พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ -ผบ.ตร. เดินหน้าป้องกันปราบปราม ยาเสพติด -อาชญากรรมทางออนไลน์

นับถึงขณะนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้ว ที่"พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์"หรือ"บิ๊กเด่น"เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ"ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ"โดยขณะนี้ การทำงานของตำรวจหลายเรื่องในยุคที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นผบ.ตร.ได้รับการกล่าวขานถึงในแง่บวกถึงการทำงานที่่เอาจริงเอาจังของตำรวจ ที่สร้างผลงานไว้หลายเรื่อง อย่างเช่น การปราบปรามยาเสพติด -การสืบสวนสอบสวนเพื่อขยายผลเอาผิด"กลุ่มทุนจีนสีเทา"ที่กำลังเป็นคดีใหญ่ที่คนทั้งประเทศกำลังจับตามอง เป็นต้น

"พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์-ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ"ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ"ไทยโพสต์"โดยได้พูดถึงนโยบายการบริหารงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติในหลายเรื่อง ทั้งนโยบายเร่งด่วนเพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน -นโยบายที่จะทำให้กับข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ -การวางหลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ -ความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนขยายผลเครือข่ายทุนจีนสีเทา เป็นต้น  

-หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้มีการประกาศนโยบายเร่งด่วนต่างๆ จนถึงขณะนี้ได้มีการดำเนินการไปอย่างไรแล้วบ้าง?

จากการที่ผมได้ให้นโยบายในการทำงานเมื่อวันเข้ารับตำแหน่งผบ.ตร.วันแรกว่ามีนโยบายเร่งด่วนที่ต้องทำเพื่อประชาชนมี 3 เรื่องคือ 1.การป้องกันและปราบปรามเรื่องยาเสพติด 2. การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ 3.การยกระดับบริการประชาชน

เรื่องแรก"การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด" ผมได้ให้แต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการ -ผู้บังคับการ ทุกกองบัญชาการ เข้าไปดูปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนตัวผมเองได้ไปพบกับนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรงมหาดไทย -เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือป.ป.ส.เพื่อให้ยกระดับความร่วมมือการทำงานได้ใกล้ชิดกัน อย่างทุกเดือนที่มีการประชุมศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการเชิญทางเลขาธิการสำนักงานป.ป.ส.หรือรองเลขาธิการป.ป.ส. มาร่วมประชุมด้วย  ซึ่งผ่านไปเกือบ 2 เดือน ผมเชื่อว่าได้เพิ่มความเข้มในมิติต่างๆทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติการป้องกัน-ปราบปราม-และบำบัด

ในส่วนของ”มิติงานด้านการปราบปรามยาเสพติด”  นอกจากเน้นการทำงานเชิงรุกเข้าไปหาข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ ให้ผู้กำกับสถานีเข้าไปพบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกสัปดาห์ มีมาตรการในการค้นหาผู้เสพ- ผู้ติดยาเสพติด และผู้ที่ติดยาเสพติดจนมีอาการทางจิต เราก็จะค้นหา ซึ่งขณะนี้ได้ค้นหามาได้พอสมควร ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง

โดยเรื่องนี้ผมได้ไปพบกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อที่จะไปลงรายละเอียดไปคุยถึงเรื่องปัญหาดังกล่าว เพราะ กทม.จะมีสถานีอนามัย หรือหน่วยงานสาธารณสุขที่ขึ้นอยู่กับกรุงเทพมหานคร หน่วยงานดังกล่าวแต่เดิมการทำงานยังไม่ได้ประสานการทำงานใกล้ชิดตำรวจ แต่ปัจจุบันมีการประสานงานใกล้ชิดระหว่างกทม.กับตำรวจ โดยเมื่อเราได้นำตัวผู้เสพยาเสพติดที่อาจจะเป็นคนที่สมัครใจที่จะไปที่หน่วยงานสาธารณสุขของกทม.เพื่อให้มีการดูแลบำบัด  โดยหากมีการจ่ายยาไปแล้ว ต่อมาเขาไม่มาอีก ทางสถานีอนามัยของกทม.ต้องแจ้งให้ตำรวจเข้าไปดำเนินการ ถ้าไม่ให้ความร่วมมืออาจมีการบังคับตามกฎหมายอะไรต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ที่ผ่านมามีการบูรณาการกันน้อย แต่ปัจจุบันนี้ หลังผมเข้ารับตำแหน่งผบ.ตร. ก็มีการยกระดับความเข้มข้นในการดูแลในการทำงานทุกมิติ

ผมเชื่อว่า ตอนนี้นโยบายเรื่องการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดดำเนินไปได้อย่างดี ตามเป้าหมาย อย่างเห็นได้จากผลการจับกุมโดยเฉพาะรายย่อยในพื้นที่มีมากขึ้น การบำบัดต่างๆเราจะดูแลร่วมกับ นอกจากผู้เสพต่างๆที่ยังเป็นกลุ่มลักษณะสีเขียวสีเหลือง เราจะเน้นว่า ถ้าชุมชนสามารถบำบัดได้โดยการให้ตำรวจฝ่ายปกครองและสาธารณสุขไปร่วมมือในชุมชนให้เขาอยู่ในชุมนุมและดูแลกันเองเป็นเรื่องที่เราอยากทำ แต่ถ้าใครติดซ้ำไปซ้ำมา จนอยากให้ออกจากชุมชน ทางฝ่ายปกครองก็จะมีกองร้อยอาสาหรือหมอก็จะมีโรงพยาบาลต่างๆซึ่งอาจจะพยายามประสานงานให้รับไป ให้ทำงานภายใต้หน่วยของศูนย์การป้องกันปราบปรามแก้ไขปัญหายาเสพติดของอำเภอและของจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นประธาน

โดยตำรวจจะเป็นตัวจักรในการขับเคลื่อน ผู้บังคับการจังหวัด -ผู้กำกับสถานีตำรวจต่างๆ จะเป็นเหมือนมือขวา-มือซ้ายของผู้ว่าราชการจังหวัด  นายอำเภอ ซึ่งเราทำงานควบคู่กัน ร่วมกับฝ่ายปกครอง- สาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นมิติของการทำงาน ซึ่งพบว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาหลังเข้ารับตำแหน่งพบว่ามีการตื่นตัวเรื่องนี้กันเยอะ

อีกมิติหนึ่งที่ผมได้สั่งการไป คือ”การตรวจค้นสถานบริการ” หลังจากที่ผมเน้นไปเรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าสมัยก่อนตำรวจจะไปตรวจค้นสถานบริการหรือไปสุ่มตรวจน้อย พอเน้นมากๆก็เจอผับจินหลิง และตามด้วย ผับอะไรต่างๆ ทำให้เจอเหตุการณ์ที่พัทยา ทำให้เกิดเหตุต่อเนื่องไปจนกลายเป็นทุนจีนสีเทาก็มีการขยายผลไป สาเหตุหลักเกิดจากนโยบายที่ทางตร.เน้นให้ไปมองว่าสถานที่เสี่ยง -สถานบริการ อพาร์ทเม้นท์ บ้านเช่าต่างๆที่เราเข้าได้ยาก แต่เราต้องเข้า ก็อาศัยสายข่าว อย่างที่จังหวัดขอนแก่นก็จับปาร์ตี้ยาเสพติดหรือที่พัทยาก็มีการจับปาร์ตี้ยาเสพติดได้ ก็เนื่องจากนโยบาย ที่ทางตร.ให้ความสำคัญเรื่องนี้

นอกจากที่เคยเน้นเรื่องการสกัดกั้นและจับกุมจนมีการจับกุมได้หลายล้านเม็ดในส่วนนนี้ยังคงรักษามาตรฐานไว้  แต่ตอนนี้มิติที่เราเน้นหนักคือทำให้ชาวบ้านเกิดความพึงพอใจว่าแถวบ้านเขาคนขายยาแทบจะไม่มี ผู้เสพน้อยลง ตำรวจเดินเข้าไปหาประชาชนมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ คือมิติการทำงานตามนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ได้ดำเนินการในช่วง2 เดือนที่ผ่านมา

-ปัจจุบันสถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทย เป็นอย่างไรบ้าง?

