตอนนี้มันไม่ได้ประโยชน์อะไร มันต้องเอาน้ำดีใหม่ๆ ไปไล่
ที่ถามถึงเรื่องการตั้งเป้าการเลือกตั้ง ต้องบอกว่าเนื่องจากสิ่งที่ไทยภักดีทำเป็นสิ่งใหม่มาก เราไม่ได้ทำการเมืองแบบของเก่าที่เขาทำกัน เช่นการเกณฑ์คนเป็นพันเป็นหมื่นมาฟังปราศรัย เพราะพรรคไม่มีปัญญาหาเงินไปจ่าย เรารู้ว่าการทำการเมืองโดยนำเงินไปจ่ายมันสร้างปัญหาระยะยาว หรือการซื้อเสียง เพราะเรารู้ว่าเงินที่เอามาใช้ที่เป็นเงินมหาศาล สุดท้ายก็ต้องไปตอบแทนให้นายทุน เอื้อประโยชน์ให้ทุนผูกขาด
เราจึงพยายามใช้จุดยืนในเชิงอุดมการณ์ ขายนโยบาย ขายจุดยืน ขายความคิดของเรา ซึ่งยังไม่รู้ว่าประชาชนจะรับหรือไม่รับ เราจึงประกาศนโยบาย จรยุทธ์ ผมเคยได้ไปเยี่ยมบ้านลุงโฮจิมินห์ ไปอ่านแนวทางการต่อสู้ของเขา ซึ่งจริงๆ เราทำแบบนี้มาเป็นปี เราไปตามหมู่บ้าน นัดกลุ่มเกษตรกร นัดประชาชนในชุมชน เพื่อขายความคิดของเราว่าพรรคไทยภักดีมีแนวความคิดอย่างไร
ดังนั้นที่ถามว่าเราตั้งเป้าไว้แบบไหน ถ้าพูดแบบฝัน เราก็ฝันว่าอยากได้สัก 30 คน นี้คือฝัน แต่เราไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะว่าแนวทางที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับประเทศไทย สำหรับการทำการเมืองแบบที่เราทำ เพราะเราไม่เชื่อในการที่จะทำการเมืองแบบเก่าๆ ว่าทำแล้วประเทศมันจะดี
ตอนนี้มีความพยายามสร้างกระแสว่า ชุดที่ทำอยู่ตอนนี้ (รัฐบาล) มีปัญหา ต้องเอาของเก่ามา แต่ว่าการเมืองแบบของเก่ามันเคยสร้างปัญหามาแล้ว แล้วยังจะเอาของเก่ามาอีกหรือ ก็อย่างที่ผมยกตัวอย่าง น้ำเน่าเก่าโดนน้ำดีไล่ไปแล้ว แต่น้ำใหม่กำลังจะเน่า แล้วยังจะให้เอาน้ำเก่ามาไล่ แบบนี้มันก็ต้องเน่าต่อ แต่เราคือน้ำใหม่ ที่จะเป็นทางออก ทางเลือกให้กับสังคมไทย
-ที่ว่าจะสู้ศึกเลือกตั้งแบบจรยุทธ์ รูปแบบวิธีการทำอย่างไร?
ผมเปรียบเทียบให้เห็นว่า ระบบการเมืองที่ทำกันอยู่ปัจจุบันใช้เงินเยอะ อย่างการขนคนมาทำกิจกรรมอะไรต่างๆ มันต้องใช้เงินเยอะ แล้วก็มาเกทับกัน เช่น ห้าพันคน หนึ่งหมื่นคน สองหมื่นคน
ทุกอย่างคือการใช้เงินและนำไปสู่การเลือกตั้ง มีคืนหมาหอนที่มีการใช้จ่ายเงิน ผมเชื่อว่าพวกนี้ใช้เงินและรอบนี้ก็ยังใช้เงินอยู่ ซึ่งการที่ไทยภักดีเป็นพรรคการเมืองใหม่ และเรามองว่านี้คือปัญหาประเทศ ถ้าเราไปเดินตามวิธีการนี้ ยังไงเราก็แพ้ เราไม่มีวันเอาเงินไปจ่ายเยอะๆ เราไม่ทำ เราขายอุดมการณ์ ขายความคิด แนวทางเรา จะไม่ใช้วิธีการจัดงานพรรคแบบใหญ่ๆ แต่นานๆ ครั้งอาจจะมีบ้าง แต่เราจะลงไปแบบเจาะลึกเพื่อไปปรับทุกข์ ผูกมิตร ขายความคิด ขายอุดมการณ์ ขายโอกาสดีๆ ให้ประชาชน หากพรรคเราได้มีโอกาสทำให้เขา
สิ่งที่เราทำคือ กระบวนการปรับทุกข์ผูกมิตร ที่องค์กรจัดตั้งเก่าๆ เขาทำ คืออาจเหนื่อยกับการปลูกฝังอุดมการณ์ทางความคิด การซึมซับทางความคิด แต่มันทำให้เกิดความยั่งยืน โดยหากประชาชนเห็นด้วยกับเรา มันจะเกิดกระแสแบบปากต่อปาก เราก็เรียกว่าวิธีการแบบจรยุทธ์ แนวทางแบบลุงโฮ ที่ขนาดเขาเป็นกองทัพเล็ก แต่เขาก็สู้ได้กับทั้งฝรั่งเศส และยังชนะอเมริกาได้
