บรรยากาศการเมืองวันนี้…ทำให้ผมหวนรำลึกถึงบรรยากาศของการทำงานในอดีต เมื่อสัก 30-40 ปีที่แล้ว…ซึ่งก็มีบริบททางการบ้านการเมืองคล้ายๆกับบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองทำนองเดียวกันกับที่กำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเราทุกวันนี้…
วันนั้นดูเหมือนว่าอาการของความขัดแย้งจะรุนแรงหนักข้อยิ่งกว่าทุกวันนี้ซะด้วยซ้ำไป…เพราะเป็นความขัดแย้งถึงขั้นใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรงเข้าต่อสู้กัน…ไม่ได้ใช้เวทีรัฐสภา…ไม่ได้ใช้แนวทางสันติวิธีเป็นหลักอย่างในทุกวันนี้
ตอนนั้นพวกเรา..ทุกหมู่ทุกเหล่า…ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจ-ครูบาอาจารย์-นักเรียน นักศึกษา-ประชาชน…เหมือนมีแรงมีพลังบางอย่างดึงดูดพวกเราให้เข้ามาพูดจา-แลกเปลี่ยน-เรียนรู้ทำความเข้าใจและเข้าอกเข้าใจฝ่ายอื่นๆ ด้วยท่าทีที่โอนอ่อนผ่อนปรน ต่างฝ่ายต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน โดยมุ่งให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและใช้เวทีรัฐสภาเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของทุกคนในชาติ
สมัยนั้นผมมีความสนุกกับการทำงานที่มีความสามัคคีปรองดองเป็นเดิมพันอย่างมาก…สนุกกับการได้จัดกิจกรรมต่างๆ ทั้งภายในหน่วยงานและระหว่างหน่วยงาน ทั้งกิจกรรมทางปัญญาที่เป็นสาระ กิจกรรมกีฬาและสันทนาการต่างๆ โดยมุ่งให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีระหว่างรุ่น-ระหว่างวัย และระหว่างหน่วยงาน กระทั่งได้มีโอกาสร่วมกันทำงานให้กับบ้าน-กับเมืองร่วมกัน-ต่อเนื่องยาวนานจนต่างฝ่ายต่างเกษียณจากหน้าที่การงานมาด้วยกัน ด้วยความรัก-ความเข้าใจกันมาตราบจนทุกวันนี้…
ผมจำได้ว่าเรา…แต่ละหน่วยงานจะมีกลุ่ม-ชมรมทางวิชาการ..ทางกีฬาหรือสันทนาการมาผลัดกันเป็นเจ้าภาพ
มีการจัดกิจกรรมสัมนาทางวิชาการโดยเชิญนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ มาร่วมกันถกเถียงแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆของบ้านเมือง โดยไม่มีการแบ่งเพศแบ่งวัย แบ่งการศึกษา แบ่งสถาบัน-แบ่งนักเรียนนอก-นักเรียนใน แบ่งทหาร แบ่งพลเรือน แบ่งข้าราชการการเมือง หรือข้าราชการประจำ…
ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพราะเรารู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน…มีเจ้านายคนเดียวกันคือประชาชน-คือชาติ-บ้านเมือง…
ทุกคน-ทุกฝ่ายพยายามทำหน้าที่ ที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด เป็นมืออาชีพในสาขาวิชาที่ตัวเองถนัด…ไปร่วมแรงกายแรงใจกัน-ช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้เป็นพลังผลักดันประเทศชาติบ้านเมืองให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เสริมขีดความสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆที่รายรอบ กระทั่งบ้านเมืองเจริญเติบโตต่อเนื่องจน GDP ประเทศเติบโตสูงเป็นตัวเลข 2 หลัก และใกล้จะยกระดับเป็นเสือตัวที่ 5 ถ้าไม่ประสบปัญหาฟองสบู่แตกในปี 2540
ว่าที่จริง…วันนี้….ประเทศไทย-สังคมไทยของเราเติบโต-ก้าวหน้ามาไกลมาก…จากวันที่เราเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกเมื่อปี 2504 ความรุนแรงของปัญหาความยากจนในชนบทก็บรรเทาเบาบางลง…เด็กศรีสะเกษไม่ต้องกินดิน…บุรีรัมย์ไม่ต้องตำน้ำกิน-ทุ่งกุลาฯไม่ได้แยกแตกระแหง…คนที่ดอกคำใต้ไม่ต้องเอาลูกมาตกเขียว…
