กรรมการขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเพื่อไทย กางโรดแมป ก่อนเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้ง

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงก่อนสิ้นปี 2565 เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในปีหน้า 2566 ยังเป็นเรื่องที่แวดวงการเมืองให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด  เพราะหลายพรรคการเมือง มีการขยับเตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่ โดยบางพรรคการเมือง ก็มีเดินพันสูงที่แพ้ไม่ได้

สำหรับ”พรรคเพื่อไทย”ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งหลายฝ่ายประเมินตรงกันว่าเพื่อไทยมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง ได้ส.ส.เข้าสภาฯมากที่สุด แต่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ยังไม่มีใครกล้าฟันธง

และหนึ่งในการเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ก็คือการที่พรรคเพื่อไทย มีการตั้ง” คณะกรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทย” ที่มี “สุธรรม แสงประทุม อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย-หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาตั้งแต่ต้น”เป็นประธานคณะกรรมการชุดดังกล่าว โดยมีกรรมการคนอื่นๆเช่น ดร. กิตติ ลิ่มสกุล อดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ล่าสุดเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-โชติศักดิ์ อาสภวิริยะ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์และอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท และเอ็มดี ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือทอท. เป็นต้น

สำหรับการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ มีบทบาทหน้าที่อะไรบ้าง เราได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ“สุธรรม-ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทย”โดยมี “โชติศักดิ์ อาสภวิริยะ” ร่วมวงพูดคุยด้วย หลังก่อนหน้านี้ เพื่อไทย เพิ่งสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศนโยบายหาเสียงหลายเรื่อง เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

“สุธรรม”บอกว่า การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมา ก็เพราะพรรคเพื่อไทยตระหนักว่า เราเป็นสถาบันการเมืองที่คนให้ความเชื่อถือ เพราะการเกิดของพรรคเพื่อไทยที่มีการนำ นโยบายที่ประกาศไว้ไปทำ ประชาชนถือว่าคือพันธะสัญญา และเมื่อเราได้รับโอกาส เราก็นำสิ่งเหล่านั้นมาขับเคลื่อนจนมีผลต่อชาติบ้านเมือง ต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลต่อประชาชนระดับรากหญ้า ไม่ว่าจะเป็น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคหรือกองทุนหมู่บ้าน -นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย

ตอนแรกที่มีการประกาศนโยบายตอนหาเสียง คนก็บอกว่าทำไม่ได้ ถามกันว่าจะเอาเงินมาจากไหน แต่เมื่อเราได้โอกาส

ทุกนโยบายก็นำไปทำได้ ส่งผลต่อประชาชน แม้เราจะถูกกีดกัน ถูกทำลายทุกวิธี แต่เพื่อไทย ก็ยังอยู่ในใจประชาชน

พรรคเพื่อไทย เราจึงถือว่ามีสินทรัพย์ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ท่านทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนก่อตั้งไทยรักไทย และมาเป็นพรรคเพื่อไทยตอนนี้ พรรคเราไม่ได้ใช้เงินในการระดมผู้คนหรือเรียกร้องให้คนลงคะแนนให้เราแต่เราใช้นโยบายพรรค นี้คือต้นทุนของพรรคและต้นทุนเหล่านี้ต้องเข้าไปเข้าไปทำความเข้าใจ สร้างความเข้าใจกับประชาชน เหมือนตอนกำเนิดนโยบายแต่ละด้าน ที่เกิดจากเราไปฟังทุกข์ของประชาชน ฟังปัญหาของเขา ทุกข์ของเขาหนัก แต่เราสามารถนำทุกข์ที่หนักดังกล่าวมาทำให้เบาได้ และสิ่งที่เขาเบาลงไป เมื่อเขาไม่มีภาระมาก ก็ช่วยทำให้เขามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น คนอ่อนด้อยกลายเป็นคนแข็งแรง สังคมเราก็ดีขึ้น

ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทย”กล่าวต่อไปว่า เราจึงบอกกับพรรคว่าคณะกรรมการชุดนี้ ขออาสา เพราะอย่างผม ก็อยู่กับเพื่อไทยมาตั้งแต่ก่อตั้งพรรค และกรรมการแต่ละคนก็มีความรู้ ประสบการณ์ในงานด้านต่างๆ เช่น นายโชติศักดิ์ ที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานเช่นเคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยหรือเอสเอ็มอีแบงก์ เคยอยู่ทอท.  ทำให้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้จึงเกิดขึ้น

เป้าหมายก็คือ เราจะนำผลงานก่อนหน้านี้ที่พรรคเพื่อไทยทำสำเร็จ ไปถ่ายทอดต่อประชาชนว่าพรรคคิดอย่างไร พรรคขับเคลื่อนทำอย่างไรและผลออกมาอย่างไร และนโยบายใหม่ ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์สิ่งที่พรรคคิดไว้มีอะไรบ้าง เราก็จะไปทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรค ผู้สมัครส.ส.ของเพื่อไทย เพื่อให้นำสิ่งเหล่านี้ไปบอกกับประชาชน และหลังเลือกตั้งเมื่อเข้ามาทำงานแล้ว เขาก็สามารถนำนโยบายที่พรรควางไว้ไปขับเคลื่อนต่อไปได้ เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เกิดจากการไปรับฟังประชาชน ไปฟังปัญหาเขาและร่วมกันหาทางออกด้วยนโยบาย

...สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นและเราจะอาสาว่า ถ้าผู้สมัครส.ส.ของเพื่อไทยที่พอจะช่วยตัวเองได้แล้วในพื้นที่ กรรมการชุดนี้อาจจะยังไม่ไป ให้ทัพใหญ่ของเพื่อไทยไป แต่ถ้าเป็นผู้สมัครใหม่ๆ ที่เข้ามาในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นแล้วอาจจะยังไม่เข้าใจปรัชญาของพรรคดีพอ เราจะเลือกกลุ่มเหล่านั้น เราจะไปพบปะเขา ที่แม้อาจจะเป็นวงเล็กๆ เช่น 10-20 คนหรือร้อยคน เราก็จะไปสร้างความเข้าใจกับเขา

