บทความนี้เขียนโดยไม่มีอคติ ไม่มีการเมือง ไม่มีเจตนาจะด้อยค่าผู้ใด แต่เขียนในแง่ของหลักการ การมีระบบที่ดี มีธรรมาภิบาล เขียนในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่รักและศรัทธาข้าราชการดีๆทุกคนที่ปฎิบัติหน้าที่อย่างมีความรู้ ความสามารถ เข้มแข็ง และซื่อสัตย์สุจริต เชื่อว่าเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยล่มเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา หากมีการตรวจสอบในเชิงวิทยาศาสตร์และประจักษ์พยาน จะปรากฏเรื่องราวของวีรชนผู้กล้าจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเต็มความสามารถในความพยายามที่จะกอบกู้สถานการณ์รวมทั้งการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
เหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยล่ม ก่อให้เกิดการเสียชีวิตและลูกเรือสูญหาย ทำให้สังคมพุ่งประเดินไปที่การตรวจสอบหาสาเหตุ เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องถ้ามี โดยเฉพาะการวางระบบ มาตรการและ แนวปฏิบัติ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ
โดยทั่วไป เมื่อเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น การตรวจสอบหาสาเหตุจะมีข้อสันนิษฐานอยู่ 4 ประการสำคัญคือ (1) ความผิดพลาดของมนุษย์ที่เกิดจากการปฎิบัติหรือการตัดสินใจ (human error: HE); (2) ความผิดพลาดทางเทคนิกหรืออุปกรณ์ (technical or mechanical error: TME); (3) ความผิดพลาดทางการบริหารจัดการ ที่เกิดจากระบบ (management failure: MF); และ (4) เหตุสุดวิสัย ซึ่ง 3 ประการแรก เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาลทั้งสิ้น
เรือไทแทนนิก (Titanic)
อดนึกถึงเหตุการณ์เรืออับปางที่โด่งดังที่สุดของโลกไม่ได้ นั่นคือเรือไทแทนนิก ที่ชนภูเขาน้ำแข็งและจมลงในวันที่ 14-15 เมษายน ค.ศ. 1912 ไทแทนนิก เป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ออกแบบป้องกันภัยพิบัติทางทะเลอย่างดีเลศ จนกล่าวขวัญกันว่าเป็นเรือที่ “จมไม่ได้” (unsinkable) กัปตันเรือก็มากความสามารถ คุมเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมากว่า 40 ปี ก่อนหน้า การตรวจสอบหาสาเหตุในอดีต เคยมีข้อสันนิษฐานมากมาย แต่ปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือและการวิเคราะห์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าขั้นมาเป็นลำดับ ทำให้เชื่อได้ว่าสาเหตุการจมที่แท้จริงคืออะไร ในกรณีของเรือไทแทนนิก จะพิจารณาคำถามสำคัญเพียง 2 ประเด็น คือ เหตุใดน้ำจึงเข้าเรือในปริมาณมากจนทำให้เรือจมได้ภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง และเหตุใดจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 1500 คน จึงมากเกินเหตุผลทางเทคนิค
ทั้ง 2 คำถาม เกี่ยวเนื่องกับ HE, TME, และ MF โดยเกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาลทั้งสิ้น และเป็นประเด็นสำหรับเรือหลวงสุโขทัยด้วย
พิจารณาจำนวนผู้เสียชีวิตก่อน เรือไทแทนนิก ออกแบบให้มีเรือชูชีพ 64 ลำ แต่ออกเดินทางจากท่าเรือที่อังกฤษโดยมีเรือชูชีพเพียง 20 ลำ ซึ่งอาจเป็นความประมาทของบริษัทเรือ หรือความผิดพลาดในการตรวจสอบส่งมอบ ยิ่งไปกว่านั้น เรือชูชีพลำแรกที่ลำเลียงผู้โดยสารออกจากเรือ มีคนนั่งอยู่เพียง 28 คนทั้งๆที่เรือชูชีพสามารถรองรับผู้โดยสารได้ลำละ 65 คน จะเป็นเพราะการตื่นตระหนกหรือการเอาใจผู้โดยสาร VIP หรืออย่างไร แต่ก็ย่อมเป็นเรื่องบริหารจัดการที่ขาดธรรมาภิบาล (MF)
คำถามต่อมาที่ว่า เหตุใดน้ำจึงทะลักเข้าไปใต้ท้องเรือในปริมาณมากจนทำให้ระบบต่างๆล่มและเรือจม เป็นคำถามที่สลับซับซ้อนกว่า ในอดีตเคยมีข้อสันนิษฐานและทฤษฎีมากมาย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องจริงที่อิงนิยายเสริมด้วยการคาดเดา อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ค้นพบซากเรือในปี ค.ศ. 1985 ความกระจ่างก็ค่อยๆปรากฎขึ้นตามลำดับเมื่อใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูล เช่น แต่เดิมเคยสันนิษฐานและเชื่อกันว่า ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นก่อให้ความเสียหายต่อตัวเรืออย่างมากในลักษณะวิกฤตหายนะ (catastrophic) ทำให้เกิดแผลฉีกขาดเป็นแนวยาวถึง 90 เมตรทางด้านข้างของตัวเรือ เป็นที่เข้าใจว่าน้ำปริมาณมากจึงไหลเข้าไปได้ ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าช็อตและดับลง ระบบควมคุมเครื่องจักรและระบบสูบน้ำล่ม เครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าทั้งหมดไม่ทำงาน ทำให้เรือจมลงในที่สุด แต่การใช้เทคโนโลยีสำรวจวัตถุใต้น้ำด้วยโซนาร์ พบว่าตัวเรือมีการฉีกขาดแตกบางๆเพียง 6 แผลตื้นๆ ในบริเวณใกล้กัน พื้นที่ของเรือที่น้ำทะเลทะลักเข้าได้จึงมีเพียงหนึ่งตารางเมตรเท่านั้น เพราะแผ่นเหล็กของลำเรือจะเชื่อมต่อกันโดยมีผนังเหล็กกั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่กว้าง แบ่งเป็นส่วนๆไป น้ำทะเลจะไม่สามารถไหลผ่านหรือแม้กระทั่งซึมผ่านจากจุดที่เหล็กฉีกขาดไปยังช่วงอื่นๆของลำเรือได้ เป็นการออกแบบเพื่อป้องกันภัยพิบัตินั่นเอง เพราะฉะนั้น ก็ยังคงเป็นคำถามว่า เหตุใดน้ำทะเลจึงทะลักเข้าไปได้มาก
งานวิจัยของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา (National Institute of Standards and Technology: NIST) ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่น้ำทะเลทะลักเข้าไปมาก คือการหลุดหักของสลักโลหะหรือ “หมุดย้ำ” (rivets) ที่ใช้ในการเชื่อมต่อยึดแผ่นเหล็กที่ประกอบเป็นตัวเรือ งานย้ำหมุด (Riveting) คือการต่อเชื่อมโดยการเจาะรูแผ่นเหล็กให้ทะลุทั้ง 2 ชิ้น เอาหมุดย้ำสอดเข้าไปในรู แล้วย้ำปิดหัวท้ายให้แผ่นเหล็กยึดติดกัน หมุดย้ำทำจากโลหะที่สามารถยุบตัวได้ โดยไม่แตกหักเมื่อรับแรงกระแทก มีความแข็งแรงสูง เรือไทแทนนิกยังใช้แผ่นเหล็กและหมุดย้ำกั้นพื้นที่เป็นส่วนๆไม่ให้ลำเรือภายในต่อเนื่องถึงกันเพื่อลดความเสี่ยงและจำกัดบริเวณเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำทะเลทะลัก ไฟไหม้ หรือเหตุอื่นๆ
จากการวิเคราะห์เศษเหล็กของเรือไทแทนนิกที่พบใต้ทะเล โดยวิธีการทางโลหะวิทยาและวิศวกรรมเครื่องกล พบว่าหัวหมุดย้ำ (rivets) มีตะกรัน (slag) หรือกากโลหะที่หลงเหลือจากการถลุงเหล็กปริมาณสูงถึง 3 เท่าของมาตรฐานปัจจุบัน ทำให้หมุดย้ำเปราะและมีความยืดเหนียวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และน่วมอ่อนเมื่อเจอกับอุณหภูมิเยือกแข็งของมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อเรือชนกับภูเขาน้ำแข็ง หมุดย้ำเหล่านี้จึงหลุดหัก ทำให้ช่วงต่างๆของเรือที่ควรจะกันน้ำ (water-tight) กลับเปิดโล่ง ไร้ผนังกั้น พูดง่ายๆว่า “น็อตหลุด” นั่นเอง