สถานการณ์ยาเสพติดตอนนี้ต้องยอมว่ายังมีมากอยู่ เนื่องจากการเข้ามาในพื้นที่ตามแนวชายแดน มาหลายรูปแบบ นอกจากมาทางภาคเหนือแล้วยังมีเข้ามาทางภาคอีสานอีก โดยการขนส่งนอกจากขนส่งทางรถยนต์ ยังมีทางไปรษณีย์ และการลักลอบขนผ่านช่องทางระบบการส่งของของภาคเอกชนคือมาหลายรูปแบบ ซึ่งมันยากต่อการควบคุมหรือป้องกันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้มีปริมาณยาบ้าจำนวนมากที่หลุดรอดเข้ามา ที่พูดได้อย่างนั้นเพราะว่ามันมีราคาถูกแสดงว่าไม่ได้ยากจนเกินกว่าที่ผู้เสพจะหาไม่ได้

เพราะฉะนั้นเรามีการบ้านอีกเยอะที่จะต้องทำ ตอนนี้ทางท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งว่าหลังเกิดเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภู ก็ขอให้หนองบัวลำภูเป็นจุดแรกที่เราจะเพิ่มความเข้มทำให้การแก้ปัญหายาเสพติดหนองบัวลำภูเป็นแม่แบบให้ได้ ซึ่งตอนนี้ตำรวจได้ระดมสรรพกำลังไปทำงานที่หนองบัวลำภูทั้งกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนองบัวลำภู -กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และชุดวิทยากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ลงไปช่วยแนะนำสร้างวิทยากรกลุ่มของแต่ละหมู่บ้านต่างๆ เพื่อดูแลหมู่บ้านตัวเองที่เราจะทำทุกมิติ โดยการปราบปรามยาเสพติด พบว่าสามารถจับกุมได้ตลอด

-ในช่วงเป็นผบ.ตร.นับจากนี้ไป เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด จะให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนอย่างไรในเรื่องการทำงานของตำรวจเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว?

ผมก็มั่นใจว่าจากนโยบายที่ให้ไปแล้ว นอกจากเราจะทำอย่างเต็มที่แล้ว เรายังมี"นโยบายกวาดบ้านตัวเอง" เพราะว่าถ้ามีข่าวว่า มีตำรวจไปพัวพันหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายหรือยาเสพติด ทำให้การแก้ปัญหายาเสพติดจะสำเร็จได้ยาก เราส่งสัญญานชัดเจนแล้วว่า ถ้ายังไม่ละเลิกพฤติการณ์ดังกล่าว เราฟันแน่ จะมีการดำเนินคดีแน่นอน เรื่องนี้เป็นนโยบายของผมที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่งผบ.ตร.เมื่อวันที่ 1 ต.ค. โดยถึงเวลานี้ก็ฟันไปหลายราย ต้องย้ำว่านโยบายชัดเจนเราต้องกวาดบ้านตัวเองด้วย

คดีความผิดทางออนไลน์ เฉลี่ยแล้วเกิดขึ้น 600-700 คดีต่อวัน เชื่อว่าคดีพวกนี้ในอนาคตจะลดลงเรื่อยๆ เรามีเป้าหมายต้องการให้คดีลดลง ...คาดหวังว่าภายในปีนี้ จะลดให้ได้ ไม่ให้เกิน300 คดี แต่ไม่ใช่ว่าจะไปกดดันให้เจ้าหน้าที่ไปเบี่ยงเบน ลักษณะจะไปเป่าคดี ไม่ใช่ว่าผู้เสียหายมาแจ้งความแล้วไม่รับคดีเพื่อทำให้คดีน้อยลง แบบนี้ไม่เอา เพราะจะทำให้เราแก้ปัญหาในระยะยาวไม่ได้ เราต้องการรู้ปัญหาจริงๆ แล้วค่อยๆทำให้ลดลงตามข้อเท็จจริง

ดันออกพรก.เสริมเขี้ยวเล็บ

ป้องกันปราบปรามอาชญกรรมออนไลน์

-เรื่องการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ มีความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างไรบ้าง?

ตอนนี้เรากำลังจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นระบบ โดยจะร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย  -สมาคมธนาคารไทย -สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช.-เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)-สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)-กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

โดยแนวทางคือเราจะบล็อกทุกอย่าง เพราะพบแล้วว่าตัวการใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ และจะใช้พื้นที่แนวชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่พำนักอาศัย เป็นที่ทำงาน ซึ่งเขาจะเลี่ยงกฎหมายทำให้จับกุมได้ยาก โดยพบว่ามีการใช้การทำงานโดยผ่านคนไทยบางส่วนที่ไปร่วมมือในการเปิดบัญชีม้า หรือจิ๊กซอว์การกระทำผิดต่างๆ ที่ใช้คนไทย เราต้องตัดตอนให้ได้ทั้งหมด ไม่ให้มีปัญชีม้า ไม่ให้ใช้เครือข่ายโทรศัพท์ลักษณะที่ไม่ระบุตัวตน หรือพวกที่ใช้ซิมการ์ดมือถือที่ไม่ระบุตัวตน ตลอดจนกระบวนการอายัด -การยึดสิ่งผิดกฎหมายต้องรวดเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการแก้กฎหมายเพราะกฎหมายที่มีอยู่ยังทำให้ทำได้ช้า

 เราเลยเสนอไปว่าให้แก้กฎหมายด้วยการออกเป็นพระราชกำหนด โดยนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ออกเป็นมติครม.โดยคาดว่าเดือนธันวาคมจะทำสำเร็จ ซึ่งเมื่อเราสามารถป้องกันบัญชีม้าไม่ให้เกิดขึ้นง่ายๆหรือใครที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยต่างๆ มีธุรกรรมต้องสงสัย เช่นพบว่ามีการโอนเงินถี่เกินไปโดยไม่มีเงินหลงเหลือยู่อะไรต่างๆ เข้าข่ายบัญชีต้องสงสัย จะใช้ E-Banking (การทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคาร โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต)ไม่ได้แล้ว ถ้าจะถอนเงินต้องไปถอนที่สำนักงานของธนาคาร เป็นลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการไปโอนเงินภายใน 3-4 นาที โอนไปหลากหลายบัญชี โดยมีเบอร์มือถือเดียวผูกไว้กับหลายบัญชีแสดงว่ามีลักษณะต้องสงสัย เราจะพยายามบล็อกป้องกันตั้งแต่ต้น การตามจับก็ตามจับไป แต่ตัวการใหญ่อาจอยู่ต่างประเทศ เราตามจับได้ยาก เราต้องทำมิติการป้องกันมากขึ้น มิติการทำงานร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)หรือตำรวจไซเบอร์กับสถานีตำรวจ ที่ก็คือ หากผู้เสียหายสะดวกที่ไหนให้ไปที่ดังกล่าว เราจะส่งต่อข้อมูลกัน เราจะทำงานเป็นสถานีตำรวจประเทศไทย ไม่ให้ลำบากผู้เสียหาย ทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน

คดีที่มีความเชื่อมโยงต่างๆ หน่วยงานสืบสวนสอบสวนทางไซเบอร์ ในบช.สอท.จะเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ผู้เสียหายไปแค่สถานีตำรวจใกล้บ้าน ทำการสอบปากคำ เราก็จะทำงานต่อ ทำงานกันเป็นทีม สิ่งนี้คือเรื่องที่เราวางมาตรการไว้และจะเร่งแก้กฎหมายให้เร็วเพื่อให้การติดตามต่างงๆ การติดตามเงินกลับคืนมาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น

-หากมีการออกพระราชกำหนดดังกล่าว จะมีผลอย่างไรต่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ จะเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บได้หรือไม่?

จะเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บแน่นอน ทั้งการใช้เฟซบุ๊ก หรือไลน์ ที่ไม่สามารถรู้ว่าเขาเป็นใคร ต่อไป เราจะรู้มากขึ้น จะทำให้ไปบล็อกปัญหาต่างๆที่คนร้ายอาศัยช่วงโหว่ในการไปทำเรื่องนี้ จะทำให้มีการไปบล็อกไว้  ด้วยการแก้ไขกฎหมาย ผ่านการออกเป็นพระราชกำหนดก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง พยายามจะทำให้สำเร็จให้ได้โดยเร็ว โดยเราหวังว่าคดีจะลดลง

คดีส่วนใหญ่ที่มีการหลอกลวงมันจะมีแผนประทุษกรรมหลักๆคือ"ทำให้เกิดความกลัว" ที่เขาเรียกว่าคอลเซ็นเตอร์ กลัวจนต้องส่งเงินไป เช่นโทรมาอาจอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานต่างๆ  จนมาถึงสายสุดท้ายจะอ้างว่าเป็นตำรวจแล้วบอกให้ส่งเงินไป

อันดับสองที่เกิดเหตุบ่อยๆคือความโลภ อาจจะเกิดจากความไปตีสนิท เชื่อมั่นกัน จีบกันหลอกให้ลงทุนอะไรต่างๆ เจอบ่อยมาก ก็จะหมดตัวเยอะ โลภด้วยหลงด้วย เขาเรียกว่าโรแมนซ์สแกม ตีสนิททางเฟซบุ๊ก ทางไลน์ ทางไอจี เพื่อให้มีความเชื่อว่าจีบกัน เป็นแฟนกันแล้วมีเหตุให้ต้องโอนเงินไปช่วยหรือชวนให้ลงทุน เรียกว่าทำให้หลง

โดยนอกจากเป็นลักษณะกลัว -โลภ -หลง อีกอย่างคือ"หลอกให้กดรับลิงค์ที่ส่งมา"เพื่อจะให้กดรับลิงค์จะได้เข้าไปในระบบมาควบคุมเครื่องโทรศัพท์เราได้ แล้วก็จะดูดเอาเงินเราไปในเครื่อง  เรียกว่าการใช้ระบบคอนโทรลเครื่องผ่าน(แอพพลิเคชั่นต่างๆเพื่อดูดข้อมูล ดูดเงินเราไป เป็นสิ่งที่น่ากลัว อย่าไปกดรับลิงค์อะไรง่ายๆ

"ถ้าเรามีหลักว่า อย่าไปกลัวอะไรง่ายๆ อย่าไปโลภเรายังไม่รู้จักหน้าคร่าตาตัวจริงเลย ก็อย่าไปเชื่อง่ายๆ เขาอาจจะมาหลอกว่าเป็นเพื่อนเราแล้วมาขอยืมเงินเรา เราต้องโทรไปเช็คก่อนอย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ เราต้องโทรไปคอนเฟริม์ หรือโทรย้อนกลับไปอีกทีเพื่อความแน่ใจก็เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด"ผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติให้คำแนะนำ

-สถิติการแจ้งความจากประชาชนในคดีอาชญากรรมออนไลน์ รวมถึงสถิติการจับกุมผู้กระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา มีมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร?

สถิติการจับกุมดีขึ้น แต่สถิติยังไม่ลดลงเท่าที่ควร ซึ่งได้มีการย้ำว่า ตำรวจเราอย่าละเลยคดีพวกนี้ เมื่อประชาชนมีการเดินทางมาแจ้งความที่โรงพักเราต้องรีบรับเรื่อง-รีบลงระบบ เพื่อให้ระบบมีการประมวลผลว่าคดีที่ประชาชนมาแจ้งความดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับคดีอื่นของโรงพักดังกล่าวหรือไม่อย่างไร

คดีความผิดอาชญากรรมทางออนไลน์เฉลี่ยแล้วเกิดขึ้น 600-700 คดีต่อวัน ผมเชื่อว่าคดีพวกนี้ในอนาคตจะลดลงเรื่อยๆ เรามีเป้าหมายต้องการให้คดีลดลง แต่ตอนนี้เราอยากจะเปิดก่อนว่าปัญหามีเท่าไหร่แน่ อย่าไปหมกปัญหา ไม่ใช่ว่าไปแจ้งความที่โรงพักแล้วพอมีการลงบันทึกประจำวันก็เก็บเรื่องไว้ ผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ โดยหน้าที่หลักของโรงพักคือต้องลงระบบ แนะนำให้ประชาชนแจ้งความออนไลน์ลงระบบในเว็บไซด์ https://thaipoliceonline.com ให้ระบบเรียนรู้ว่าพฤติกรรมเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้เสียหาย

ผมก็คาดหวังว่าภายในปีนี้ จะลดให้ได้ ไม่ให้เกิน300 คดี แต่ไม่ใช่ว่าจะไปกดดันให้เจ้าหน้าที่ไปเบี่ยงเบน ลักษณะจะไปเป่าคดี ไม่ใช่ว่าผู้เสียหายมาแจ้งความแล้วไม่รับคดีเพื่อทำให้คดีน้อยลง แบบนี้ไม่เอา เพราะจะทำให้เราแก้ปัญหาในระยะยาวไม่ได้ เราต้องการรู้ปัญหาจริงๆ แล้วเราค่อยๆทำให้ลดลงตามข้อเท็จจริง ผ่านกระบวนการต่างๆ  ทั้งในมิติของการป้องกันผ่านการออกพระราชกำหนด มิติในการให้ความรู้ต่างๆที่ตำรวจเรามีครูไซเบอร์ ที่ก็จะมีการฝึกอบรมในช่วงกลางเดือนธันวาคม จะขยายให้มีครูไซเบอร์ในแต่ละพื้นที่ให้มากๆ เพื่อจะได้ไปให้ความรู้กับประชาชน ให้กระจายตัวไปเรื่อยๆ จะได้เกิดการเรียนรู้ โดยจะมีติดต่อกับทางศูนย์รับแจ้งความทางออนไลน์ เพื่อเรียนรู้แผนประทุษกรรมใหม่ๆ แล้วก็ไปต่อยอดเรื่อยๆ

แต่หลักก็อย่างที่บอกคือ"กลัว-โลภ-หลง"รวมถึงหลอกให้เชื่อด้วยการส่งลิงค์ต่างๆ ไปเพื่อให้กดรับ ที่หากเราไม่กลัวใครง่ายๆ อย่าไปหลงใครทางไลน์ ทางโซเชียลมีเดีย และอย่าไปโลภ ว่าจะได้อะไรมาง่ายๆ เช่น บอกจะได้กำไร10 เปอร์เซนต์ต่อเดือน แล้วไปเชื่อเขาเลย แบบนี้โดนแน่ ประเภทบอกว่า ท่านมีสิทธิ์กู้เงิน หรือบอกว่าถูกรางวัลแต่ให้มีการโอนเงินมาก่อน พวกนี้อย่าไปเชื่อ เพราะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ทางไลน์ หรือพวกส่งข้อความมาทางมือถือ หรือบอกว่าจะรวยทางลัด ขอให้มาเล่นพนันบอล

-ศักยภาพของตำรวจและหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ  หรือ PCT มีความพร้อมในการรับมือและสู้กับกลุ่มผู้กระทำผิดอาชญากรรมทางระบบออนไลน์มากน้อยแค่ไหน ?