เราเชื่อว่าการไปสร้างความเข้าใจเหล่านี้ ต่อไปจะกลายเป็นคลื่นขึ้นภายในสังคม การทำงานของกรรมการก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนให้กับพรรคในการเลือกตั้ง เพราะเราเชื่อว่าประชาชนก็รอคอยเราอยู่ เมื่อเจอกันแล้วก็ต้องไปทำความเข้าใจกับเขา ทางคณะกรรมการจะลงไปพบสมาชิกในเขตเลือกตั้งต่างๆ ไปพูดคุยกับเขา บางคนมาลงสมัครส.ส.เพื่อไทยครั้งนี้ครั้งแรก เขาอาจยังไม่เข้าใจปรัชญา วัฒนธรรมของเพื่อไทย ว่าพรรคทำงานอย่างไร ก็ต้องทำความเข้าใจกัน ผ่านการขับเคลื่อนโดยใช้แนวคิด-นโยบาย 

...อย่างที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายพรรคไปก่อนหน้านี้ว่า คาดหมายว่าในปีพ.ศ. 2570 จะทำให้ผู้ใช้แรงงานได้ค่าตอบแทนขั้นต่ำวันละ 600 บาท ก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์กัน เราก็รับฟัง เพราะสิ่งที่เราคิดมันยังไม่เกิด คนก็อาจคิดว่าทำไม่ได้หรอก ทำแล้วจะมีปัญหา เราก็ฟัง เพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดา

สิ่งที่คาดหวัง สิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอไป ก็เป็นงานยาก ไม่ใช่งานง่าย เขาก็อาจไม่เชื่อ และบางพรรคการเมืองเคยพูดอะไรไปแล้วแต่สุดท้ายเข้าไปก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้คิดจริง แต่ไปลอกกันมา เลยทำให้คนอาจไม่เชื่อ แต่พอมาเจอของเพื่อไทย เขาอาจเห็นบางมุมเช่นคู่แข่งมาโจมตีกัน แบบนี้เราก็ต้องไปเคลียร์ไปทำความเข้าใจ สร้างความเข้าใจกับประชาชนรวมถึง สมาชิกพรรค

ตอนนี้คณะกรรมการเริ่มขับเคลื่อนไปแล้วหลายพื้นที่เช่น สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ที่หลายเขตผู้สมัครเป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่แต่ละพื้นที่ซึ่งเข้าไป ก็มีทั้งในพื้นที่เรียกร้องมา บางแห่งเราก็เห็นว่าบางพื้นที่เรายังอ่อนไป เราก็เสนอไปว่าจะเข้าไปช่วย แล้วจากนี้ก็จะตะเวนไปเรื่อยๆ หลังจากนี้ก็จะเป็นคลื่นแล้ว

เพราะอย่างผม ก็นำประสบการณ์การเมืองมาใช้เพราะตอนลงสมัครส.ส.ครั้งแรกที่นครศรีธรรมราช ก็เน้นการทำความเข้าใจกับประชาชน ไปสื่อสารกับเขา และเมื่อเขาเห็นความตั้งใจของเรา เขาก็จะเป็นปากเป็นเสียงแทนเรา จะเรียกว่าเป็นหัวคะแนนหรือผู้สนับสนุนก็ได้ เช่น บอกคนในพื้นที่ว่าคนนี้คิดดี คิดเข้าท่า ก็จะกองรวมกันเป็นพลัง จนเขาไปเคลื่อนในพื้นที่เกิดการกระจายตัว

เมื่อถามถึงว่า ในบางพื้นที่เลือกตั้ง ซึ่งคนมองว่ายังเป็นพื้นที่ซึ่งเพื่อไทยยังขาดฐานเสียง เป็นพื้นที่จุดอ่อนของเพื่อไทยเช่นภาคใต้ ทางคณะกรรมการชุดนี้จะเข้าไปสนับสนุนการหาเสียงของพรรคได้อย่างไร “สุธรรม- ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทย”กล่าวตอบว่าต้องถามว่าอ่อนเรื่องอะไร อย่างหากอ่อนเพราะเรื่องความไม่เข้าใจเช่นมีคนไปสร้างความเข้าใจผิด เราก็จะนำความเข้าใจที่ถูกต้องไปบอกเขา การไปบอก เราก็จะไปเริ่มพูดคุย จาก5-10 คนแล้วก็ขยายไป 100 คน เป็น 1000 คน แล้วมันจะเป็นคลื่นขยายออกไป พอเป็นพันคนแล้ว อาจนำทีมใหญ่ไปปราศรัยใหญ่ในพื้นที่ก็ได้ แต่เราเชื่อว่า ถ้านั่งคุยกันส่วนตัว เป็นกลุ่มเล็กๆ ไปก่อน จะดีกว่า มีอะไรก็ซักถามกันได้หมดทุกเรื่องและเราก็ฟังเขาด้วยเช่นเขาสงสัยอะไร เพราะบางทีเขาอาจมีมุมองที่ดีก็ได้ เราก็รับเอาสิ่งเหล่านั้นมาบอกกับพรรคเพื่อไทยได้

ด้าน”โชติศักดิ์-กรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทย”อีกคนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า บางพื้นที่ ซึ่งเพื่อไทยอาจถูกมองว่าเป็นรอง สู้ไม่ได้ แต่หากเราได้ลงไปทำความเข้าใจกับประชาชน เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจได้เลยว่าเพื่อไทยมีมิติในการเข้าไปช่วยให้พวกประชาชน รากหญ้า ได้นำทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น มาปฏิรูป  มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง สร้างนวัตกรรมการผลิต เพราะเมื่อประชาชนมีการผลิตที่ดี ชีวิตประชาชนก็จะดีขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา เราจึงมั่นใจว่าจากผลงานที่เพื่อไทยได้ปฏิบัติมา บวกกับหลักคิดที่เรานำเสนอ  จะทำให้ประชาชน เชื่อมั่นและเข้าใจและจะเห็นว่าการเลือกเพื่อไทย จะมีส่วนช่วยทำให้ชีวิตของเขาและลูกหลาน มีความมั่นคง แข็งแรงมากขึ้น

เมื่อตอนวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2540 ตอนนั้นไม่มีแบงก์ไหนกล้าปล่อยสินเชื่อเลย กลัวหมด เมื่อไม่ปล่อยเงินกู้ เงินก็ไม่เข้าสู่ระบบ การผลิตก็ไม่เกิด ระบบเศรษฐกิจก็ยิ่งมีปัญหา เหมือนลูกโป่งแตกลงมา ตอนนั้น ท่านทักษิณ ชินวัตรเข้ามาบริหารประเทศ ก็บอกว่า การแก้ปัญหาต้องทำหลายๆทาง เพื่อให้ประชาชนมีเงินเหลือ ก็มีการออกนโยบายต่างๆ เช่นกองทุนหมู่บ้าน ก็เข้าไปในพื้นที่หมู่บ้าน มีการพักหนี้เกษตรกร อันนี้ภาคการเงิน ส่วนภาคการผลิต ยุครัฐบาลท่านทักษิณ ก็สนับสนุนให้ธนาคารเริ่มปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจริงๆ ภาคการผลิต เขามีศักยภาพ แต่เขายังอาจขาดความรู้เล็กๆน้อยๆ เช่นการถนอมอาหาร หรือเครื่องมือต่างๆ นำไปช่วยในการผลิต แล้วก็มีการส่งเสริมสนับสนุนเรื่องการตลาด หาแหล่งผลิตให้ แล้วก็ให้เขาผ่อนชำระเงินเป็นงวดๆ

อย่างสมัยผมอยู่ เอสเอ็มอีแบงก์ ตอนนั้น รัฐบาลท่านทักษิณ ก็มีแนวคิดอยากช่วยเหลือคนขับแท็กซี่ ให้ได้เป็นเจ้าของรถ ผมก็ไปหาต้นทุนรถแท็กซี่ ไปติดต่อโตโยต้า ก็มีการไปเจรจาเพื่อให้ได้รถแท็กซี่ที่คนสามารถเป็นเจ้าของได้ ก็ได้รถราคาไม่แพง แล้วก็นำมาปล่อยต่อให้เขา เมื่อเขาได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่ ก็ทำให้สามารถวิ่งได้นานขึ้น จากเดิม 12 ชั่วโมง เพราะไม่ต้องรีบนำส่งเจ้าของอู่ เย็นๆ ก็ยังขับต่อได้อีก  มีเวลาในการทำมาหากินได้มากขึ้น เช่นบางวันลูกค้าเยอะ เย็นแล้วจากเดิมที่ต้องรีบนำรถไปส่ง ก็ขับต่อจนถึงดึกๆ ได้ ก็อยู่ที่การบริหารเวลาของเขา แล้วผมก็ทำให้แท็กซี่มีรายได้ทางอื่นด้วยเช่น นำจอโฆษณาไปใส่ไว้ในรถแท็กซี่ ที่ขับตะเวนทั่วกรุงเทพฯ คนก็จะเห็นโฆษณาดังกล่าว

..ขณะเดียวกัน ช่วงนั้น  มีการขโมยรถกันเยอะเอารถไปขายแถวๆ ประเทศเพื่อนบ้าน  ผมก็เป็นคนแรกในประเทศไทย ที่ให้มีการติดจีพีเอสในรถแท็กซี่ ให้จำกัดการวิ่งไม่เกิน 200 กิโลเมตรที่คือระยะทางจากกรุงเทพที่จะขับไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากเกินเครื่องจะดับ แล้วก็ให้ปล่อยสินเชื่อเป็นทุน ให้มีการล็อกล้อ ทำให้คนขับแท็กซี่ ไม่ต้องกลัวรถหาย แล้วก็สนับสนุนให้คนขับแท็กซี่ เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เพื่อคอยรับนักท่องเที่ยว  สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ประชาชนก็มีรายได้มากขึ้น อย่างเรื่องการแก้ปัญหาหนี้เสีย ไม่ใช่เอาหนี้ไปเพิ่มให้เขาอีก แต่การแก้ปัญหาหนี้เสียต้องทำให้เขามีรายได้มากขึ้น จะให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นไม่เป็นไร แต่การลงทุนนั้น ต้องทำให้เกิดความแน่ใจว่าทำแล้วจะเกิดรายได้เพิ่มขึ้น

ด้าน”สุธรรม-ประธาน คณะกรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทย”กล่าวเสริมว่า ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า พรรคเพื่อไทยเราคิดครบวงจร ก็เหมือนปลูกต้นไม้ ปลูกเสร็จต้องดูแล เอาใจใส่ ใส่ปุ๋ย รถน้ำตลอด และเมื่อผลผลิตออกมา ก็ต้องมีตลาดรองรับที่ดี มีการแปรรูปเพื่อให้ได้ราคาที่ดี ทั้งหมดต้องคิดทั้งกระบวนการ หากประชาชนหรือผู้ประกอบการทางธุรกิจติดขัดตรงไหน แล้วปัญหามันเกินกำลังเขา เราต้องไปช่วยเขา เกื้อกูลคนที่ลำบากกว่า อย่างพรรคเราก็ได้ผู้ปฏิบัติงานจริง อย่างนายโชติศักดิ์ ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือประชาชน จะออกไปพบปะประชาชนในชนบท และเมื่อพบอะไร ก็จะนำมาเล่าสู่กันฟัง เราก็มาผสมผสานกัน คนนึงรู้อย่างหนึ่ง อีกคนรู้อีกอย่าง ก็มาสุมหัวช่วยกันคิด เราปรึกษากันแล้วก็เสนอพรรคว่าอะไรที่ควรต้องไปเติมเต็ม เราก็จะจัดทีมแบบนี้เข้าไปช่วยพรรคเติมเต็ม เพราะเราต้องยอมรับว่าสังคมมันเปลี่ยนแปลงเร็ว เราก็ต้องแลกเปลี่ยนกัน แล้วต่อไป คณะกรรมการชุดนี้อาจจะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมด้วย

-คิดว่านโยบายพรรคการเมือง จะมีส่วนสำคัญในการชี้ขาดชัยชนะการเลือกตั้งหรือไม่?

สุธรรม-เป็นหัวใจสำคัญ เพราะนโยบายคือเครื่องมือในการแก้ปัญหาประชาชน แก้ปัญหาประเทศ

โชติศักดิ์ -ปัจจุบันคนเข้าใจแล้วว่า คนที่นำนโยบายออกมาได้ ปฏิบัติได้ ทำงานแล้วมีผลงานเป็นรูปธรรม คือคนที่เขาควรต้องเลือก ฝากอนาคตไว้ได้ ข้อเด่นของพรรคเพื่อไทยคือ เป็น"พรรคของนักคิด"ไม่ใช่นักเพ้อฝัน การที่พรรคทำนโยบายอะไรออกมา ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงและข้อมูล ทุกอย่างเป็นของจริง อย่างสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรที่เข้ามาตอนปี 2544 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นเยอะ พอปี 2545 เศรษฐกิจก็เริ่มขยับแล้ว พอปี 2546 ก็ตั้งเป้าว่าจีดีพีจะเติบโต 6 เปอร์เซนต์ ตอนนั้น นักวิชาการ ในสถาบันต่างๆ ออกมาบอกว่า เป็นไปไม่ได้ โม้ ตอนนั้น ผมก็มานั่งคิดว่าทุกคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตอนนั้น ก็มีความรู้แต่ทำไมคิดต่างกัน

ต่อมาผมพบความจริงว่า ท่านมองความจริงทางเศรษฐกิจไม่เหมือนคนอื่นที่เขามอง ท่านมองว่าเศรษฐกิจที่เรามองเห็นปัจจุบันเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น แล้วตอนนั้นไทยรักไทย ผลักดันนโยบายลงมาเต็มที่เช่นการพักหนี้ ตอนนั้นบางคนบอกว่าทำไม่ได้ ก็ทำให้คนมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น แล้วแบงก์ก็ไปช่วยสนับสนุน ทำให้ภาคเศรษฐกิจดีขึ้น การจับจ่ายใช้สอยดี ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ยิ่งหากมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก ก็ทำให้เงินหมุนหลายรอบ ผมไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนคิดเรื่องแบบนี้เลย

             ผมยืนยันว่าเพื่อไทยต้องการทำให้เงินเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นให้หมุนหลายๆรอบ  เพราะทำให้คนก็มีโอกาสจะได้เงินมากขึ้น เกิดการกระจายรายได้ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำ dual track เพื่อผลักดันเศรษฐกิจออกไป ทำให้ภาคเศรษฐกิจใหญ่แข็งแรง จีดีพีมั่นคง ภายใต้หลักการ "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส"ทั้งหมดอยู่ที่การบริหารจัดการ

-ที่เพื่อไทย ประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และปริญญาตรีเงินเดือนเริ่มแรก 25,000 บาท ทำได้จริงหรือไม่?

สุธรรม-กระบวนการคิด เขาตั้งเป้าไว้ว่าขณะนี้สิ่งที่เราผลิตอยู่ในระดับไหนและสิ่งที่จะผลิตจะไปอยู่ในจุดไหน โดยเมื่อการผลิต สามารถทำได้มากขึ้น รายได้จากการผลิตที่มากขึ้น ก็จะไปตกอยู่กับส่วนต่างๆ

โชติศักดิ์-คนที่คิดด้วยวิธีการเดิมๆ paradigm กระบวนทัศน์ แบบเดิมๆ คือ ก.แล้วไป ข. จากนั้น ไปค. แต่วิธีการที่เพื่อไทยคิด คือเราจะผสมผสาน ก.-ข.-ค. ให้มารวมกัน เราไม่ได้อนาล็อกแบบเดิมๆ

ยกตัวอย่างเช่น ครั้งที่แล้วที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราผลักดันเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีใครเชื่อว่าประเทศไทย จีดีพี จะโต 4 เปอร์เซนต์ เราผลักดันเศรษฐกิจด้วยการทำให้เศรษฐกิจเดินเร็ว ครั้งที่แล้ว มีธนาคารประชาชน แต่ครั้งหน้า จะมี Artificial Intelligence (AI)  จะมีระบบการค้าสมัยใหม่ ระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ การนำนวัตกรรมเข้ามาเพื่อเปิดโลก

สมัยก่อน ใครจะคิดว่า ร้านอาหารไทยจะไปเปิดในลอนดอน นิวซีแลนด์ โอ๊คแลนด์ ผมนี่เป็นคนไปเปิด ตอนนี้ขายดีหมด พวกเครื่องปรุงอาหารต่างๆ ขายดีมาก เช่น ซอสปรุงรถต่างๆ ก็มาจากยุคนั้นทั้งสิ้น เพราะเรามี Innovative ในการคิด สมัยทำงานตอนนั้น ผมถูกสั่งให้เดินทางไป อังกฤษ อิตาลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไปช่วยเขาเปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศได้ โดยเราปล่อยกู้ด้วยการปลดล็อกเรื่องหลักประกันให้ โดยใช้ธนาคารกรุงไทยที่เป็นธนาคารของรัฐเช่นเดียวกับเอสเอ็มอีแบงก์ โดยให้นำหลักทรัพย์ไปจำนองที่ธนาคารกรุงไทยสาขานิวยอร์ค เป็นเอเย่นต์รับจำนองแทนเรา เราทำมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีใครคิด เพราะเขายังคิดแบบกระบวนทัศน์แบบเดิมๆ คือคิดแบบเดิม ๆ ว่าอะไรก็ทำไม่ได้ แต่วิธีคิดของเพื่อไทย เป็นวิธีคิดแบบใหม่ๆ ที่เราเชื่อว่า ผลรวมของการผลักดันในแต่ละส่วนที่เราได้วางแผนไว้จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว

สุธรรม-บางคนบอกว่าที่เพื่อไทยเสนอค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน แล้วจะกระทบกับเศรษฐกิจ ซึ่งจริงๆ ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่กระทบ แต่จะกระทบกับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง รัฐบาลก็ต้องไปดูแลเหมือนกัน คือเราจะต้องช่วยธุรกิจขนาดเล็กนั้นอย่างไร

โชติศักดิ์ -พอเราผลักดันให้เศรษฐกิจมหภาคเกิดการเติบโต มีการค้าขายที่ดีขึ้น เราก็จะมีภาษีที่มากขึ้น เราก็นำที่เราเก็บภาษีได้มาสนับสนุนให้ผู้ประกอบการแข็งแรงมากขึ้น เพื่อไปแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เช่นเวียดนาม ได้มากขึ้น อย่างค่าไฟบ้านเรา แพงมาก แต่หากเลือกเพื่อไทย มาเป็นรัฐบาล คุณคอยดูแล้วกัน จะได้เห็นมิติใหม่ที่จะทำให้ ต้นทุนการผลิตลดลง

รวมถึง"ค่าที่ดิน"ที่เป็นต้นทุนหลักทางการเกษตร พบว่าที่ดินบางแห่ง ราคาสูงเกินความเป็นจริง และที่ดินบางแห่ง ก็ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง อย่างที่ดินที่จังหวัดลำพูน ราคาประเมินโดยหน่วยราชการที่เคยประเมินไว้เพื่อจะได้เก็บภาษีตอนช่วงเศรษฐกิจดีๆ เคยประเมินไว้ถึงราคาไร่ละสองล้านบาท พอเศรษฐกิจย่ำแย่ ราคาประเมินตกลงมาที่ไร่ละแปดหมื่นบาท นี้คือเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ประเมินโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงดังนั้นต้องไปดูว่าอะไรที่ไม่ได้อยู่บนความเป็นจริง ต้องไปปรับให้อยู่กับความเป็นจริง

สำหรับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ  600 บาทต่อวัน ยืนยันได้เลยว่า พรรคเพื่อไทย สามารถทำได้ โดยนโยบายของพรรคคือทำให้เศรษฐกิจขยายตัว เพราะเมื่อระบบเศรษฐกิจขยายตัวไปแล้ว ระบบการเงินในตลาดก็จะมากขึ้น ภาครัฐก็จะแข็งแรงมากขึ้น จนผลักดันให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้าง จับจ่ายใช้สอยทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐได้มากยิ่งขึ้น เกิดการจ้างงานมากยิ่งขึ้น เมื่อการจ้างงานดีขึ้น ก็จะทำให้ภาคการผลิตทำได้ดีขึ้นจากการที่เราจะให้มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต ก็จะทำให้การผลิตที่ออกมาจะมีมูลค่ามากขึ้น ก็จะมีรายได้มากขึ้น  จนส่งผลให้การแข่งขันสามารถทำได้มากขึ้น  ทำให้เกิดการจ้างงานที่จ่ายค่าตอบแทบที่มากขึ้น

พวกนี้เป็นหลักพื้นฐาน หากจำกันได้ในช่วงปี 2546-2547 ตอนนั้นมีการทำโครงการเออรี่รีไทร์ข้าราชการแต่ขณะเดียวกัน ก็มีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการสองครั้งในเวลาเดียวกัน

ตอนผมเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่เอสเอ็มอีแบงก์ ผมขึ้นเงินเดือนพนักงานสามครั้งเลย จ่ายโบนัสพนักงานหกเดือน ยังไม่เคยมีเอสเอ็มอีแบงค์ยุคไหนที่จ่ายโบนัสพนักงานถึงหกเดือน ทั้งหมดมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตในช่วงนั้น

ปี2566 ดัน10 นโยบาย

ลงรายละเอียด-แนวทางปฏิบัติ

-ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนผลงานและนโยบาย หลังจากที่พรรคเพื่อไทยมีการแถลงนโยบายพลิกฟื้นประเทศ 10 ด้านไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แล้วหลังจากนี้จะมีการขับเคลื่อนเรื่องนโยบายพรรคอย่างไรออกมาอีก เพื่อเป้าหมายแลนด์สไลด์เลือกตั้ง?

คิดว่า นโยบายที่วางไว้ ก็จะถูกนำมาขับเคลื่อน สื่อความให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น อย่างตอนแรก ก็เป็นเรื่องของการเสนอประเด็น เรื่องเป้าหมาย จนนำมาสู่การถกเถียงในขณะนี้ ที่ผมมองว่าการถกเถียงทางสังคมเป็นเรื่องที่ดี เพราะการถกเถียงกันเพื่อร่วมกันหาทางออกให้บ้านเมือง ให้กับคนยากจน คนขาดโอกาส เป็นเรื่องที่ดี โดยสังคมไทยก็เริ่มมีการถกเถียงกันในเรื่องการแก้ปัญหาสังคม การแก้ปัญหาที่เราเผชิญอยู่กันอย่างไร ซึ่งผมคิดว่าอีกสักพักหนึ่ง ก็จะเริ่มกระจ่างมากขึ้น โดยความกระจ่างเหล่านี้จะนำมาสู่การขับเคลื่อน ไปจนถึงกระบวนการนำไปทำ ที่จะชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน และหลังจากนั้นผมว่า พรรคเพื่อไทยเอง ก็ลงไปขับเคลื่อนกับผู้ปฏิบัติงานของพรรคให้เขามีความเข้าใจ และนำปัญหารูปธรรมจากที่เหล่านั้นเข้ามา

หากเราได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล เราก็จะสามารถร่วมมือ กับกลไกรัฐที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าข้าราชการดีๆ ที่อยากแก้ปัญหาบ้านเมืองก็มีเยอะ ถ้าเรานำสิ่งดีๆ มาให้เขา ช่วยกันอำนวยความสะดวก ให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น ตรงเป้ามากขึ้น ทุกอย่างก็จะดี

ผมคิดว่าอีกสักพัก นโยบายที่ประกาศไว้เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน จะถูกเคลื่อนมาสู่รายละเอียดถึงกระบวนการที่จะทำต่างๆ เพราะตอนนี้เราเพิ่งเปิดออกมา จะให้พูดครบหมดเลยคงไม่ได้ ก็จะเริ่มเคลื่อนไปสู่รายละเอียดมากขึ้น โดยรายละเอียดดังกล่าว จะไม่ใช่แค่รู้กันแค่ในระดับนำของพรรค ระดับกรรมการบริหารพรรค แต่ต้องเคลื่อนมาสู่ระดับปฏิบัติทุกระดับ รวมถึงผู้สมัครส.ส.ของเพื่อไทย ที่ต้องไปสื่อสารกับประชาชน เขาก็ต้องเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้ว และเข้ามาสภาฯ เขาจะสามารถสะท้อน กฎหมาย -ระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในเรื่องต่างๆ และต้องมาเสนอว่าแล้วจะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างไร ต้องเสนอว่าควรออกกฎเกณฑ์ที่จะเกื้อกูลต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร ทุกคนต้องรับรู้หมด และต้องเข้าใจด้วย

“เซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายเรา ของพรรคเพื่อไทยต้องรับรู้และเข้าใจ  เพื่อที่เวลาออกไปขับเคลื่อนจะได้มีพลัง ทางคณะกรรมการชุดนี้ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะไปทำความเข้าใจกับประชาชนว่านโยบายบางเรื่องที่เขาอาจคิดว่าทำไม่ได้ แต่เราจะไปบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ เราต้องเคลื่อนเป้าไปสู่รายละเอียด มาเป็น process เป็นขั้นตอน และมาสู่กระบวนการที่เราเรียกว่า ทำwork shop คิดด้วยกัน ปรึกษากัน คนเจอปัญหาก็มาเล่าให้ฟัง คนแก้ปัญหาก็ไปรับฟัง”

โชติศักดิ์-อย่าง ส.ส.ในพื้นที่ ก็ไปรับฟังปัญหาจากประชาชนเข้ามา แล้วก็มาบอกพวกเรา ก็จะเกิดความเชื่อมโยงกัน จากนั้น พรรคมีแนวทางอย่างไร ก็ไปบอกกับส.ส. แล้วตัวส.ส.ก็ไปบอกกับประชาชนในพื้นที่ มันก็จะตกผลึก

สุธรรม-หากไม่มีการทำรัฐประหาร เมื่อปี 2549 วันนี้สังคมไทยจะเป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง คือเป็นสังคมที่เรียนรู้ เมื่อก่อน สมัยท่านทักษิณ เป็นนายกฯและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เวลาพูดเรื่องอะไร ส.ส.ของพรรคต้องนั่งจด เพราะสิ่งที่บอก มันมีผลต่อการปฏิบัติทั้งนั้น ส.ส.ต้องเรียนรู้ เพราะเวลาท่านมาที่พรรคไทยรักไทยตอนนั้นแต่ละครั้ง ก็จะนำความรู้ใหม่ๆ มาถ่ายทอด ทำให้ส.ส.ต้องให้ความสำคัญ ต้องนั่งจด เพราะหากส.ส.ไม่จด ส.ส.อาจจะรู้น้อยกว่าประชาชน เพราะประชาชนฟังจากรายการนายกฯพบประชาชนตอนนั้นที่มีทุกอาทิตย์ เพราะตอนนั้นท่านขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้แล้วทุกอย่าง มันจะขับเคลื่อนตามไปด้วยหมด หากได้ผู้นำที่ดี

อย่างผมไปดูการสัมมนาที่ภูเก็ต พบว่าส.ส.ต่างนั่งจดกันหมด จากเดิมไม่ค่อยสนใจเพราะเราอยู่กับความเคยชิน เน้นเรื่องประสบการณ์ ทุกแห่ง หากผู้นำทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ทุกคนก็อยากตามผู้นำที่ดี เพราะการตามผู้นำที่ดี ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นด้วย แล้วคนอื่นก็จะตามกันมาเป็นพรวน เพราะทุกคนก็อยากได้โอกาสทั้งสิ้น อย่างเรื่อง”การเข้าถึงแหล่งทุน”สำคัญมาก ซึ่งแหล่งทุนไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว ความรู้ก็คือแหล่งทุน การช่วยเหลือก็คือทุน 

โชติศักดิ์-เรื่องของ”องค์ความรู้”ถามว่าเคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนไหนของประเทศไทย ที่เวลาประชุมข้าราชการ แล้วข้าราชการระดับปลัดกระทรวงต้องนั่งจดกันยิกๆ เพราะนั้นคือมิติที่เขาได้เปิดองค์ความรู้ใหม่ นี้คือวิธีการทำงานที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับคนอื่น

-ปัจจัยที่จะทำให้เพื่อไทยชนะแลนด์สไลด์มีอะไรบ้าง?

สุธรรม-ปัจจัยสำคัญก็คือ เรื่องของผลงาน เช่นผลงานเดิมที่ทำสำเร็จและผลงานดังกล่าวนั้น ก็ยังมีหลักที่ทันสมัยอยู่ คือลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ซึ่งแต่ละเซคชั่นจะมีรายละเอียดอยู่ในแต่ละส่วน แต่พรรคก็อาจเพิ่มเติมเข้าไปอีกตามสถานการณ์ใหม่ๆ มากขึ้น ผมเชื่อว่านโยบายของเพื่อไทย จะเป็นนโยบายที่นำสังคมไทยออกจากวิกฤตได้เร็วขึ้น เป็นทางเดียวเท่านั้น  

อย่างเรื่องนโยบาย ไม่ใช่ว่าใครก็พูดได้ แต่สำหรับเพื่อไทย เราสามารถพูดได้ เพราะเพื่อไทยมีเครดิต เพราะเราทำมาแล้ว และทำได้สำเร็จ เหมือนกับ 600 บาทค่าแรงขั้นต่ำ ตอนนี้เถียงกันขรมเลย แต่สักพักหนึ่งพอหากเราเข้าไปทำ แล้วทำได้จริง เสียงวิจารณ์ต่างๆ ก็จะหายไป อย่างตอนสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ที่ทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ตอนแรกคนก็วิพากษ์วิจารณ์แต่ตอนนี้เลิกไม่ได้แล้ว เห็นไหม หรืออย่างกองทุนหมู่บ้าน คนก็บอกว่าทำไม่ได้ เจ๊งแน่ ซึ่งจะเจ๊งได้อย่างไร เพราะประชาชนเขาฝึกบริหาร เปรียบได้กับจากที่เคยเป็นต้นไม้เล็ก ตอนนี้ก็เป็นร่มเงา เป็นที่พึ่งใหญ่ของประชาชน ที่ปลูกไว้พันต้น อาจมีเสียหายบ้างแต่ที่เหลือเก้าร้อยกว่าต้น ยังมีคุณค่าอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักประกัน เป็นพยาน และผมเชื่อว่าสังคมรับรู้ และคนของเราก็รู้ว่าสิ่งนี้คือวิถีทางที่จะเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง

สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่มีค่า ที่จะเป็นหลักให้พรรคประสบความสำเร็จ เพราะว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยไม่ได้มาแบบเลื่อนลอย แต่คิดมาจากปัญหาของสังคม เช่นการไปรับฟังความเห็นฟังปัญหาของผู้ประกอบการแต่ละส่วน และนำมาช่วยคิดต่อ นำมาระดมสมองกัน ที่บางทีมันก็อาจไม่ร้อยเปอร์เซนต์ ปฏิบัติไปแล้ว บางทีก็ต้องแก้หน้างานกันบ้าง แต่ทุกอย่างก็มีแต่ก้าวหน้าและพัฒนาขึ้น ถ้าเดินถูกทาง

-เรื่องรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของเพื่อไทยจะมีผลต่อชัยชนะของพรรคในการเลือกตั้งหรือไม่?

ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ปัยจัยหลักผมยังเชื่อว่าเป็นเรื่องของนโยบาย และผลงาน ส่วนใครจะมารับงานนี้ไปทำ คนนั้นใช้ได้ด้วยยิ่งดี แต่ปัจจัยหลักผมเชื่อว่าคือผลงานเก่า ผลงานที่อยู่ในใจประชาชน และสิ่งที่นำเสนอใหม่ ที่เกื้อกูลกัน และหากคนที่รับไปทำ ที่ก็คือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หากคนรับไปทำเข้าท่า ก็ยิ่งดีกันไปใหญ่

สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ผมคิดว่าสำหรับพรรคเพื่อไทย จะได้เสียงส่วนใหญ่ และเทรนด์หรือแนวโน้มที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ เพราะจากปัญหาวิกฤตในปัจจุบันทำให้คนเขาก็คิดว่า จะนำใครมาแทน(นายกรัฐมนตรี)เพราะข้อเท็จจริงที่คนเขาเห็นกันอยู่ว่า การจะออกจากห่วงโซ่ของปัญหาที่รัดเขาอยู่ และบีบเขาหนักขึ้นทุกวัน ผมว่าทุกคนก็อยากดิ้นรนออกจากปัญหานี้ โดยเขาก็ต้องดูว่าแล้วใคร คือคนที่จะนำเขาออกจากปัญหาได้ ใครเคยนำเขาออกจากวิกฤตปี 2540 แต่ครั้งนี้ หนักยิ่งกว่าปี 2540 เสียอีก เพราะครั้งนั้นคนที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือชนชั้นกลาง แต่ตอนนี้กระทบมาถึงชนชั้นล่างด้วย และชนชั้นล่างคือคนส่วนใหญ่ คือโหวตเตอร์ มือของเขา อำนาจของเขา จะดลบันดาลให้เขาแก้ปัญหาของตัวเขาเองได้ ผมเชื่อแบบนั้น เพราะผมก็ผ่านการเลือกตั้งมาเยอะแล้วเหมือนกัน

สภาล่มถี่ยิบ สัญญาณ

อายุรัฐบาลนับถอยหลัง

-มองสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้อย่างไรในช่วงก่อนจะมีการเลือกตั้งปีหน้า โดยเฉพาะขั้วอำนาจ3 ป. ?

สุธรรม -ก็เป็นธรรมดาของผู้มีอำนาจ ที่พอมีอำนาจแล้ว แต่ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ถูกต้อง ก็เกิดความเสื่อม และวันนี้เขาเข้าสู่จุดเสื่อมมากพอสมควร มากขึ้นเรื่อยๆ ที่ยังไงกลุ่มเขาก็ต้องจบไป จะด้วยวิถีทางใดก็ตาม แต่ว่าบางคนก็ยังอยู่กับเสียงสรรเสริญเยินยอที่ไม่เป็นจริง แต่ท้ายที่สุด เขาก็ตาสว่างเมื่อประชาชนตัดสิน ซึ่งหากเขาคิดว่า วันใดที่ลงแล้ว ไม่มีใครไปตามเอาเรื่องเขา หรือไปตามล้างตามเช็ด เขาก็อาจมีความมั่นใจก็อาจยอมลงเร็วขึ้นแต่ผมมั่นใจว่าเขาต้องไปแน่ เพราะเขามาด้วยวิธีที่ไม่ได้เข้ามาสร้าง แต่มาทำลาย และสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและเป็นรูปธรรมคือ มันทำให้ประเทศเรา หมองมัวในเกือบทุกเรื่อง

ส่วนการที่พลเอกประยุทธ์อาจไปอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ผมคิดว่าเขาอาจคิดว่าการใช้อำนาจรัฐ หรือใช้กลไกที่เขาวางไว้ หลายอย่างหลายด้านที่เคยประสบความสำเร็จ จะทำได้อีก ซึ่งคนเรามันติดกับตัวเอง เรียกว่ากับดักแห่งความสำเร็จ ซึ่งผมไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้อีก เพราะคนตาสว่างแล้ว เพราะข้อเท็จจริงอย่างวันนี้ ประชาชนออกจากบ้าน ไปข้างนอก ถามว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าไหร่ หรือนอนอยู่ในบ้านทรัพย์สินในบ้านลดลงเท่าไหร่ เงินที่เคยได้ก็ลดลง สินทรัพย์ต่างๆที่คนเคยมีมันหมดลงไปเรื่อยๆ คนไม่มีความหวังมีแต่ความกลุ้ม คนไม่อยากออกจากบ้าน ทุกอย่างมีแต่แย่ลง ผมจึงคิดว่าเขาอยู่ยาก และคิดว่ายากกับการที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันจะกลับมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหลังเลือกตั้ง หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ต่อไป ผมเชื่อว่าทำได้ยากขึ้น ถึงแม้เขาจะพยายามใช้กลเม็ดเด็ดพรายยังไงก็ยาก

ส่วนว่าจะมีการยุบสภาหรือจะอยู่ครบเทอมสี่ปีนั้น โดยหลักมนุษย์อยากอายุยืนกันทุกคน แต่ดูจากตอนนี้อย่างสภาฯ ไปไม่ได้แล้ว สภาล่มบ่อยครั้ง สภาล่มก็แสดงว่ารัฐบาลกำลังจะล่ม เพราะสภาเป็นองค์ประกอบของรัฐบาล ถ้ามันล่มบ่อยครั้งก็แสดงว่าไม่สมบูรณ์ มันเริ่มพังไปเรื่อยๆ เพราะที่เป็นตัวตึกมันเป็นตัวตึกปลอม มันก็อยู่ไม่ได้ เพราะประชาชนเขาเห็นแล้วว่ามีไป มันก็เป็นปัญหา เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเขา ทำให้เขาก็ต้องเอาลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วประยุทธ์จะอยู่ได้อย่างไรในท่ามกลางความไม่เชื่อของคน ความไม่ศรัทธาของคน และความอยากให้เขาหายไป มันจะดังขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถามถึงว่าตอนนี้เข้าช่วงนับถอยหลัง 3 ป.หรือยัง”สุธรรม”ตอบว่า“เรื่องนับถอยหลัง ก็ถอยอยู่แล้ว คือเริ่มเดี้ยงแล้ว “

“สุธรรม”ย้ำตอนท้ายว่า สำหรับในปีหน้า 2566 ที่จะมีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองที่พร้อมที่สุดในการเข้าสู่การเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายอื่น ยังคงเรียงกระดานอยู่ โดยไม่รู้ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน แต่เขาก็อาจมีกลยุทธ์ของเขาอยู่ แต่เราไม่เชื่อว่ากลยุทธ์นั้นจะแข็งแรง

โดยในส่วนของเพื่อไทย ในปีหน้า2566 นโยบาย10 ด้านที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้นำเสนอไว้  จะมีการลงรายละเอียดมานำเสนอ เพื่อนำไปสู่กระบวนการในทางปฏิบัติ จะมีการถกเถียงรับฟังกัน ที่ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องดี และจะมีการเคลื่อนตัวจากข้างบน จากนโยบายที่ปรากฏต่อ public ก็จะเคลื่อนลงสู่พื้นที่และผู้ปฏิบัติงานแต่ละด้าน ทั้งหมดคือทิศทางที่ต้องเดินไป

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สส.เพื่อไทย ดี๊ด๊า ประเทศไทยมีระบบที่เป็นมาตรฐาน!

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่าประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้คงสบายใจขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับ

สาวกเพื่อไทย ยื่นศาลรธน.สอบ 'ธนพร' ละเมิดอำนาจศาล

ที่บริเวณ​หน้าศาลรัฐธรรมนูญ​ นายนิยม นพรัตน์ หรือเค สามถุยส์ และนายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร เดินทางมายังสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื่นหนังสือร้อง นายธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์

'ชูศักดิ์' เผย 'เพื่อไทย' ได้รับความเป็นธรรม ศาลรธน. ไม่รับคำร้องปมล้มล้างการปกครอง

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายอิสระ ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย(พท.) ยุติการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองจะผูกพันไปยังกรณีที่มีการยื่นคำร้องเดียว

'อิ๊งค์' ยิ้มรับ 'พ่อ-เพื่อไทย' รอดล้มล้างปกครอง ชาวเน็ตชี้จากนี้ไป 'ทักษิณ' ใส่เกียร์เหลิง

จากกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย คำร้องที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ

2 ตุลาการศาลรธน.เสียงข้างน้อย รับคำร้อง 'ทักษิณ' สั่งรัฐบาลเอื้อประโยชน์ฮุนเซน น่าจะเกิดผลใช้สิทธิล้มล้างปกครองฯ

จากกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2567 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูก

'แก้วสรร' แนะ 'ธีรยุทธ' ปรับยุทธวิธี เสริมความแกร่งของสำนวนมุ่งไปที่ กกต.-ปปช.

หลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