สร้างเศรษฐกิจฐานราก ต้องเริ่มจาก”เกษตรกร”กินดี อยู่ดี

การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 น่าจะทำให้ไทยถอดบทเรียนกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี.... เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพิงตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูงเกินไปในทุกเครื่องจักรไม่ว่าจะเป็น การลงทุน ส่งออก ท่องเที่ยว และแม้แต่ภาคเกษตรก็ตาม จำเป็นต้องกลับมาทบทวนใหม่ทั้งสิ้นเพื่อลดพึ่งพิงการส่งออกให้มีความสมดุลกับตลาดภายในเพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

ดังนั้นความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจไทยจึงควรมาจากภายในก่อนและแน่นอนว่า   “ภาคเกษตรกรรม”  ที่มีระบบแรงงานสูงสุดของประเทศจำนวนราว 13 ล้านคนเป็นกำลังแรงซื้อที่สำคัญสำหรับการบริโภคภายในประเทศแล้วยังเป็นฐานการผลิตที่สามารถส่งออกวัตถุดิบภาคเกษตรโดยตรงและต่อยอดไปสู่เกษตรแปรรูปเพื่อการขับเคลื่อนการส่งออกของไทยให้เข้มแข็งได้อีกด้วย

แม้ว่าสังคมไทยจะตระหนักให้คุณค่าว่า เกษตรกรคือกระดูกสันหลังของชาติ และไทยมีต้นแบบจากสังคมเกษตร แต่การพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลับยังคงไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของ เกษตรกร ให้มีความกินดีอยู่ดี มิหนำซ้ำปัจจุบันยังมีหนี้ในระบบในอัตราที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับการพัฒนาประเทศที่จะก้าวไปสู่ยุค 4.0 หากเกษตรกรที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจยังไม่อาจประกอบอาชีพหลักที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เศรษฐกิจฐานรากก็ย่อมไม่อาจเติบโตได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน

วันนี้ไทยกำลังถอยหลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเราจึงต้องติดตามนโยบายเพื่อเกษตรกรให้มาก....เพราะเชื่อว่าจากนี้แต่ละพรรคน่าจะทยอยออกมา....แต่สำหรับผู้เขียนได้ติดตามกูรูหลายคนที่มีมุมมองการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยหนึ่งในนั้นที่ต้องคอยส่อง Facebook หรือข่าวสาร คือ “ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน”ที่จะเขียนมุมมองและข้อเสนอแนะดีๆ ออกมาต่อเนื่อง

โดยเฉพาะการดูแลเศรษฐกิจฐานรากซึ่งก่อนหน้าได้ย้ำให้เห็นถึงปัญหาตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)หรือหนี้เสียในระบบของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ที่จ่อหัวว่า” ความไม่ยุติธรรมในภาคเกษตร”โดยระบุว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 3.7% ในปี 2563 เป็น 6.63% ในปี 2564 ซึ่งถ้าย้อนไปดูคำชี้แจงของผู้บริหารเมื่อสิ้นปีบัญชี 2564 ก็ระบุว่าในปีบัญชี 2565 ได้ตั้งเป้าหมายที่จะบริหารจัดการให้หนี้เสียปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 4.5% ของสินเชื่อรวม แต่เพียงแค่ครึ่งปีแรกของปี 2565 หนี้เสียต่อสินเชื่อรวมพุ่งไปอยู่ที่ระดับ 12.5% และผู้บริหารธนาคารยังคาดว่าสิ้นปีบัญชี 2565 (31 มีนาคม 2566) สัดส่วนหนี้เสียจะลดลงอยู่ที่ประมาณ 7% ไม่ใช่ 4.5% อย่างที่ตั้งเป้าไว้แต่เดิมแล้ว

เมื่อดูตัวเลขสินเชื่อสะสมของเกษตรกรเฉพาะที่ธ.ก.ส. สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทแล้ว  เราก็จะต้องเห็นนโยบายหาเสียง “พักหนี้เกษตรกร” ทุกรอบที่มีการเลือกตั้ง โดยท่านย้ำว่านี่ไม่ใช่วิธีแก้ไขแบบยั่งยืนโดยเสนอ  การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างเอกชนกับเกษตรกร เรียกว่า บริษัทผู้ผลิตร่วม ลงทุนร่วมกัน ฝ่ายหนึ่งลงเงินทุน อีกฝ่ายหนึ่งลงแรง รับความเสี่ยงร่วมกัน กำไรแบ่งกัน ขาดทุนก็รับผิดชอบร่วมกัน จะทำเกษตรอัจฉริยะ จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ จะลดต้นทุน จึงจะขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม และแก้ปัญหาหนี้เกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน

ล่าสุดท่านยังตอกย้ำว่าเศรษฐกิจฐานรากคือความมั่นคงของชาติ โดยชี้ให้เห็นว่าผลกระทบโควิด-19 ทำให้รายได้สําคัญของประเทศลดลง ผู้ประกอบการรายย่อยขาดเงินทุน และประชาชนขาดกําลังซื้อ เศรษฐกิจฐานรากจึงสั่นคลอน  หนทางฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยจึงต้อง “สร้างและซ่อมเศรษฐกิจฐานราก” ที่ท้องถิ่นและชุมชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมที่เอื้อต่อการเพิ่ม “มูลค่าและคุณค่า” ให้กับเศรษฐกิจฐานราก เช่น การแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่า อุตสาหกรรมอาหารและเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพภายใต้ BCG โมเดล (Bio,Circular,Green Economy)  รวมทั้งการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เน้นคุณภาพแทนปริมาณ

การสร้างและซ่อมเศรษฐกิจฐานราก ต้องดำเนินการด้วยการ “เติมทุน เติมทักษะ เติมรายได้” ต้องเติมทั้งสามอย่าง จึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เติมทุนอย่างเดียว ไม่ว่าจะดำเนินการผ่านธนาคารของรัฐหรือกองทุนหมู่บ้าน แต่ไม่เติมทักษะใหม่ ก็ไม่สามารถเติมรายได้ให้ผู้ประกอบการในเศรษฐกิจฐานรากได้

ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มกำลังซื้อที่ระดับท้องถิ่นและชุมชน ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งส่วนมากจะเป็นอาชีพอิสระ ที่รัฐสามารถเข้าไปดูและสวัสดิการของผู้ประกอบอาชีพอิสระกลุ่มต่างๆ รวมไปถึงสวัสดิการสำหรับกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้เขาเหล่านี้มีกำลังซื้อเพียงพอสำหรับสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน ดังนั้นสร้างบ้านต้องเริ่มที่ฐานราก เศรษฐกิจฐานราก คือ ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย…..นับเป็นมุมมองที่ดีและจะดียิ่งกว่าหากนำไปสู่ภาคการปฏิบัติ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เทวฤทธิ์ -กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่ เสรีนิยมก้าวหน้า ปฏิรูปสภาสูง

สมาชิกวุฒิสภา(สว.)ชุดปัจจุบัน 200 คน จะประชุมร่วมกันนัดแรกในวันอังคารนี้ 23 ก.ค. โดยมีระเบียบวาระสำคัญที่จะให้สว.ทั้งหมดร่วมกันประชุมลงมติ นั่นก็คือ

“ศาสนกิจในอินเดีย .. ณ นครปูเน่” น้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๗๒ พรรษา ๒๘ ก.ค.๖๗ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่ นครปูเน่ รัฐมหาราษฏระ อินเดีย เพื่อติดตามความก้าวหน้าของการสร้างวัดแห่งแรกของชาวพุทธในอินเดีย

อังคณา สว. 2567 ภารกิจ-สิ่งท้าทาย สภาสูง กับโมเดลข้อเสนอ สภาเดี่ยว

การทำงานของสมาชิกวุฒิสภาชุดล่าสุด ที่เรียกกันว่า "สว. 2567" กำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ คาดหมายกันว่า การนัดประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือก

บทธรรมถวายเป็นพระราชกุศล .. ในมหามงคลครบ ๖ รอบ “ราชธรรม .. สู่การเปลี่ยนผ่านของประเทศไทย” (ตอนที่ ๗)

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. พระพุทธเจ้าได้ตรัส หลักการปกครองตามแบบธัมมิกสูตร ว่า..

ดร.มานะ-ว่าที่ สว. 2567 ความเป็นอิสระไม่มีอยู่จริง เรื่องใบสั่งก็คงมีบ้าง ไม่มีบ้าง

หนึ่งในผู้ผ่านการคัดเลือก 200 รายชื่อให้เตรียมเข้าไปทำหน้าที่ "สมาชิกวุฒิสภา" (สว.) ชุดใหม่ ที่น่าสนใจ ก็คือ "ดร.มานะ มหาสุวีระชัย อดีต สส.ศรีษะเกษ" ที่เคยสังกัดพรรคพลังธรรมและพรรคประชาธิปัตย์ตามลำดับ

บทธรรมถวายเป็นพระราชกุศล .. ในมหามงคลครบ ๖ รอบ “ราชธรรม .. สู่การเปลี่ยนผ่านของประเทศไทย” (ตอนที่ ๖)

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ได้เขียนคำกล่าวสอนใจไว้บทหนึ่งว่า.. ถึงมีอำนาจ วาสนา สักปานไหน