เราพัฒนาอยู่ตลอดและเรารู้ปัญหาเยอะกว่าหน่วยงานอื่น แต่ปัญหาคือการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยหน่วยงานอื่นๆเช่น ธนาคาร ในเรื่องการโอน-การบล็อกต่างๆ ต้องเร็ว หรือเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพราะโทรศัพท์จะผูกกับเบอร์ของประชาชน เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ต้องช่วย รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือกลต. เพราะสุดท้ายแล้ว เงินจะถูกโอนไปอยู่ในระบบ คริปโตเคอร์เรนซี ทางกลต.ก็ต้องมีส่วนในการช่วยแก้ระเบียบ-กฎหมาย เพื่อช่วยเรา รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่มีอำนาจในการอายัด-การยึดและการออกข้อระเบียบต่างๆ ต้องช่วยกัน ก็จะทำให้สำเร็จได้

-ในฐานะเป็นตำรวจที่มีผลงานเรื่อง การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ มาตั้งแต่ก่อนมาเป็นผบ.ตร. หลายคนสงสัยว่า ทำไมกลุ่มผู้กระทำผิดพวกคอลเซ็นเตอร์ จึงยังมีอยู่ แก้ปัญหาไม่ได้?

อย่างที่บอกไว้ข้างต้น คือ ตัวการใหญ่อยู่ต่างประเทศ จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย เพราะหากอยู่ในประเทศไทยเราจับกุมได้หมด อย่างสมมุติคนจีนที่อยู่ในประเทศไทย บางทีก็ไปหลอกคนจีนที่อยู่ในประเทศจีน หรือบางทีก็ไปหลอกลวงคนเกาหลี หรือคนจีนอยู่เกาหลี ก็ไปหลอกคนประเทศอื่น แต่มีแนวโน้มว่าในอนาคตคนจีนที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน อาจจะไม่เน้นหลอกคนไทยแล้วหากคนไทยต่อไปรู้เท่าทัน แต่อาจจะไปหลอกคนในประเทศกลุ่มยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา อันนี้ก็แล้วแต่ว่าใครมีจุดอ่อนมากกว่ากัน

แต่ที่เกิดขึ้นในไทยก็คือ เขาเอาคนไทยมาเป็นลูกน้องเขาได้ง่ายโดยข้ามพรหมแดนไปทำงานโดยอ้างว่าจะให้เงินเดือน 25,000-30,000 บาท คนก็ไป พอเข้าไปก็เลยเข้าไปเป็นลูกน้องร่วมเป็นกระบวนการของแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ ส่วนความร่วมมือระหว่างตำรวจไทยกับกัมพูชา ในการแก้ปัญหาก็ราบรื่นดี แต่บางทีต้องใช้เวลาในการไปตรวจสอบกลุ่มคนเหล่านี้ว่าไปทำกันตรงจุดไหน เราก็พยายามประสานเขาให้ใกล้ชิดมากขึ้น

"ผมมั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้ การทำผิดเรื่องอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ต้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งหากมีการออกพระราชกำหนดออกมารวมถึงเราก็จะมีมาตราการเร่งรัดต่างๆ เราก็พยายามจะเดินตามปัญหาที่เกิดขึ้น"

-นโยบายเร่งด่วนเรื่อง การยกระดับการให้บริการประชาชนของสถานีตำรวจ ขณะนี้ได้ดำเนินการไปอย่างไรแล้วบ้าง?

เรื่อง การยกระดับการให้บริการประชาชนของสถานีตำรวจ มีการวางแผนงานไว้ว่า จะให้เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 โดยช่วงนี้เป็นช่วงที่ตั้งคณะทำงานและการออกคำสั่ง

เพราะเรามองว่าการเข้าถึงหัวใจของประชาชนที่นอกจากช่องทางในการแจ้งความทางระบบออนไลน์ได้แล้ว ประชาชนเขาก็ต้องมาโรงพัก สถานีตำรวจจึงต้องบริการประชาชนด้วย service mind เพราะการทำงานของโรงพักคือจุดที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด

ดังนั้นหากเราทำให้การทำงานของโรงพักประสบความสำเร็จในการให้บริการประชาชนแต่ละด้าน เช่นเมื่อรับแจ้งเหตุแล้ว ตำรวจไปยังที่เกิดเหตุได้รวดเร็ว หรือการที่มีผู้เสียหาย เมื่อแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ตำรวจก็ต้องคอยแจ้งความคืบหน้าของคดีต่อประชาชนให้รับทราบทุกระยะ หรือการที่ตำรวจสายตรวจของแต่ละโรงพัก ต้องทำหน้าที่ walk and talk ไปพบปะพูดคุย หัวหน้าสถานีต้องเน้นการพบปะพูดคุย เพราะอย่างน้อยหากใกล้ชิดกับประชาชน แล้วประชาชนมั่นใจเขาก็จะแจ้งปัญหาในท้องที่ให้ตำรวจทราบ ก็ทำให้ตำรวจจะได้แก้ปัญหาให้เขาได้

สิ่งนี้คือแนวทางการทำงานที่เราจะยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจทั้งงานด้านการปราบปราม งานจราจรที่ทางตำรวจก็มี"สุภาพบุรุษจราจร"หรืองานสืบสวน ก็ต้องจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็ว งานสอบสวนก็ต้องบริการประชาชนดุจญาติมิตร สิ่งเหล่านี้คือการยกระดับการให้บริการประชาชน

ขับเคลื่อนนโยบายเพื่อตำรวจทั่วประเทศ

พัฒนาศักยภาพ –สร้างขวัญกำลังใจ

-ในส่วนของ นโยบายเร่งด่วนที่จะทำให้ข้าราชการตำรวจ ที่ได้ประกาศไว้ตอนเข้ารับตำแหน่งทั้งเรื่องการสร้างความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ การสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงาน หรือ SOP และการจัดหาสิ่งอุปกรณ์ที่ป้องกันอันตรายให้เพียงพอ ตลอดจนการดูแลสวัสดิการและขวัญกำลังใจกำลังพล มีแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวอย่างไร?

ตอนนี้เราได้เน้นเรื่องการฝึกอบรมตำรวจ โดยเราจะให้มีการฝึกแบบรายสัปดาห์ โดยทุกสัปดาห์ต้องมีการฝึกอบรมในแบบมาตรฐานต่างๆ ที่เน้นนำไปใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจค้นจับกุม -การฝึกยิงปืน- การพัฒนาเพื่อศักยภาพทางร่างกาย

สิ่งเหล่านี้ต้องมีการฝึกรายสัปดาห์ รวมถึงการฝึกเรื่อง"การควบคุมฝูงชน"ด้วย เพราะเมื่อมีการฝึกอย่างต่อเนื่องจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น เพราะเมื่อประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น ก็จะทำให้ความปลอดภัยในการทำงานของตำรวจก็จะดีขึ้นตามไปด้วย เพราะอย่าง"ชุดสายสืบ"หรือ"ชุดปฏิบัติการของตำรวจ"ชุดต่างๆ เวลาออกพื้นที่ไประงับเหตุต่างๆ ก็จะต้องมีการใส่ชุดอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เสื้อเกราะ เพื่อเซฟตัวเอง ส่วน"สายตรวจ"ผมให้ไปทำการหารือกันว่าเสื้อเกราะแบบใด ที่ต้องการจะใส่ทำงานหรือแบบไหนที่ไม่อยากใส่ เพื่อว่าไม่ใช่จัดซื้อมาแล้วนำไปกองกันไว้ เราจะทำตามความต้องการของตำรวจ

อันนี้ก็เป็นแนวทางที่เราจะมีการกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของตำรวจ เพราะถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเป็นเรื่องของการบริหารงานบุคคลด้วย เพราะการทำงานของเขาจะต้องเจอเหตุการณ์ต่างๆ ตลอด ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการทำงานของสายตรวจ -สายสืบ สิ่งเหล่านี้จะต้องมี ได้เน้นให้ทำงานตามมาตรฐาน ซึ่งฝ่ายป้องกันปราบปราม จะสรุปมาให้ผมทราบภายในเร็ววันนี้เพื่อจะได้ให้เป็นแนวเดียวกันทั่วประเทศ แต่หลักการแรกคือต้องให้มีการฝึกประจำสัปดาห์ให้ได้

ในชีวิตผมยืนยันได้ว่าไม่เคยไปซื้อตำแหน่งมา แต่ผมได้ตำแหน่งมาโดยที่ผู้บังคับบัญชา ได้เห็นถึงความสามารถ เห็นคุณค่าของเรา ก็ได้ขยับตำแหน่งมาเรื่อยๆ และเมื่อผมได้มีโอกาสมาเป็นผบ.ตร.แล้ว ยืนยันได้ว่า หัวไม่ส่ายแน่นอน และถ้าใครยังไม่เข้าใจ ใครยังมาสองแง่สองง่าม จะมาให้ทำอะไร พวกนี้ จะถือว่าเป็นพวกที่ผมจะมองในแง่ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่รู้ได้ว่าเจตนาเขามาลักษณะว่ายินดีจะมาสนับสนุนเรา เรื่องเงินเรื่องทอง ถ้าเขาได้โน้นได้นี้ ผมจะไม่ชอบ ถือว่าดีเอ็นเอไม่ตรงกัน เขาอาจจะถูกติดลบไปเลย  โอกาสที่เขาจะได้ตำแหน่งแทบเป็นศูนย์

โดยหลังจากนี้ ผมจะเริ่มออกตรวจ แบบสุ่มสำรวจการทำงานตามจังหวัดต่างๆ จังหวัดใดทำได้ดี ก็จะเป็นตัวอย่างเพื่อให้จังหวัดอื่นนำไปปฏิบัติตาม คือจะเน้นลงพื้นที่ไปรับรู้ปัญหาจริงๆ ให้เขาเกิดความตื่นตัว เพราะหากเราอยู่แต่ในส่วนกลาง เราอาจจะไม่รู้ ที่ผ่านมาผมก็ไปมาหลายจังหวัด แต่หลังจากนี้ จะเดินทางไปอีกหลายจังหวัดเพื่อจะไปรับทราบข้อเท็จจริงต่างๆ เช่น ตำรวจแต่ละแห่งได้มีการฝึกประจำสัปดาห์ตามนโยบายที่ให้ไว้หรือไม่ ตำรวจมีการแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างไร ตรวจเจอการแพร่ระบาดของยาเสพติดบ้างหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เขาต้องแม่น ผู้กำกับสถานีตำรวจต้องแม่นในเรื่องเหล่านี้

-เสียงสะท้อนที่ได้ยินมา สิ่งที่ตำรวจต้องการอยากได้ โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อย เขาขาดแคลนหรือต้องการให้มีการส่งเสริมในเรื่องใด?

เราพยายามจะเน้นว่า งบประมาณของเขา จะต้องได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าไปตัดทอน อะไรที่เขาอยากได้ จะพยายามจัดหาให้ เพื่อสร้างความปลอดภัยในการทำงานเช่นเรื่องชุดต่างๆ ของตำรวจ รวมถึงเรื่องสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่าน้ำมัน   เพราะการทำงานของตำรวจนอกจากการดูแลประชาชน ในมิติการทำงานเรื่อง การดูแลตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสวัสดิการ เรื่องความปลอดภัยของตำรวจในการปฏิบัติงานแล้ว ก็อยากจะทำแบบจริงจัง เนื่องจากเรามองว่า ถ้าตำรวจมีขวัญและกำลังใจมากขึ้นในการทำงาน แล้วเรามีช่องทางให้เขาเดินในทางขาว เช่นการมีสวัสดิการที่ดี หรือการเบิกเงินรางวัลต่างๆให้สะดวกขึ้นทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ระบบมันเร็วขึ้น ก็จะทำให้การที่ตำรวจจะไปเบี่ยงเบน จะไปพัวพันในทางสีดำหรือสีเทาจะลดน้อยลง

เพราะการเอาตำรวจออกแต่ละครั้ง ไม่ใช่ว่าเราสบายใจ เพราะครอบครัวเขาก็จะเดือดร้อน ตำรวจบางคนเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว มีรายได้ทางเดียว พอโดนคดีขึ้นมา ครอบครัวเขาก็เดือดร้อน ดีไม่ดี กลายเป็นโจรไปอีก

เราก็คิดในมิติการป้องกัน ได้มีการย้ำไปถึงระดับหัวหน้าสถานีว่าให้หัวหน้าสถานีตำรวจ คอยเข้าไปดูครอบครัวของตำรวจในสถานีด้วยว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ตำรวจในสถานีมีหนี้สินอะไรหรือไม่ ให้มีการนำเงินสหกรณ์ตำรวจมาแก้ปัญหาหนี้สิน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมทำ และได้พยายามสอนเขาว่าอย่าเป็นหนี้่ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเพิ่งเรียนจบมาแล้วเพิ่งเริ่มทำงานก็ใช้เงินเกินตัว มันจะไปพันกับการไปทุจริตในหน้าที่ เพราะตำรวจมีหน้าที่ถือกฎหมาย หากเราเอาตัวไม่รอดในเรื่องการใช้จ่าย จะทำให้อาจมีโอกาสที่เราจะไปทำผิดเสียเอง อันนี้เราก็เป็นห่วง

สำหรับเรื่องความปลอดภัยในการทำงานของตำรวจ พวกเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำงาน การฝึกฝนประจำสัปดาห์ เราจะเน้นว่าหากตำรวจมีการฝึกที่เพียงพอเช่นการฝึกยิงปืน อย่างปีนี้เราก็จะให้มีการทดสอบยิงปืนทุกคน เพราะอย่างกรณีที่เกิดขึ้นที่หนองบัวลำภู (เหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ) ผมคิดว่าหากวันดังกล่าวคนร้ายไม่ฆ่าตัวตาย เราจะรอชุดปฏิบัติการจากส่วนกลาง หรือส่วนภูมิภาคอาจจะไม่ทัน เพราะจุดเกิดเหตุค่อนข้างห่างไกล ตำรวจในพื้นที่จะต้องแก้ไขสถานการณ์ได้โดยการเข้าไประงับยับยั้ง หรือยิงต่อสู้กับคนร้ายที่มีอาการคลุ้มคลั่ง มีปืนกระบอกเดียว ตำรวจต้องจัดการได้ในทันที ไม่ต้องรอชุดปฏิบัติการต่างๆเช่นชุดอรินทราช -ชุดนเรศวร261แบบกรณีที่เกิดเหตุที่เทอร์มินอล 21 โคราช (เหตุการณ์กราดยิงภายในศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช เมื่อวันที่ 8-9 ก.พ. 2563) แต่ตำรวจในพื้นที่้ต้องจัดการด้วยอาวุธอุปกรณ์ที่ตำรวจในพื้นที่มีอยู่ที่สถานีตำรวจโดยเด็ดขาดรวดเร็ว เพื่อระงับยับยั้งไม่ให้คนร้ายไปฆ่าคนเพิ่มอีก นี้คือมาตรฐานที่ตำรวจต้องทำได้ทุกคน ใครประสบเหตุอะไรก็ต้องทำได้ เช่น ตำรวจสายตรวจสองคน ต้องจัดการคนร้ายประเภทนี้ได้

ตำรวจต้องมีความพร้อม มียุทธวิธี มีการยิงปืนที่เหมาะสม ต้องพร้อมรับมือ รถสายตรวจ20ต้องมีอาวุธปืนที่ทันสมัย ไม่ใช่มีแต่ปืนสั้น อาวุธปืนต้องพร้อม พวกปืนที่เป็นปืนลักษณะพิเศษแบบนี้ต้องมี ต้องมีกระสุนยาง เราจะเจอหลายเหตุการณ์ในอนาคต คู่สายตรวจต้องมีปืนไฟฟ้าด้วย อาจไม่จำเป็นต้องใช้ปืนจริง อย่างล่าสุดกับเหตุการณ์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตำรวจก็ทำตามยุทธวิธี ที่เกิดเหตุการณ์มีคนคลุ้มคลั่ง มีอาวุธปืนในครอบครอง แต่เขายังไม่ถึงขั้นจะไปอันตรายกับใคร ตำรวจก็ใช้วิธีการใช้สไนเปอร์ยิงให้ปืนหลุดจากมือ จนตำรวจควบคุมตัวได้

เราจะฝึกยุทธวิธีแบบนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับตำรวจด้วย กับการฝึกฝนที่ได้มาตรฐานที่ดี สิ่งนี้คือเรื่องที่ต้องการพัฒนาให้ได้ภายในปีนี้ สร้างรากฐานขึ้นไป ต่อยอดจากผบ.ตร.คนที่แล้ว

ทลายเครือข่ายทุนจีนสีเทา

ตรงไปตรงมา ว่าไปตามพยานหลักฐาน

  -การสืบสวนสอบสวน กวาดล้างทุนจีนข้ามชาติสีเทา ได้มีการให้นโยบายกับตำรวจที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีอย่างไรบ้าง?

เรื่องนี้เริ่มมาจากการไปตรวจพบการกระทำความผิดในสถานบริการ เช่นที่ ผับท็อปวัน -สถานบันเทิง “จินหลิง”ซึ่งตั้งแต่ผมเข้ารับตำแหน่ง ผมได้เน้นมาตลอดว่าตำรวจต้องไปตรวจสถานบริการ เพราะแต่ก่อนผมก็ยอมรับว่าตำรวจมักจะละเลย ฝ่ายปกครองไปตรวจจับเมื่อไหร่ ก็เจอเด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์เข้าไปเป็นร้อย จึงมองว่าเรื่องนี้ต้องเข้มงวด

โดยหลังเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้สั่งให้ต้องมีการตรวจสถานบริการ ต้องมีการสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง อย่าให้มีเด็กเข้าไปเที่ยว อย่าให้มียาเสพติด ต้องไม่ให้เปิดเกินเวลา ก็เลยไปเกิดเหตุที่พัทยา ที่เจ้าของโวยวายว่า เคลียร์กับตำรวจ-ผู้ว่าฯแล้ว  ซึ่งต่อมาก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง แต่ก็ได้มีการดำเนินคดีในข้อหาปลอมบัตรประชาชน

ต่อมากับกรณี สถานบันเทิงจินหลิง เกิดจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สืบทราบมาว่าสถานบริการแห่งนี้ น่าจะมีการทำผิดกฎหมายเพราะแอบเปิดในที่ลับ และใช้ระบบ member ที่เข้าข่ายต้องสงสัย ตำรวจจึงเข้าไปตรวจค้นและพบการเสพยาเสพติดจำนวนมากที่เป็นกลุ่มคนจีน ทางนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ก็มีการนำข้อมูลมาให้เพิ่มเติมกับ  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.  ที่ผมก็ได้สั่งการให้  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ท่านรับผิดชอบด้านการปราบปราม ผมก็บอกให้ไปช่วยกันดูเรื่องนี้ ทำให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้เข้ามา ซึ่งตอนนี้ก็ช่วยกันทำงาน ใครมีข้อมูลอะไรก็ทำกันไป

ที่ตอนนี้ถือว่าได้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่องหลังจากมีการตรวจค้นผับจินหลิง จนพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับ"ตู้ห่าว"เลยมีการดำเนินคดีกับตู้ห่าวในข้อหาร่วมกันสมคบกระทำความผิด มีการยึด-อายัดทรัพย์สิน เครื่องบินส่วนตัวต่างๆ ตามที่เป็นข่าวโดยฝ่ายป.ป.ส. ที่ก็เป็นความคืบหน้าในการดำเนินการและเราจะขยายผลว่าหากอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสถานบริการผิดกฎหมาย การเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การปลอมแปลงบัตรประชาชน การใช้วีซ่าผิดประเภทเข้ามาแล้วมาหลอกเจ้าหน้าที่เช่นขอเข้ามาทำงานในมูลนิธิ แต่ว่าไม่ได้ทำจริง ต่อไปเราจะมีการตรวจสอบทั้งระบบ โดยเราจะเพิ่มความเข้มในเรื่องของชาวต่างชาติที่เข้ามาแฝงตัว มาทำอะไรในเมืองไทยที่เป็นลักษณะไม่ใช่สีขาว แต่เป็นสีเทา สีดำ เราก็จะดูแลอย่างเข้มงวด ก็เน้นหนักไปแล้วว่าต่อไปต้องเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง ใครที่เกี่ยวข้องถึงแม้จะไม่สามารถดำเนินคดีได้อย่างชัดเจน แต่ก็จะต้องถูกโยกย้ายในคำสั่งหน้านี้ พวกตม.อะไรต่างๆ เราก็อยากจะกวาดบ้านตัวเอง

-คดีนี้สังคมจับตามองกันมากเพราะตามข่าวอาจจะมีการเชื่อมโยงกับนักการเมือง คนเลยมองกันว่าตำรวจจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน?

ตำรวจเอาจริงครับ ยืนยันว่าเอาจริง แต่ขอให้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน หากพยานหลักฐานถึงก็ต้องเอาจริง เพราะตอนนี้ผมก็ได้เร่งรัดแล้วว่าขออย่าให้นาน หลักฐานถึงหรือไม่ถึง ก็ขอให้ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ขอให้จบ อย่าให้นานเกินไป หากนานเกินไป ก็จะหาว่าอะไรอีก หาก2-3 อาทิตย์ผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ถึง ก็ต้องบอกว่าไม่ถึง ถึงก็บอกถึง ชัดเจน เพราะหากค่อยๆหายไป เดี๋ยวก็หาว่ามวยล้มต้มคนดูอีก

-ยืนยันได้ว่าจะไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำคดีของตำรวจ?

ก็เป็นไปตามพยานหลักฐานทางคดี เพราะตอนนี้สังคมถูกตรวจสอบด้วยประชาชน

-นอกจากกลุ่มทุนจีนสีเทาแล้ว ในส่วนของกลุ่มทุนข้ามชาติที่เข้ามาทำเรื่องสีเทาๆในประเทศไทยจะดำเนินการอย่างไร?

ตอนนี้มีกระแสเรื่องกลุ่มทุนจีน ก็เป็นสิ่งที่ดี จะได้ทำให้เราสำรวจทุกด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ที่ใช้เมืองไทยเป็นที่พักพิงในการทำผิดกฎหมาย เราก็จะไปดูในทุกมิติ ก็ถือโอกาสกวาดล้างสิ่งพวกนี้ให้หมด

แต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศ

ยืนยัน”หัวไม่ส่าย”-ยึดหลักความเหมาะสม

-หลังมีการประกาศใช้พรบ.ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ เมื่อ 16 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาจะมีผลต่อการทำงานของตำรวจทั่วประเทศอย่างไรบ้าง?