นอกจากนี้ หลักฐานประกอบอีกชิ้นหนึ่ง คือภาพถ่ายของเรือที่สร้างในเวลาใกล้เคียงกัน ชื่อ Olympic ที่ประสบอุบัติเหตุชนกับเรืออีกลำหนึ่งในปี ค.ศ. 1911 ภาพถ่ายจากการสอบสวนแสดงให้เห็นชัดว่าหมุดย้ำได้หลุดหักออกมาลักษณะเดียวกัน ตัวเรือมีรูเล็กๆเท่ากับขนาดของหมุดย้ำในแนวยาวที่สอดหมุดย้ำไว้ หากคุณสมบัติของหมุดย้ำในเรือสองลำนี้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นในขณะนั้น ก็เป็นเรื่องขาดธรรมาภิบาลของผู้สร้างเรือหรือการตรวจรับที่บกพร่อง (HE และ MF) แต่ถ้าหากไม่ได้ละเมิดมาตรฐานที่มีอยู่ขณะนั้น ก็จะกลายเป็นเรื่องเทคนิค (TME) และอาจถือเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ได้
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ก็เชื่อว่ามีความผิดพลาดของมนุษย์ที่เกิดจากการปฎิบัติหรือการตัดสินใจ (HE) ด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องจงใจหรือเลินเล่อแต่อย่างใด นั่นคือ การที่ผู้ควบคุมเรือพยายามหันหัวเรือเพื่อหลีกเลี่ยงการชนภูเขาน้ำแข็งแต่ไม่พ้น กลับเป็นเหตุให้ความเสียหายเกิดขึ้นที่ด้านข้างของลำเรือ เหล็กฉีกขาดไม่มากแต่หมุดย้ำหลุดหักหลายพันตัว หากไม่ตัดสินใจหันลำเรือโดยชนกับภูเขาน้ำแข็งตรงๆ ก็จะเกิดความเสียหายเฉพาะด้านหน้าซึ่งเป็นเหล็กแข็งไม่มีการเชื่อมต่อ น้ำทะเลจะไม่เข้าไปใต้ท้องเรือและสามารถลอยลำรอความช่วยเหลือจากเรืออื่นได้
เชื่อได้ว่าการวิเคราะห์ที่พบว่าเหตุเกิดเพราะ “น็อตหลุด” มีส่วนสำคัญในการกำหนดมาตรฐานของหมุดย้ำที่ใช้ในปัจจุบัน
เรือหลวงสุโขทัย
บทเรียนจากการวิเคราะห์เรือไทแทนนิก มีประโยชน์ต่อการตรวจสอบสาเหตุการอับปางของเรือหลวงสุโขทัย เพราะมีประเด็นใกล้เคียงกันหลายประการ
ประการแรก คำบอกเล่าของพลทหารที่รอดชีวิตว่า เสื้อชูชีพสำหรับกำลังพลบนเรือมีไม่เพียงพอกับจำนวนคน ก็คล้ายกับเรือไทแทนนิกที่เรือชูชีพมีไม่พอ แต่กองทัพเรือมีหลักการ กฎระเบียบและแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้ชัดเจนอยู่ จึงไม่น่าเชื่อว่าเสื้อชูชีพจะมีไม่พอกำลังพล เมื่อพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงว่ามีกำลังพลบนบกส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งให้ไปปฏิบัติการบนเรือหลวงสุโขทัยโดยไม่ให้เวลาเบิกเสื้อชูชีพ ประเด็นก็จะเปลี่ยนไปจากเรื่องบริหารจัดการบนเรือ เป็นเรื่องการบริหารในระดับสูงขึ้นไป เป็นที่ตระหนักดี ว่าในระดับสากล กองทัพของทุกประเทศ เมื่อมีคำสั่ง ก็ต้องปฏิบัติตาม ด้วยเหตุผลสำคัญคือผู้บังคับบัญชาน่าจะมีวิสัยทัศน์ มีข้อมูลและการวิเคราะห์เห็นภาพรวมของการปฏิบัติการและผลประโยชน์ของประเทศ มากกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่อาจมีข้อมูลจำกัดเฉพาะเรื่อง แต่น่าคิดว่า ถ้าระดับปฏิบัติมีกฎระเบียบที่ชัดเจน เช่น จำนวนเสื้อชูชีพ ต่อจำนวนผู้ปฏิบัติการบนเรือ จะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ จะสามารถใช้เป็นเหตุโต้แย้งไม่รับกำลังพลเพิ่ม ได้หรือไม่
ประเด็นน้ำทะเลทะลักเข้าเรือ ก็น่าสนใจเช่นเดียวกับกรณีเรือไทแทนนิก เพราะน้ำทะเลที่ไหลเข้าภายในตัวเรืออย่างรวดเร็ว เข้าระบบเครื่องไฟฟ้า ก็ย่อมทำให้ไฟฟ้าดับ เครื่องจักรหยุดทำงาน ควบคุมเรือไม่ได้ คำถามเดียวกัน คือ น้ำทะเลไหลเข้าเพราะคลื่นลมแรง กระแสใต้น้ำปั่นป่วนซัดกระหน่ำอัดกระแทก ปัจจัยทางธรรมชาติที่ผิดปกติอย่างเดียว หรือว่าตัวเรือมีความเปราะบางเนื่องจากการซ่อมบำรุงและอะไหล่ที่ไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์เกิดการชำรุดเสียหายตามกาลเวลาหรือไม่ การซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่กระทำตามความจำเป็นตามกำหนดหรือมีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือไม่ การจัดซื้อจัดจ้าง ตรวจรับงานมีปัญหาหรือไม่ เหล่านี้เป็นเรื่องทางเทคนิก (TME) และอาจเป็นความผิดพลาดด้านบุคคล (HE) ด้วย
หากผู้ปฏิบัติงานบนเรือ รายงานสภาพความไม่พร้อมของเรือเพราะปัญหาเทคนิกแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้บังคับบัญชาจะเปลี่ยนคำสั่ง (เป็นปัญหา MF ที่ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือไม่) ควรหาข้อเท็จจริงหรือไม่
กฎหมายและอนุสัญญา
อันที่จริงประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาต่าง ๆ ของ องค์กรทางทะเลระหว่างประเทศหลายฉบับ และมีกฎหมายการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456/แก้ไข พ.ศ. 2560 ซึ่งให้อํานาจเจ้าท่ารวบรวมตรวจสอบอุบัติเหตุ ความปลอดภัยทางน้ำ และการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน หาสาเหตุและมาตรการป้องกัน แต่แม้แต่ระดับพลเรือน กฎหมายไทยก็ยังไม่เน้นกระบวนการตรวจสอบที่เป็นไปตามหลักการการสอบสวนอุบัติเหตุทางเรือของอนุสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ เช่น อนุสัญญาระหว่างประเทศขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) ค.ศ. 1948/1991/1993 อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศเพื่อป้องกันเรือโดนกันในทะเล ค.ศ .1972 อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล ค.ศ.1974 (SOLAS 1974) และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล United Nations Convention on The Law of The Sea: UNCLOS 1982 เป็นต้น ซึ่งอนุสัญญา UNCLOS กําหนดให้ประเทศสมาชิกทําการสอบสวนอุบัติเหตุทางทะเล เพื่อจะนําผลการสอบสวนมาวางมาตรการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ นอกจากนี้ IMO ยังจัดทําประมวลมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติในการสอบสวนเพื่อความปลอดภัยในอุบัติเหตุหรือเหตุทางน้ำ (The Code Of The International Standards And Recommended Practices For A Safety Investigation Into A Marine Casualty Or Marine Incident หรือ Casualty Investigation Code) เพื้อให้ประเทศสมาชิกนำไปออกเป็นกฎหมายภายใน ซึ่งประเทศไทยก็ยังไม่ได้ออกกฎหมายตาม
การอนุวัติการหรือการดำเนินการให้เป็นผลตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาโดยการตรากฎหมายหรือปรับแก้กฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องและรองรับกับพันธกรณีตามอนุสัญญา แม้จะไม่ใช้บังคับกับเรือของทางราชการทหาร แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อปะเทศไทยในการฝึกปฏิบัติและในเชิงสัญญลักษณ์ และอาจใช้เป็นตัวอย่างแนวทางการสอบสวนในกรณีเรือของราชการทหารได้บ้าง
เป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลว่าเหตุเกิดในกองทัพใดการสอบสวนเป็นหน้าที่ของกองทัพนั้นๆด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคง แต่ถ้าประเทศไทยจะสร้างความเชื่อมั่นให้คนในประเทศและต่างประเทศ การดัดแปลงกฎระเบียบและแนวปฏิบัติบางอย่างก็น่าจะกระทำได้ เช่น ให้มีผู้เชี่ยวชาญอิสระสายวิชาการร่วมอยู่ในกรรมการสอบสวนด้วย
เราอาจจะคิดว่าการนำแนวปฏิบัติสากลมาเป็นตัวอย่าง หรือการแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่างๆ เป็นเรื่อง “วัวหายล้อมคอก” แต่ความจริงเราก็ยังมีวัวอีกหลายตัวที่ยังไม่หาย และจะต้องดูแลคุ้มครอง ป้องกันมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก
ดร. สิริลักษณา คอมันตร์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
10 มกราคม 2566
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับ 'หนุ่มออสเตรีย' ขับเจ็ตสกี ชนนักท่องเที่ยวรัสเซียดับ
เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา สภ.กะรน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. สถานีตำรวจภูธรกะรน
อพยพวุ่น! ฝนถล่มเมืองคอนกลางดึก จมบาดาลทั้งเมือง สั่งปิดเรียน 1 วัน
นครศรีธรรมราชถูกน้ำท่วมอย่างหนัก ถนนหลายสายกลายเป็น “เมืองบาดาล” โดยเฉพาะถนนพัฒนาการคูขวาง ตั้งแต่สี่แยกพัฒนาการคูขวางถึงโรงแรมทวินโลตัส มีน้ำท่วมสูงเฉลี่ย 20 - 40 เซนติเมตร
คลื่นลมแรงซัดเรือประมงล่ม 2 พ่อลูกลอยคอกลางทะเล
ศูนย์กู้ภัยมูลนิธิประชาร่วมใจเขตอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช รับแจ้งเหตุเรือประมงขนาดเล็กถูกพายุพัดล่มกลางทะเล ห่างจากฝั่งประมาณ 4-5 กิโลเมตร โดยมีผู้ประสบภัยเป็นพ่อลูก 2 คน คือ นายบุญเสริญ แซ่หลี อายุ 63 ปี
ญาติวอนช่วยเหลือ! 5 ลูกเรือประมงชาวไทยถูกเรือสินค้าชนอับปางทะเลมาเลเซีย กว่า 10 วัน ยังไร้วี่แวว
จากกรณีเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ชาวประมงประเทศมาเลเซีย ได้พบกับเรือประมง KFH 2199 ได้อับปางอยู่น่านน้ำประเทศมาเลยเซีย ฝั่งไทรบุรี เมืองปลิศ โดยมีผู้รอดชีวิตอยู่บนเรือที่คว่ำอยู่ 1 คน จึงทำการช่วยเหลือ
เกาะลิบงอ่วมหนักรอบ 30 ปี! คลื่นซัดเรือประมงล่ม 7 ลำ รีสอร์ทพัง ชาวบ้านเผยปีนี้ฝนมาเร็ว
ในพื้นที่เกาะลิบง หมู่ 5 บ้านหลังเขา ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง เกิดเหตุมีเรือประมงพื้นบ้านล่มจำนวน 7 ลำ หลังเกิดฝนตกและลมพายุในทะเลฝั่งอันดามัน โดยนายอ่าสาน ค
พบเรือต่างชาติล่มใกล้เกาะรอก จ.กระบี่ แจ้งตร.น้ำสืบสวนหาสาเหตุ
ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 เปิดเผยว่า ศยก.ศรชล.ภาค 3 ได้ทราบข่าวสารจากการไลฟ์สดผ่านช่องทาง Tiktok ของผู้ใช้นามว่า ไต๋บอล อวนดำซิ่ง ว่าพบเรือล่ม ลอยพ้นน้ำ อยู่บริเวณเกาะรอก พื้