"การต่อสู้ของไทยภักดีจึงเป็นการต่อสู้แบบนอกรูปแบบ การต่อสู้แบบไร้รูปแบบ สู้บ่อย สู้ถี่ สู้แรง สู้ให้มาก พรรคจึงมีกิจกรรมการเมืองทุกวัน เราไปลงพื้นที่เพื่อไปเจอกับประชาชนโดยตรง และหวังว่าการจรยุทธ์ของเราจะนำมาสู่กระแส เพราะเราเดินสายทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ซึ่งเราคาดหวังให้เกิดกระแสที่ประชาชนพูดถึงกัน"
หากเราไปเดินสู้แบบคนอื่น เราก็ไม่มีทางสู้กับเขาได้ เพราะเงินเราก็น้อยกว่าเขาเยอะ บางพรรคก็มีประสบการณ์เยอะในการใช้เงินการซื้อเสียง เราถึงสู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ คือไม่ยุบ ไม่ย้าย ไม่จ่าย ไม่ซื้อ
เราใช้อุดมการณ์เพื่อทำการเมืองแบบยั่งยืน ที่ประชาชนก็ต้องชั่งน้ำหนักดูว่าอาจได้เงินหนึ่งพันบาทหรือห้าร้อยบาทก่อนเลือกตั้ง กับประโยชน์ที่เขาจะได้แบบยั่งยืนและการมีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ต้องอาศัยจุดยืนและอุดมการณ์เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ที่ไม่เหมือนคนอื่น เราถึงทำการรบแบบไร้รูปแบบ รบแบบจรยุทธ์ ก็คือแนวทางของลุงโฮจิมินห์ที่สู้กับยักษ์ใหญ่ เราก็เหมือนกัน เรากำลังสู้กับยักษ์ใหญ่ พรรคการเมืองขนาดใหญ่
-ประเมินและวิเคราะห์การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นอย่างไรบ้าง?
ผมว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่อันตรายมาก เนื่องจากรอบนี้หลังมีการรัฐประหาร มีการร่างรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนระบบเลือกตั้งที่เป็นระบบซึ่งทำลายบ้านใหญ่การเมือง มุ้งการเมืองต่างๆ ไปหมด ที่ผมคิดว่าหากมีการต่อยอดอีกเล็กน้อยจะทำให้การเมืองดีขึ้น คัดคนหน้าใหม่ๆ เข้ามา แต่สุดท้ายก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญย้อนไปแบบอดีต เอาแค่อย่างที่เห็น มีการซื้อตัว ส.ส.ให้ย้ายพรรคใช้เงินมหาศาล ทำให้ต่อไปจะเกิดมุ้งการเมือง มีการต่อรองผลประโยชน์ และสิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ประเทศก็จะเกิดปัญหา ผมเชื่อว่าประเทศจะไม่มีเสถียรภาพจากระบบการเมืองที่เกิดขึ้นแบบนี้ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีก
ตีแสกหน้าวาทกรรม
ก้าวข้ามความขัดแย้ง
-มองยังไงที่ตอนนี้มีบางฝ่ายแบ่งการเมืองเป็นสองขั้ว คือขั้วอนุรักษนิยมกับขั้วเชิงซ้ายใหม่ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น?
ผมว่าพวกนี้เป็นวาทกรรมของคนที่ต้องการจะแตะมือ เพื่อเหยียบศพประชาชนขึ้นไปมีอำนาจ คำพูดเหล่านี้ผมระบุเลยคือพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการโพสต์ Facebook อะไรต่างๆ แล้วมาบอกว่าความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับเสรีนิยม ต้องก้าวข้ามให้ได้ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีจริงหรอกสิ่งเหล่านี้ ปัญหาประเทศคือพวกโกงแล้วไม่ยอมรับผิด และอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกคิดจะล้มล้างสถาบัน ความคิดเชิงอุดมการณ์มันไม่มี มันถึงคิดผสมพันธุ์กันได้ตลอด วิ่งซ้ายวิ่งขวาได้ตลอด หากมีอุดมการณ์จริงต้องไม่มีการค้า ส.ส.
ปัญหาของประเทศต้องวิเคราะห์ให้ถูก เพราะมันเกิดจากพวกทุจริต โกงแล้วหนี และไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม แต่การที่คิดจะไปผสมพันธุ์กับเขา หรือคิดจะไปแตะมือกับเขา แล้วก็มาสร้างวาทกรรมให้สวยหรูว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับฝ่ายเสรีนิยม หรือฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมันเลอะเทอะ มันไม่จริง แต่ที่มาใช้คำว่าก้าวข้าม ก็เพื่อต้องการจะไปจับมือกัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน โดยจะไปทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ที่ต้องก้าวข้าม ซึ่งอุดมการณ์ของนักการเมืองเหล่านี้มันไม่จริง มันไม่มี มีแต่พวกทุจริต พวกโกง แล้วไม่ยอมรับผิด แล้วก็คิดว่าเมื่อไปแก้รัฐธรรมนูญให้แล้ว ต่อไปจะขอมาจับมือกันเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กันเท่านั้นเอง
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง เพราะถือว่าสิ่งที่ทำไม่เพียงแต่ก้าวข้ามความขัดแย้งไม่ได้ แต่ประชาชนจะมีความรู้สึกว่าคุณเหยียบศพ และทรยศต่อประชาชนที่เขามาต่อสู้
ส่วนการสร้างกระแสแลนด์สไลด์ของเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตร เป็นการปั่นกระแส เพราะผู้มีอำนาจตอนนี้ไปหลงกลของทักษิณ ถูกทักษิณหลอก ทักษิณไม่ใช่หมูๆ ในช่วงเขาเป็นรอง เขาก็ต้องอ่อยเหยื่อ แต่ในช่วงที่เขามีพลังก็ต้องปั่นกระแส อย่างตอนที่รัฐสภากำลังจะพลิกกลับไปใช้สูตรหาร 500 ตอนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. ฝ่ายเขาออกมาด่าคนที่จะเอาสูตรนี้ทุกวัน แต่ฝ่ายนี้เองก็รู้ไม่ทันเขา พอกติกาออกมาแบบนี้ (บัตรสองใบ) มันก็เข้าทางเขาแล้ว เพราะเป็นเกมที่เขาถนัด ก็เลยปั่นกระแสแลนด์สไลด์ แต่ถามว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ผมว่าไม่ง่าย เพราะยุคก่อนหน้านั้นแข่งกันแค่สองพรรค ไม่ ก. ก็ ข. คือหากไม่พอใจพรรคฟากนี้ ก็เทไปที่อีกฝั่งเลย แต่ตอนนี้มีหลายพรรคการเมือง หลากหลายมาก ทำให้การจะเกิดแลนด์สไลด์กับเพื่อไทยไม่ง่าย ผมว่ายังไงก็ยาก
ส่วนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น และการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง หากประเมินถ้าพูดถึงโดยพื้นฐาน ก็ต้องยอมรับว่าเขา (เพื่อไทย) ได้เปรียบ เพราะเป็นเกมที่ฝ่ายเขาถนัด แต่ผมก็สันนิษฐานว่ามันน่าจะมี "ดีลลับ" บางอย่าง ที่คนในซีกรัฐบาลที่แตกแยกกันเอง บางคนหวังจะเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่ง เลยไปแตะมือกับฝั่งโน้น (เพื่อไทย) จนมาสร้างวาทกรรมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ผมจึงมองว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้หมด ผมก็อยากให้ประชาชนตามเรื่องนี้ให้ทันต่อปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวต่อไปว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้นทางการเมืองดังกล่าว ทำให้ ณ ขณะนี้มันก็เกิดข้อหวาดระแวงไปหมด ฝ่ายของฝั่งระบอบทักษิณก็บอกว่า อ้าวจะไปแตะมือกับพลังประชารัฐเหรอ ก็หวาดระแวงแล้ว ส่วนอีกฝ่ายก็เกิดความรู้สึกพลังประชารัฐจะไปจับมือกับทักษิณหรือ ก็เกิดความระแวงเช่นกัน แม้แต่กับพลเอกประยุทธ์เองก็ไม่กล้าตัดสินใจในหลายเรื่อง จนนำมาสู่ปัญหาหลายเรื่องเวลานี้ ส่วนก้าวไกลก็ล้มล้างอย่างเดียว พรรคอื่นก็ทุจริตเยอะ มันจึงคาดเดาความรู้สึกไม่ได้ เพราะผมเชื่อว่าประชาชนไม่ค่อยแฮปปี้กับสิ่งที่มีอยู่ เราถึงพยายามผลักดันพรรคไทยภักดี เราเสียดายที่หากเรามีนายทุนที่บริสุทธิ์ใจสนับสนุนเรา โดยไม่หวังผลตอบแทน เราจะเป็นทางเลือกที่ดี เราก็รู้ว่า ณ ตอนนี้เราก็มีข้อจำกัด แต่เราก็จะพยายามผลักดันพรรคไทยภักดีให้ประชาชนเห็นว่าเราจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับสังคม
-หากฝ่ายเพื่อไทยกับพลังประชารัฐจับมือกันตั้งรัฐบาล ทั้งสองพรรคจะเสียมวลชน เสียฐานคะแนนไหม โดยเฉพาะกับเพื่อไทย?
ตอนนี้ผมว่าเขาก็เริ่มปวดหัวแล้ว คนก็วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ แล้วผมเชื่อว่าลุงป้อมอาจไปไม่ถึงฝั่งก็ได้ เพราะลุงป้อมก็โตมาอีกสายหนึ่ง ทักษิณก็มาจากอีกสายหนึ่ง เคยสู้กันมาก่อน ประชาชนเขาไม่ต้องการนักการเมืองทุจริต นักการเมืองขี้้โกง แต่วันดีคืนดีคุณก็มาเอื้อทุจริตด้วย ไม่ใช่คุณสะอาดนะ แล้วสิ่งที่คุณทำมันสะท้อนว่าคุณอยากเป็นนายกรัฐมนตรี คุณไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อตัวเอง และสร้างวาทกรรม วลีหรูๆ แต่ผมเชื่อว่า ประชาชนตามทัน จนดีไม่ดีลุงป้อมอาจไม่ถึงฝั่ง ทักษิณก็อาจมีปัญหา เพราะประชาชนแต่ละฝ่ายก็เริ่มตามทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ส่วนว่าหากจะให้ประเมินการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เนื่องจากการทำงานของทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านมันไม่ตรงไปตรงมา รัฐบาลเองก็ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเยอะ และรัฐบาลเองก็เอื้อทุนผูกขาดทั้งทุนพลังงาน ทุนไฟฟ้า และทุนการสื่อสาร จึงทำให้ความน่าเชื่อถือและเครดิตรัฐบาล ลดน้อยลง ส่วนอีกฝ่ายก็โกงมาเยอะ และมีแต่คิดจะล้มล้าง แต่จุดเลวร้ายจุดเปลี่ยนก็คือ คนในซีกฝั่งรัฐบาลจะไปแตะมือกับอีกฝั่ง อันนี้คือจุดอันตราย อย่างที่ผมบอกคือคุณกำลังจะเหยียบศพประชาชนขึ้นไปมีอำนาจ แล้วอ้างว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง อันนี้จะเป็นชนวนในการสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมา
ประเมินกำลัง-ผลการเลือกตั้ง
อนุรักษนิยม-เรียกร้องปฏิรูปสถาบัน
-มีการพูดกันว่ากลุ่มฝั่งอนุรักษนิยมมีน้อยแล้ว ไม่มีเพิ่มขึ้น แต่อีกฝั่งที่ตรงข้ามกันกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้คนรุ่นใหม่ไปอยู่เยอะ มองอย่างไร?
มันไม่จริงหรอก คนที่พูดแบบนี้ก็พวกหน้าเก่าๆ ชี้หน้าได้เลยว่าใครพูด คือหากเป็นคนใหม่ๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แล้วมาพูดยังจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือคนเราเป็นเรื่องของการเรียนรู้ การมีประสบการณ์ชีวิต วันหนึ่งผมก็เคยมีความคิดแบบนี้ แต่หลังจากที่ผมทำงาน มีประสบการณ์ชีวิต ก็ทำให้ผมได้เห็นว่าสถาบันไม่ได้สร้างปัญหาให้กับประชาชน คือถ้าคุณบอกจะมาปฏิรูปสถาบันแล้วค่าไฟถูกลง ค่าก๊าซถูกลง ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ไม่มีหนี้มีสิน แบบนี้พอเข้าใจได้ แต่อันนี้มันไม่เกี่ยวข้องกัน
ผมเชื่อว่าน้องๆ คนรุ่นใหม่ในวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไปทำงาน เขาก็จะได้เรียนรู้ว่าปัญหาสังคมมันเกิดจากการโกง นักการเมืองโกง นักการเมืองเอื้อประโยชน์ให้ทุนผูกขาด มันต้องแก้ตรงนี้ ปัญหาอยู่ตรงนี้ ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนต้องการความยุติธรรม ต้องการโอกาสที่ดี น้องๆ วันนี้ที่เขาคิดอะไรแบบนี้อาจเพราะเขาได้รับข้อมูลไม่ถูกต้อง แต่เมื่อวันหนึ่งข้างหน้าเขามีประสบการณ์ในการทำงาน เห็นการเอารัดเอาเปรียบ เห็นการทุจริต เพราะความคิดคนมันไม่ตายตัว
ยกตัวอย่าง เราก็เคยได้เห็นคนเสื้อแดงไปเป็นเสื้อเหลือง คนเสื้อเหลืองไปเป็นเสื้อแดง และแน่นอนความคิดกรอบใหญ่ของประเทศก็จะเปลี่ยนไปตามบริบทที่ตัวเองเผชิญและประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับ ผมถึงไม่กังวล เพราะถ้าประเทศขอให้ได้ผู้นำที่ซื่้อสัตย์สุจริต รู้เท่าทัน กล้าตัดสินใจ ผมเชื่อว่าประเทศดีขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่เขาต้องการความยุติธรรม ไม่ต้องการคนโกง เกลียดการโกง เกลียดการเอารัดเอาเปรียบ นี้เป็นธรรมชาติของคนวัยนี้ เหมือนผมที่เคยอยู่ในวัยนั้น ผมก็รู้สึกแบบนี้ ซึ่งหากเราทำให้เขาเห็นว่ามันแฟร์กับทุกฝ่าย ทุกคนก็แฮปปี้ และยิ่งการเอื้อประโยชน์ให้กับทุนผูกขาดมันเป็นการทำลายอนาคตที่ดีของพวกเขา แล้ววันนี้ก็เอื้อนายทุนกันทั้งนั้น ปัญหาของสังคมไทยมันเกิดจากทุนสามานย์ ทุนนิยมผูกขาด ต้องไปแก้ตรงนี้
ดังนั้นที่บอกว่า ฝ่ายปฏิรูปสถาบันเข้มแข็งขึ้น มีคนอยู่ในฝั่งมากขึ้น จึงไม่จริง เป็นแค่การสร้างวาทกรรม
-เห็นมีบางพรรคการเมืองบอกว่าจะนำเรื่องการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ไว้ในนโยบายที่จะใช้หาเสียงด้วย ขณะที่ไทยภักดีก็บอกว่าจะปกป้องสถาบัน แล้วแบบนี้จะเป็นอย่างไร?
ผมขอแยกเป็นสองส่วน คือในส่วนของพรรคอื่นกับของไทยภักดี
ในส่วนที่มีบางพรรคการเมืองจะชูเรื่องแก้ 112 ผมว่าสิ่งที่เขาคิดและเขาทำ มันเหมือนรับจ๊อบมาจากต่างประเทศ เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างประเทศ แล้วก็ง่ายต่อการครอบงำของนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่ใช้คำว่า ประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือ โดยไม่ได้ใช้กองเรือแบบโบราณเข้ามา
สิ่งที่จะทำจะยิ่งนำมาสู่ความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม และแม้แต่ในครอบครัวก็จะแตกแยก ก็โชคดีที่ กกต.มีการออกประกาศเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งที่ไม่ให้มีการอ้างอิงสถาบัน เพราะยิ่งจะมาเสนอแบบนี้มันคือการทำลายล้างเลย มันไม่ได้ มันขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ต่างจากสิ่งที่พวกผมทำ เพราะการปกป้องสถาบันหลักของชาติเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และสิ่งที่เราทำ เราทำตามขั้นตอนของกฎหมาย เราเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และสภาตอบกลับมาแล้วว่าเราดำเนินการได้ สิ่งที่เราทำจึงเป็นการทำตามครรลองของกฎหมาย แต่สิ่งที่เขาทำ มันไม่เป็นไปตามครรลองของกฎหมายและไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และเข้าสู่กระบวนการล้มล้างด้วย มันจึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้
-หากก้าวไกลชูแบบหนึ่ง แล้วไทยภักดีชูอีกแบบหนึ่ง หากผลการเลือกตั้งออกมา สมมุติก้าวไกลได้คะแนนมากกว่าไทยภักดี แล้วก้าวไกลตีกินว่าคะแนนที่ได้แสดงว่าประชาชนจำนวนมากอยากให้มีการแก้ไข 112 จะสรุปแบบนี้ได้หรือไม่?
อ้างแบบนี้ไม่ได้ เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่มิติเดียว ถ้าชีวิตมีมิติเดียว คือตื่นมาก็ 112 กินข้าวก็ 112 แบบนี้คือมิติเดียว ยังพออ้างได้ แต่ชีวิตมันมีหลายมิติมาก และต้องยอมรับว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญมากด้วย บางคนไม่ได้สนใจอะไร รับเงินเสร็จก็ไปคิดทำโน่นทำนี่ อย่างการเลือกตั้งเอง เราก็รู้กัน มีการซื้อตัว ส.ส. แค่มาฟังปราศรัยก็มีการจ่ายเงินกันจำนวนมาก วันเลือกตั้งคนก็ยอมรับใช้เงินเยอะ ผมถึงจะบอกว่าตรงนี้ไม่ต้องมาเคลมเลย เพราะแค่ลูบหน้าปะจมูกว่าเป็นนักประชาธิปไตย การชนะหรือแพ้ มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดในมิติ 112 เพราะปัจจัยมันเยอะมาก.
...........................................
ทำไมต้องชน-ทุนผูกขาด?
หวังสร้าง New Economy
ระบบเศรษฐกิจพลังงานสะอาด
นพ.วรงค์-หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวถึงภาพรวมนโยบายหลักๆ ของพรรคไทยภักดีในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า พรรคไทยภักดีมีนโยบาย 3 ป. คือ ปกป้อง-ปราบโกงและปฏิรูปหรือปฏิวัติ
...ปกป้องก็คือการปกป้องสถาบัน ในหลักการที่่ทำให้มาตรา 112 เข้มแข็งขึ้น ที่พรรคทำไว้อยู่แล้ว เราเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 บนฐานของภาคประชาชน แม้เราจะไม่มี ส.ส.ในสภา
ส่วนเรื่องปราบโกง เพราะมองว่าการทุจริตคือปัญหาของสังคมไทย และเรากำลังปล่อยให้การทุจริตกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ โดยพรรคพยายามดีไซน์นโยบาย จนเรากล้าพูดได้ว่านโยบายปราบโกงของพรรค ปราบทุจริตคอร์รัปชันมีรูปธรรมที่จับต้องได้
สาม ปฏิรูป-ปฏิวัติโครงสร้างที่ทุนผูกขาดเข้ามาครอบงำ เช่นระบบพลังงานไฟฟ้า-เรื่องอินเทอร์เน็ต รวมถึงการให้บริการขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรได้รับ
เช่น เรื่องไฟฟ้า พรรคประกาศนโยบายลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนเหลือหน่วยละ 2.50 บาท หลายคนตกใจ แต่เรายืนยันว่าเราไม่ใช่ประชานิยม หรือเอาเงินภาษีมาอุ้ม แต่เรามีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ทีมซึ่งคิดเรื่องนี้ได้คิดมาแล้วเป็นสิบปี ที่มานำเสนอให้พรรคพิจารณา โดยมี pilot plant ที่เคยทำมาแล้ว อยู่ในขั้นตอนการจดสิทธิบัตร ผ่านการ research ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่รับจดสิทธิบัตรให้เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้คือนโยบายด้านไฟฟ้า ที่รวมถึงเรื่องก๊าซหุงต้ม กิโลละ 15 บาท หรือถังละไม่เกิน 225 บาท รวมถึงการทำปุ๋ยยูเรียราคาถูก 750 บาท ซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจใหญ่ของนโยบาย เป็นชุดซีรีส์ของนโยบาย เพราะเป็นการปรับโฉมนโยบายพลังงานของชาติ จากที่ต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิลมาเป็นระบบพลังงานสะอาด แต่ใช้พืชพลังงานหญ้าเนเปียร์เป็นวัตถุดิบในการผลิตทั้งหมด ทั้งไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มและปุ๋ยยูเรีย ที่จะทำให้เราได้พลังงานราคาถูกและพลังงานสะอาดมาใช้ ส่วนเกษตรกรก็จะให้หลักประกันในการปลูกพืชพลังงาน จากที่เคยปลูกข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย แต่หากมาปลูกพืชพลังงาน ทำให้เกษตรกรจะเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ของการผลิตพลังงานสะอาดครั้งใหญ่ของประเทศ โดยจะให้หลักประกันเกษตรกรว่าจะมีกำไร 10,000-14,000 บาทต่อไร่ต่อปี
ทั้งหมดจะทำให้เกิด New Economy ระบบเศรษฐกิจพลังงานสะอาด โดยใช้ฐานพืชพลังงาน จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตัวใหม่ เพราะกำไรต่อหนึ่งไร่ที่ได้ 10,000-14,000 บาท เราตั้งเป้าทั่วประเทศ ที่หากลดพื้นที่การปลูกเกษตรอาหารมาทำพื้นที่เกษตรพลังงานประมาณ 70-90 ล้านไร่ เท่ากับเงินเจ็ดแสนถึงเก้าแสนล้านบาทจะหมุนเวียนไปที่เกษตรกร ที่เป็นเงินมหาศาลที่ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นกระบวนการผลิตของเกษตรกรที่นำมาสู่รายได้ ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากครั้งสำคัญ และจะทำให้ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ครั้งนี้จะทำให้เราหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง เพราะเกษตรกรจะมีรายได้ที่สูงมากและปลดหนี้ได้
นพ.วรงค์-หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวต่อไปว่า ส่วนนโยบายเรื่องทวงคืนกิจการดาวเทียม เพราะนักการเมืองเคยเข้ามาครอบงำระบบสื่อสารตั้งแต่รัฐบาลในอดีต แต่วันนี้รัฐบาลปัจจุบันไม่รักษาดาวเทียม ไปปล่อยให้มีการประมูลราคาถูกๆ ซึ่งทำไม่ถูกแล้วยังจะมาอ้างว่ารัฐห้ามค้าขายกับเอกชนไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กลั้น แต่ไปตีความให้รัฐธรรมนูญกลั้น เพราะเขามีข้อยกเว้นเรื่องความมั่นคง-สาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ สามารถค้าขายกับเอกชนได้ ทั้งที่ทุกประเทศต้องการดาวเทียมอินเทอร์เน็ต แต่ไปยกให้เอกชน ประชาชนก็ลำบาก ซึ่งจริงๆ การทำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงราคาเดือนละหนึ่งร้อยบาททำได้ โดยเฉพาะการทำให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ไม่มีรายได้ ให้ใช้ได้เดือนละห้าสิบเก้าบาท ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ที่ผมกล้าพูดเพราะคนข้างในบริษัท เอ็นที (บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด-National Telecom Public Company Limited : NT Plc.) เขาคำนวณให้ผมหมดเรียบร้อย โดยเขาดีใจที่เราจะปลุกกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติให้ขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ดูแลประชาชน
-จากชุดนโยบายหลายเรื่องที่ประกาศออกมา หากมีคนถามว่าจากปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนเผชิญอยู่ นโยบายต่างๆ ของไทยภักดีจะทำให้ปากท้องประชาชนดีขึ้นได้อย่างไร จะบอกกับประชาชนอย่างไร?
หัวใจอยู่ตรงที่จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เพราะเกษตรกรฐานล่างที่เป็นหนี้เป็นสิน โดยนโยบายของพรรคจะปรับลดการผลิต เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย เพื่อมาทำพืชพลังงาน อย่างน้อย 70-90 ล้านไร่ ในแต่ละช่วงที่เราวางแผนไว้ ที่ทำให้เกิดเม็ดเงินมหาศาล ประชาชนมีรายได้ เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และที่สำคัญคือ รายจ่ายจะลดลง เพราะไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มถูกลง ค่าปุ๋ยยูเรียถูกลง ค่าบริการพื้นฐานอย่างค่าอินเทอร์เน็ตถูกลง แต่ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น จากที่เวลาเราทำอะไรต่างๆ ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ทำให้สิ่งต่างๆ มีราคาแพงขึ้น แต่นโยบายพรรคทำให้ลดค่าครองชีพของประชาชน-เพิ่มรายได้
จุดแข็งของพรรคไทยภักดีคือเราจริงใจกับประชาชน ผมเชื่อว่าเราจริงใจ เราตั้งใจ เราคิดถึงขนาดว่าเราอยากทำให้ประเทศพัฒนา แต่เรารู้ว่าเราเป็นพรรคใหม่ วันนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่อนาคตไม่แน่ การเลือกพรรคไทยภักดีในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ประชาชนจะได้สิ่งที่คาดหวังบนหลักการความยั่งยืน
ผมยืนยันในความเป็นประเทศที่ต้องมีสถาบันเป็นจุดยึดเหนี่ยว ที่ก็คือนโยบายในการปกป้อง ผมยืนยันว่าปัญหาหลักของชาติคือการทุจริตคอร์รัปชัน การเอื้อประโยชน์ของฝ่ายการเมือง พรรคก็มีนโยบายในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ปัญหาปากท้องประชาชน เราก็มีนโยบายที่เป็นนวัตกรรม พรรคอื่นทำไม่ได้ ผมกล้ายืนยัน เพราะพรรคอื่นรับเงินจากทุนใหญ่หมด รับเงินจากทุนผูกขาดหมด จึงทำให้ทำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนไม่ได้ ถ้าประชาชนให้ความไว้วางใจพรรคไทยภักดี ประชาชนจะมีแต่ได้กับได้
-หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องสู้กับทุนผูกขาด?
ปัญหาปากท้องประชาชนเกิดจากนักการเมืองทุจริตไปเอื้อให้เขา การที่เราจะไปแก้ตรงนี้เท่ากับเรากำลังสู้กับนักการเมืองด้วย เพราะการเมืองไปเอื้อให้เขาจนประชาชนอยู่ลำบาก ถ้าเราหยุดเขาได้ ประโยชน์จะไหลลงมาสู่ข้างล่าง สิ่งต่างๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภค จะราคาถูกลง เมื่อราคาถูกลง ค่าครองชีพประชาชนจะลดลง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น นี่คือปัญหาของประเทศ ที่เรานั่งวิเคราะห์ปัญหาของสังคมไทย จนพบว่านี่คือหัวใจหลักของประเทศที่เราต้องต่อสู้
เราถึงมาสู้เรื่องการทุจริตจนมาถึงทุนผูกขาด เพราะเมื่อทุนผูกขาดไปเอื้อพรรคการเมือง ส.ส.ในพรรคก็เลยไม่มีน้ำยา สุดท้ายจะยกมือตามคำสั่งของกลุ่มคนที่มีอำนาจในพรรค โดยพวกนี้ก็จะเชื่อมโยงกับบริษัทต่างๆ ว่าอันนี้เป็นประโยชน์ของเขา อย่าไปยุ่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมไทยภักดีถึงไม่ยุบไม่ย้าย เพราะเรารู้ว่าหากเราไปอยู่ใต้อาณัติแบบนั้น สภาพโครงสร้างทางการเมืองไทยก็จะเหมือนเดิมทุกอย่าง เราจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ จะไม่สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้เลย จึงทำให้เรายืนหยัดตรงนี้
-หากมีคนถามว่าทำไมพรรคไทยภักดีต้องปกป้องสถาบัน จะบอกเรื่องนี้อย่างไร?