เป็นการเปลี่ยนแปลงไปอีกมิติหนึ่ง โดยการออกเป็นกฎหมาย ทางตำรวจก็จะเดินไปตามกรอบของกฎหมายเช่นเรื่อง"การบริหารงานบุคคล"จะต้องเป็นไปตามพรบ.ตำรวจแห่งชาติ ฉบับใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระดับนายพล เช่น ตั้งแต่ระดับ พล.ต.ต.-พล.ต.ท. การเลื่อนตำแหน่ง จะครึ่งๆระหว่าง อาวุโส 50 เปอร์เซนต์ กับความรู้ความสามารถ อีก 50 เปอร์เซนต์

ในส่วนของพล.ต.ท.ขยับขึ้นไปเป็นพล.ต.อ. ต้องเรียงอาวุโสอย่างเดียว เป็นมิติใหม่ที่เราต้องเดินไปตามพรบ.ตำรวจแห่งชาติฯ ส่วนระดับล่างลงไป จะมีมิติที่จะต้องดูเรื่องของผลการประเมินอะไรต่างๆ ที่สุดท้ายจะเป็นระบบคุณธรรมมากขึ้น คือถูกตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ต้องชี้แจงได้ง่ายขึ้นเช่น ทำไมเอาคนนี้ ไม่เอาคนนี้ คืออยู่ในกรอบของความโปร่งใสมากขึ้น

ซึ่งในปีนี้ แม้บทบัญญัติของพรบ.ตำรวจแห่งชาติฯ  จะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ทั้งหมด บางเรื่องเหลืออีกหกเดือนข้างหน้าถึงจะมีผลบังคับใช้ แต่ผมก็จะเดินไปตามแนวของพรบ.ตำรวจแห่งชาติฯหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประเมินผล หรืออะไรต่างๆ ก็จะพยายามทำให้การประเมินเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง กับให้ได้ผลงานดีเด่น ให้เป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชาระดับต้นด้วย

อันนี้ผมก็จะทำให้ได้ภายในปีนี้ และในคำสั่งที่จะถึงนี้ด้วย เพื่อจะได้ให้เห็นว่าผู้บังคับบัญชามีความจริงใจต่อการประเมินผลงานลูกน้อง ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปตามข่าวลือว่าเอาตามระบบอุปถัมภ์ ซึ่งข่าวมันออกมามาก แม้กระทั่งอดีตผู้บังคับบัญชา ยังมาโจมตีว่าซื้อขายตำแหน่งกันมากมาย

ผมไม่สามารถยืนยันในตัวคนอื่นได้ แต่ผมยืนยันว่า ผมไม่ชอบอย่างยิ่งเรื่องซื้อขายตำแหน่ง ผมไม่ชอบ จะมีจริง หรือไม่มีจริง ผมไม่ไปการันตีให้ใคร แต่ยืนยันว่าผมไม่มี และผมไม่ชอบ ถ้าใครจะมามีข้อเสนอให้ผม ผมจะถือว่า คนนี้ใช้ไม่ได้ ผมก็จะมองติดลบทันที ถ้าเกิดมีใครพูดสองแง่สองง่าม คือไม่พูดตรงๆ แต่มาใช้บาลีเลี่ยง จะมาขอบคุณโน้น ขอบคุณนี้ ถ้ารู้ว่ามาแนวนี้ ผมก็จะไม่ชอบ จะบอกปัด แล้วก็จะมองคนที่จะมาขอ หรือมาขอรับการสนับสนุนในแง่ไม่ดี จะถือว่าคนพวกนี้จะถูกเพ่งเล็งแล้ว พวกนี้อาจจะมีมูลในเรื่องที่คนเขาเคยกล่าวหากัน คือก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามันจะไม่มี เพราะคนมาก ตำรวจมีคนมาก แล้วตำแหน่งมีน้อย ทุกคนก็อยากได้ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาไปทำยังไงมา เขาถึงมีผู้สนับสนุน หรือมีคนแนะนำมาต่างๆ ก็มีมาหลายรูปแบบ

-ผบ.ตร.จะมีแนวทางในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศอย่างไร?

ยึดอาวุโสและผลการทำงานเป็นหลัก ตอบคำถามได้ว่า คนนี้ที่ขึ้นมา มีฝีมือ ไม่ยี้ จะไม่มีพวกที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นพวกที่จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับลูกน้อง หรือคนในพื้นที่ ซึ่งถ้าผมรู้ ผมจะพยายามไม่ให้มีเข้ามาแข่งขัน พวกที่มีประวัติไม่ดี

-เรื่องที่มีการพูดกันถึงเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง?

ผมไม่ชอบที่ใครมาครหาตำรวจเรื่องนี้มาก โดยในชีวิตผมยืนยันได้ว่าไม่เคยไปซื้อตำแหน่งมา แต่ผมได้ตำแหน่งมาโดยที่ผู้บังคับบัญชา ได้เห็นถึงความสามารถ เห็นคุณค่าของเรา เราก็ได้ขยับตำแหน่งมาเรื่อยๆ และเมื่อผมได้มีโอกาสมาเป็นผบ.ตร.แล้ว ผมยืนยันได้ว่า หัวไม่ส่ายแน่นอน และถ้าใครยังไม่เข้าใจ ใครยังมาสองแง่สองง่าม จะมาให้ทำอะไร พวกนี้ ผมจะถือว่าเป็นพวกที่ผมจะมองในแง่ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่รู้ได้ว่าเจตนาเขามาลักษณะว่ายินดีจะมาสนับสนุนเรา เรื่องเงินเรื่องทอง ถ้าเขาได้โน้นได้นี้ ผมจะไม่ชอบ ถือว่าดีเอ็นเอไม่ตรงกัน เขาอาจจะถูกติดลบไปเลย โอกาสที่เขาจะได้ตำแหน่งแทบเป็นศูนย์เลย ผมอยากให้เขามาเสนอตัวว่าเขาเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เขาจะทำงานตรงนี้ได้ เพราะเขามีความสามารถ โอเค อยากได้ยินแบบนี้มากกว่า

-ในส่วนของคณะกรรมการสองชุดที่สำคัญในพรบ.ตำรวจแห่งชาติฯ  คือคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมกับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ จะเกิดขึ้นเมื่อใด?

คณะกรรมการดังกล่าวจะเกิดขึ้น โดยผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร.ชุดใหม่ ซึ่งเข้าใจว่าประมาณช่วงเดือนมีนาคม 2566 จะมีการเลือกตั้งเข้ามา และพอได้ก.ตร.ชุดใหม่แล้วถึงจะมีการเริ่มคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

-หลังมีการใช้พรบ.ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ มองว่าภาพรวมจะทำให้การทำงานของตำรวจดีขึ้นหรือไม่?

โดยภาพรวมผมเชื่อว่าดีขึ้น ประชาชนจะมีความเชื่อมั่นขึ้น มีคณะกรรมการที่ตรวจสอบและถ่วงดุลมากขึ้น

หลักคิด-วิธีการทำงาน บนเส้นทางตำรวจมืออาชีพ จนมาถึงตำแหน่งผบ.ตร.

ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ เราได้ซักถาม "พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์-ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”ถึงหลักการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของการรับราชการตำรวจ จนมาถึงตำแหน่งผบ.ตร. ที่เป็นตำแหน่งสูงสุดของวงการตำรวจว่า มีหลักคิด-หลักการทำงานอย่างไรบ้าง ซึ่ง “พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์-ผบตร.” เล่าให้ฟังว่า หลักการทำงานก็คือถ้ามีโอกาสได้ทำเรื่องอะไร เพราะบางทีตำรวจเราเลือกไม่ได้ว่าเราจะถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่อะไร เช่นบางครั้งถูกโยกย้าย อย่างเช่นผมเคยถูกโยกย้ายให้ไปทำงานที่ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เช่นผมได้ไปเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจ ซึ่งในสมัยที่ผมอยู่สถานีตำรวจในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ผมก็ไม่อยากไปอยู่โรงพักที่มีปัญหา พื้นที่ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกเพ่งเล็ง เช่นพื้นที่ซึ่งมีอบายมุข เช่น คลองตัน ผมก็โดนไปอยู่ ผมก็เครียด แต่ก็พยายามทำงาน จนประสบความสำเร็จ ได้รางวัลโรงพักเพื่อประชาชน ได้ชุมชนสัมพันธ์ดีเด่น ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่ซึ่งมีปัญหาหลายเรื่องแต่เราแก้ปัญหาได้ เราก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้น

พอขึ้นเป็นรองผู้บังคับการ ก็ไม่เคยคิดว่าจะไปอยู่ฝ่ายอำนวยการ เพราะเป็นตำแหน่งที่นายตำรวจเขามองว่าเป็นเกรดซี คือถ้าเท่ห์หน่อย ก็เป็นรองผู้การพื้นที่นครบาล แต่ผมได้เลื่อนมาเป็นรองผู้บังคับการฝ่ายอำนวยการ ที่ก็ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานประชุม งานหนังสือเอกสารต่างๆ ใหม่ๆ ผมก็รู้สึกผิดหวัง แต่ตอนหลังก็คิดว่า ยังไง ก็คงต้องอยู่เป็นปีหรือสองปี ผมก็ตั้งใจเรียนรู้งาน ตอนนี้ก็เลยมานั่งย้อนดู ก็เห็นเลยว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะทำให้เราได้รู้งานเกี่ยวกับฝ่ายอำนวยการ เรื่องงบประมาณ-การเงิน ซึ่งเป็นงานที่นักบริหารจำเป็นต้องใช้ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ เพื่อนๆ ผมน้อยคน จะมีความรู้เรื่องนี้ ตอนนั้นผมก็อยู่ตรงนั้นหนึ่งปีครึ่ง ทำให้ได้ประสบการณ์มาก

ต่อมาพอขึ้นเป็นผู้บังคับการ ไปอยู่ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 ก็ไม่ได้อยากไปนัก ไม่ชอบ เพราะอยากอยู่โรงพัก แต่พอไปอยู่ก็ได้เรียนรู้งานเช่นเรื่องม็อบ การแก้ปัญหาเรื่องม็อบอะไรต่างๆ ทำให้ได้ประสบการณ์ ถือว่าเราก็ทำเต็มที่

พอขึ้นเป็นผู้บังคับการ ตอนแรกผมก็ไม่เคยคิดอยากจะไปอยู่ไกลๆ แต่ก็ถูกส่งไปอยู่จังหวัดอำนาจเจริญ พอไปอยู่ ก็ทำให้ได้ประสบการณ์กับตำรวจในพื้นที่และกับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาในท้องถิ่น แล้วก็ไปเป็นผู้บังคับการจังหวัดในภาคเหนือและตำแหน่งต่างๆ หลังจากนั้น

“ผมมองว่าเรื่องของตำแหน่ง อย่าไปมองว่า ตำแหน่งไหนไม่สำคัญ เพราะทุกตำแหน่งที่เราไปทำสำคัญหมด สำคัญในการพัฒนาตัวเองเพื่อทำให้เป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ครบเครื่อง เพราะถ้าเรามีประสบการณ์ด้านเดียว เราจะมองปัญหาต่างๆไม่ได้เหมือนกับที่ได้ไปเห็นปัญหามาหลายพื้นที่ หลายหน่วยงาน หลายหน้างาน”

หลักการทำงานของผม ที่อยากจะสอนน้องๆ ก็คือ งานทุกงานมีประโยชน์หมด อย่างเวลาเราไปพอเจอพูดคุยกับใครก็ตาม เราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกคน เขาจะมีข้อเด่นด้านนี้ เราศึกษาจากเขา พัฒนาตัวเองขึ้นมา เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น เราจะสามารถได้เรียนรู้และต่อยอดจากแนวคิดของคนอื่นที่เราเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จ เราก็นำมาเรียนรู้ ถือว่าเป็นการทำงานเชิงรุกอย่างหนึ่ง คือต่อยอดของคนอื่น แล้วทำงานต่อยอดไป จะเป็นการทำงานเชิงรุก สมัยนี้ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยความเร็ว ระบบออนไลน์ถึงตัวเร็ว ไม่เหมือนสมัยก่อน เพราะฉะนั้นการทำงานหรือการตัดสินใจ จะต้องเรียลไทม์ คือเร็วขึ้น การสั่่งงานลูกน้องไม่ต้องรอประชุมแล้ว สั่งทางไลน์ได้เลย สั่งอะไรได้เร็วขึ้น อันนี้ก็ต้องปรับตัว ต้องพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

"หลักการทำงานคือต้องเรียนรู้จากคนอื่น แล้วนำมาทบทวนและปรับใช้กับตัวเองให้ได้"

การทำงานของผม พยายามจะเอาแนวทางเดิมๆของ ผบ.ตร.คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่เราเห็นว่าเหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันมาต่อยอด เช่น ผมต่อยอดงานของท่านพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผบ.ตร.หลายเรื่อง ท่านเก่งเรื่่องเทคโนโลยี ผมก็อยากให้ต่อยอดเช่น “โครงการศูนย์รับแจ้งความทางระบบออนไลน์” ผมก็เอามาจากท่านพล.ต.อ.สุวัฒน์ ที่ทำต่อเนื่องมา ผมก็ให้ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ หรือแอพพลิเคชั่น “แทนใจ” ที่เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างตำรวจชั้นผู้น้อยกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สื่อสารกันแบบเรียลไทม์ ส่งถึงคนสองแสนคน ข้อมูลและระบบต่างๆ ผมก็จะต่อยอดโดยพัฒนาขึ้นมา มีแอดมินเพื่อให้มีการติดต่อสื่อสารสองทาง รวมถึงเรื่องที่พล.ต.อ.สุวัฒน์วางระบบไว้เช่น ระบบสวัสดิการต่างๆ การแก้ปัญหาหนี้สินตำรวจ ผมก็จะทำเรื่องทุนการศึกษาให้บุตรหลานตำรวจ และเรื่องที่ผมคิดอยู่ตลอดเรื่องยาเสพติด หรือเรื่องยกระดับสถานีตำรวจ ผมจะพยายามทำให้มันดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา คือคนต่อๆไป ก็ต้องดีขึ้นกว่าเดิม หรือการแก้ปัญหา "เด็กแว้น"ก็จะยังคงรักษาการแก้ปัญหาให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ปัญหาน้อยลง

โดยวรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เช็ก 41 รายชื่อแต่งตั้งนายพลสีกากี ระดับ รองผบ.ตร.-ผบช. วาระประจำปี 2567

การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2567 ได้มีมติเห็นชอบบัญชีรายชื่อแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ

'บิ๊กต่าย' สั่งสอบ 'พ.ต.ต.' อาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ กระทำอนาจาร

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  (ผบ.ตร.) เปิดเผยกรณีเพจดังเผยแพร่ข้อมูลระบุว่า มีนักเรียนนายร้อยตำรวจ ถูกอาจารย์ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และสารวัตร (สอบสวน) สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล

เคาะแล้ว! ก.ตร. แต่งตั้ง รองผบ.ตร.-ผบช. 'สยาม บุญสม' ม้ามืดผงาดนครบาล

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 10/2567 โดยวาระสำคัญ คือวาระที่ 4 เรื่องที่ 4 การคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ วาระประจำปี 2567 ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ถึงผู้บัญชาการ (ผบช.) เป็นการใช้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 เป็นครั้งแรก

แก๊งยาเสพติดข้ามชาติ ยัดผงขาว-ไอซ์ มูลค่ากว่า 100 ล้าน ในองค์พระพุทธรูป

ที่หน้ากองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 237 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 (ร้อย ตชด.237 กก.ตชด.23) พล.ต.ฉัฐชัย มีชั้นช่วง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) และ  รองผู้บัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด

นายกฯ ถึงไทย ‘บิ๊กต่าย’ เข้ารายงานปมร้อน จัดโผแต่งตั้ง รองผบ.ตร- ผบช. 20 พ.ย.นี้

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้ารายงานนายกฯถึงการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่10/2567 ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 14.30 น.

ตำรวจกองปราบ หิ้ว ‘เจ๊พัช’ ตบทรัพย์ดิไอคอน ฝากขังศาลทุจริตฯ พร้อมค้านประกัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวน.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ เจ๊พัช ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ ผู้ต้องหาในข้อหา กรรโชกทรัพย์ และการเรียกรับสินบน