เดี๋ยวนี้เรามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มีหมอมีพยาบาลวิชาชีพคอยบำบัดรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องรักษาตัวตามสุขศาลาเหมือนแต่ก่อน …เรามีถนนหนทาง…มีไฟฟ้า-ประปา มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ทุกภาค…มีกระทั่งสนามบินกระจายไปในหลายๆพื้นที่ตามต่างจังหวัด…
เรามีเด็กที่ได้รับการศึกษาครบ 12 ปีเป็นพื้นฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย…มีเงินกู้ยืมทางการศึกษาสำหรับอาชีวศึกษาจนถึงอุดมศึกษา…เรามีมหาวิทยาลัยกระจายทั่วถึงทั้งภาครัฐ-เอกชนนับร้อยแห่ง…เรามีระบบประกันสังคม…มีระบบบัตรทอง-30 บาทรักษาทุกโรค…มีเบี้ยคนชรา..มีเบี้ยเด็กแรกเกิด
ที่สำคัญความมั่นคงภายใน…ความมั่นคงภายนอกและการเมืองระหว่างประเทศล้วนมีเสถียรภาพและความมั่นคงสูงในทุกด้าน..
สังคมโดยรวมนับว่ามีความมั่นคงมีเสถียรภาพ และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งในมิติทางสังคม มิติทางเศรษฐกิจ และมิติทางความมั่นคง…
เหลือเพียงมิติทางการเมือง การบริหารที่ยังไม่มีเสถียรภาพ..
หนึ่งในสาเหตุแห่งปัญหาของเสถียรภาพทางการเมืองในปัจจุบันของเราก็คือ ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงระหว่างสมาชิกรัฐสภาด้วยกันเอง
พูดให้ชัดก็คือความขัดแย้งรุนแรงระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กับสมาชิกวุฒิสภาที่มีการแบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย และถูกติฉินนินทาว่ามุ่งประโยชน์ของพรรคหรือพวกตัวเองเป็นใหญ่ กระทั่งมองข้ามประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน
เวทีประชุมรัฐสภา แทนที่จะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ในการหาทางออกจากปัญหาข้อขัดแย้งด้วยสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า เพื่อแก้ไขความทุกข์ยากแก่พี่น้องประชาชน กลับถูกนำไปใช้ทิ่มแทงกัน โจมตีกันด้วยถ้อยวาจาที่เกรี้ยวกราด รุนแรง กระทั่งกลายเป็นเวทีของการบั่นทอนบ่อนทำลายพลังของชาติไปอย่างน่าเสียดาย..!
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ ผมก็ยังฝันถึง….บรรยากาศการทำงานดีๆในอดีตที่ผมได้มีโอกาส มีส่วนร่วมกับแทบจะทุกท่าน…และปรารถนาจะให้บรรยากาศของความร่วมแรงร่วมใจได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นในยามนี้ ยามที่บ้านเมืองกำลังบอบช้ำ และประชาชนจำนวนมากกำลังลำบาก
การหลอมความขัดแย้ง การทำละลายความชัง เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังฉุดประเทศขึ้นจากหล่ม แล้วผลักดันให้เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่สิ่งเหลือบ่ากว่าแรง และไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองใดๆ…
แค่เปลี่ยนอารมย์ความรู้สึกเกลียดชัง ให้เป็นความรู้สึกรักและปรารถนาดีต่อกัน แล้วเปิดใจแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่ชุดความรู้ที่จะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยากแก่ประชาชน และช่วยส่องสว่างให้ประเทศหลุดพ้นจากความอึมครึม
สุดท้าย….หากว่าพอจะเป็นไปได้ ในห้วงเวลาไม่กี่เดือนก่อนที่รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฏรจะครบวาระ ผมอยากจะขอวิงวอนให้ผู้หลัก ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ได้โปรดใช้อำนาจวาสนาและบารมี บันดาลให้คณะบุคคลที่มีทัศนะต่างกัน ได้มีโอกาสหันหน้ามาเปิดอกปรับทุกข์กันฉันท์คนไทยด้วยกัน และนำไปสู่การแสวงหาทางออกจากข้อขัดแย้งร่วมกัน ภายใต้กลไก กระบวนการแบบสันติวิธี