มันมีการกระทำที่ทำให้เราเห็นอยู่แล้ว เช่น บางพรรคการเมืองประกาศเรื่องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผมเปรียบเทียบความเป็นประมุขแห่งรัฐ ระหว่างสถาบัน กับเอานักการเมืองชั่วๆ ขี้โกงมาเป็นประมุข ผมมองว่านักการเมืองชั่วๆ ขี้โกง จะสร้างปัญหาให้ประเทศมากกว่า แต่สถาบัน ท่านเป็นประมุข ท่านหลอมรวมคนไทยไว้ และผมเชื่อว่าความเป็นสถาบัน ท่านยังสามารถทำให้มหาอำนาจต่างๆ ที่ต้องการจะมาครอบงำเกิดความเกรง คือมหาอำนาจเหล่านี้หนุนคนบางกลุ่มที่มีความทะเยอทะยานทางการเมืองที่้จ้องทำลายสถาบัน เราเห็นการกระทำแบบจับต้องได้ว่าถูกคุกคามจริง เราถึงต้องออกมาแสดงออก และเราก็มีกาลเทศะ ไม่ใช่ว่าทำไปเรื่อย แต่เรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
-ที่ผ่านมามีคนติดต่อทาบทามให้ไปรวมพรรคกับพรรคอื่นหรือไม่ โดยเฉพาะรวมไทยสร้างชาติ?
มีคนเรียกร้องให้เราไปรวมพรรคกับพรรครวมไทยสร้างชาติหรือพรรคลุงตู่เยอะ แต่ผมก็บอกว่าลุงตู่เอื้อทุนผูกขาดมากไปหน่อย ผมจึงไม่แฮปปี้ การที่พลเอกประยุทธ์ไม่กล้าตัดสินใจปัญหาสำคัญๆ ของชาติ ผมไม่แฮปปี้ แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สะท้อนว่าท่านก็ไม่กล้าตัดสินใจ มันทำให้เรารู้สึกไม่แฮปปี้ ยิ่งลุงป้อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เราอาจเป็นพันธมิตรกันได้ อะไรไม่ถูก เราก็เตือนกันแรงๆ
"สิ่งที่พรรคไทยภักดีทำตรงนี้ มันเป็นการท้าทายความรู้สึกของประชาชนที่พรรคการเมืองอื่นไม่ทำ มันจึงเป็นสิ่งที่ใหม่มาก อย่างการเดินสายแบบจรยุทธ์ เพราะแนวทางที่ลุงโฮจิมินห์ทำเป็นสิ่งที่ผมชอบ กับการต่อสู้แบบจรยุทธ์ ไร้รูปแบบ รบเร็ว รบบ่อย รบถี่ ที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร มันอาจจะล้มเหลวก็ได้ ไทยภักดีอาจไม่ได้ ส.ส.สักคนก็ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเราได้ทำในสิ่งที่ฝันว่าอยากจะทำให้ประเทศแล้ว
แต่ก็ไม่แน่ สิ่งนี้มันอาจเป็นประสบการณ์ใหม่ที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้น มันอาจซึมซับไปยังประชาชนทุกกลุ่มทุกระดับที่เราไปเดินสาย ไปขายความคิด แล้วใช้ชีวิตอยู่กับเขา ไปคุยกับเขา ให้เขาช่วยกระจายความคิด มันก็อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งนี้ก็ได้ ผมถึงบอกว่าวันนี้อย่าเพิ่งไปคาดเดาอะไร อาจได้เห็นอะไรดีๆ ที่ออกมาจากพรรคไทยภักดี".
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด บ้านใหญ่ รอเข้าวิน พท.กวาดเยอะ-พรรคส้ม เสี่ยงร่วง
ยิ่งใกล้ถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือนายก อบจ. พบว่าการหาเสียงของผู้สมัครนายก อบจ.ทั้งที่ลงในนามพรรคการเมือง และไม่ได้ลงในนามพรรค
ร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม .. ณ จังหวัดนครปฐม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ โครงการร้อยใจธรรม สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ที่ดำเนินการโดย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน
ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล
ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?
2 สว. “ชาญวิศว์-พิสิษฐ์” ปักธงพิทักษ์รธน. ปกป้องสถาบันฯ พวกเราเป็นอิสระ ไม่มีรับใบสั่ง
กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูยเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...
เหลียวหลังแลหน้า การเมืองไทย จาก 2567 สู่ 2568 ส่องจุดจบ ระบอบทักษิณภาค 2
รายการ"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด"สัมภาษณ์ นักวิชาการ-นักการเมือง สองคน เพื่อมา"เหลียวหลังการเมืองไทยปี 2567 และแลไปข้างหน้า