หากท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสร้างมิติใหม่หลังกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ด้วยการรับเป็นธุระจัดการการชุมนุมความหลากหลายของทุกขั้วความคิด เพื่อความเป็นเอกภาพในบ้านเมืองก็จะเป็นอะไรที่วิเศษอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ช่วยกันขับเคลื่อนบ้านเมืองอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ให้หลุดพ้นจากกับดักความขัดแย้ง และก้าวสู่ความเจริญพัฒนา บนความผาสุกสวัสดีที่ยั่งยืนต่อไป
เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
วุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลงทุนในทองคำดีไหม
ข่าวที่เราได้เห็นอยู่บ่อยๆ ในปีนี้ ว่าราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก น่าจะทำให้เรารู้สึกว่าเราควรจะลงทุนซื้อทองคำตอนนี้ไว้มากๆ เผื่อเอาไว้ขายทำกำไรได้งามๆ ในอนาคต
เปลี่ยนก้อนหิน เป็นดอกไม้..เปลี่ยนความขัดแย้ง เป็นความปรองดอง หลอมรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย พาประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า…..
ปีแล้วปีเล่าที่ประเทศอันเป็นที่รักของเรา ต้องติดหล่ม จมอยู่กับความขัดแย้ง และทิ่มแทงกันด้วยถ้อยคำกร้าวร้าวรุนแรง แบ่งฝักฝ่ายขว้างปาความเกรี้ยวกราดใส่กัน ด้วยเหตุจากความเห็นที่แตกต่างกัน และช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่หัวใจอย่างยิ่ง
ตลาดหุ้นกู้ กับ การสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
นช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทเอกชนเข้ามาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้กันมากขึ้น ตลาดหุ้นกู้จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีมูลค่าคงค้างราว 4.5 ล้านล้านบาท จำนวนบริษัทที่ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนก็เพิ่มขึ้นมาก ไม่จำกัดอยู่เพียงบริษัทขนาดใหญ่เหมือนแต่ก่อน แต่มีทั้งบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น
โอกาสของการพัฒนาภาคเกษตรไทย
ภาคเกษตรเคยเป็นพระเอกทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นแหล่งอาหารที่เลี้ยงดูประชากรให้มีความอิ่มหนำสำราญ สร้างโอกาสให้คนไปทำงานอื่น ๆ แถมยังสร้างชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศด้วย
โหมโรงของคอร์รัปชันรูปแบบใหม่ในโลกปัจจุบัน
การคอร์รัปชันเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่หยั่งรากลึก แพร่กระจาย และบ่อนทำลายความไว้วางใจที่มีต่อรัฐบาล อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน และขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศในทุกมิติ เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป โลกเข้าสู่ทศวรรษใหม่ การคาดการณ์ถึงวิวัฒนาการของการคอร์รัปชันเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการคอร์รัปชันสมัยใหม่จะทำให้ทุกภาคส่วน สามารถพัฒนามาตรการรับมือที่มีประสิทธิผล
การพัฒนาเด็กปฐมวัย: สำคัญอย่างไร และควรทำอย่างไร?
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ยังเล็กเกินไปสอนอะไรก็ยังไม่ได้ ทำอะไรยังไม่เป็น และต้องรอนานมากกว่าจะเห็นผล? เป็นคำถามที่ผมได้รับมาตลอดช่วงเวลาเกือบสิบปี ที่พยายามพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย สังคมไทยมักให้ความสำคัญกับการเรียนในระดับประถมและมัธยมมากกว่า ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้บุตรหลานได้ติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดังๆ หรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้บริหารการศึกษาระดับประเทศไปจนถึงระดับโรงเรียนจึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย