"พรรครวมไทยสร้างชาติ" ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค คือหนึ่งในพรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ที่ถูกจับตามองทางการเมืองค่อนข้างมากถึงทิศทาง การขับเคลื่อนพรรคในช่วงต่อจากนี้ ไปจนถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคและคีย์แมนคนสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงการขับเคลื่อนพรรคต่อจากนี้โดยเฉพาะการเตรียมเข้าสู่ศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคตว่า ตั้งแต่เปิดตัวพรรครวมไทยสร้างชาติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พรรคได้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง อย่างเรื่องการจัดตั้งสาขาพรรคและการหาสมาชิกพรรค ตามกฎหมายพรรคการเมืองที่ให้พรรคการเมืองต้องมีสาขาในแต่ละภาคหนึ่งสาขา และมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ซึ่งปัจจุบันพรรคมีสมาชิกเป็นหมื่นแล้ว
ขณะที่เรื่องสาขาพรรคได้มีการทยอยเปิด ล่าสุดไปเปิดสาขาที่ชุมพรและสุราษฎร์ธานี หลังจากนี้จะไปเปิดที่ยะลา ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะมีที่พัทลุงซึ่งเป็นพื้นที่ของนายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง ที่เป็นกรรมการบริหารพรรค และหลังจากนี้ก็จะไปเปิดสาขาพรรคในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา รวมถึงพื้นที่โซนฝั่งอันดามัน ทำให้ในที่สุดคงจะมีสาขาของพรรครวมไทยสร้างชาติทุกจังหวัดในภาคใต้ ที่จะเซอร์ไพรส์แต่ต้องรออีกสักพักคือจังหวัดภูเก็ต ซึ่งผมเชื่อว่าวันนี้สำหรับรวมไทยสร้างชาติ ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะเราจะมีความแข็งแรงในจังหวัดที่มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด คือบิ๊กเนมในพื้นที่สนับสนุน เราก็จะมีการดึงนักการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น เช่น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดหรือ ส.จ., นายกเทศมนตรี และแกนนำของมวลชนในพื้นที่ต่างๆ มาซัพพอร์ตเราเป็นจำนวนมาก
คนจะมองว่าเราแข็งแรงที่ชุมพร สุราษฎร์ธานี และพัทลุง ซึ่ง 3 จังหวัดนี้มีระดับบิ๊กที่สุดก็คือนายก อบจ.มาซัพพอร์ต รวมไปถึง ส.จ.และนายกเทศมนตรีอีกจำนวนมาก แต่ที่ผมบอกว่าจะเซอร์ไพรส์คือพื้นที่โซนฝั่งอันดามัน เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติมีศักยภาพที่จะสู้ได้ ไม่แพ้พรรคอื่นอย่างภูมิใจไทยที่มาท้าชิง หรือจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ก็แล้วแต่ หลายจังหวัดในภาคใต้ยืนยันได้ว่าตัวผู้สมัครวันนี้มีความพร้อม ถ้าเปิดตัวมาผมคิดว่าประชาชนให้การต้อนรับ จะต้องชอบแน่นอน
-ทำไมดูเหมือนเน้นไปที่ภาคใต้อย่างเดียว ในส่วนของพื้นที่อื่นเช่น กรุงเทพมหานคร และภาคอื่นๆ มีการเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง?
แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้นต้องบอกว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเรามีฐานกำลังสำคัญอยู่ในพื้นที่ภาคใต้, กรุงเทพฯ และภาคกลาง ใน 3 โซนนี้ต้องถือว่าเป็นพื้นที่เป้าหมาย เราตั้งใจจะเอาชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งเลย ซึ่งบางคนบอกว่าต้องเอาคะแนนบัญชีรายชื่อมารวมกัน เก็บเอาคะแนนตกน้ำ เอาคะแนนปัดเศษ-ไม่ใช่ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติมีเป้าหมายชนะในเขตเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเรามีเป้าหมาย เราจะไปสรรหาเอาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบเขตที่มีศักยภาพในเขตเลือกตั้ง โดยต้องมีเครือข่ายที่เข้ามาสนับสนุนตัวผู้สมัครและพรรครวมไทยสร้างชาติ
อย่างที่ผมบอก 3 โซน คือภาคใต้ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร โดยในส่วนของกรุงเทพฯ พรรคเราเตรียมคนที่จะส่งลงสมัครระบบเขตไว้แน่นอนแล้ว เพราะในพรรคเอง หัวหน้าพรรค คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็เคยเป็นอดีต ส.ส.กทม.หลายสมัย ผมเองก็เป็น ส.ส.กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี
อันนี้ยังไม่นับรวมที่จะมีผู้สมัครที่เป็น ส.ส.ซึ่งจะย้ายพรรคมาอยู่ที่รวมไทยสร้างชาติ แต่ตอนนี้ยังเปิดชื่อไม่ได้ รวมถึงผู้สมัครที่พรรคเตรียมไว้ คือพวกเราเข้าใจความต้องการคนกรุงเทพฯ ดี เพราะการจะไปนำนักการเมืองท้องถิ่น อย่างนายกเทศมนตรีหรือ ส.จ.เข้ามา พื้นที่ กทม.ไม่มีในส่วนนี้ เราจึงไปดึงนักธุรกิจหรือคนนอก ที่เดิมอยู่นอกวงการการเมือง แต่ประสบความสำเร็จในอาชีพของเขา และมีความสนใจที่จะทำการเมือง พูดง่ายๆ คือเป็นคนหน้าใหม่ รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีโปรไฟล์ดี พรรคจะนำมารวมกับกลุ่ม ส.ส.เดิม เพื่อสร้างทีมกรุงเทพฯ ของพรรคขึ้นมา อย่างไรก็ตามสำหรับผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต กทม. ขอให้อดใจรออีกสักระยะ คงจะเปิดตัวทีหลัง ก็ยืนยันได้ว่าพื้นที่ กทม. พรรคส่งคนลงสมัครแน่นอนและสู้ด้วย
และหลังจากการรุกพื้นที่ในภาคใต้แล้ว พื้นที่ต่อไปที่เราจะรุกหนักก็คือภาคกลาง ซึ่งภาคกลางโดยเฉพาะในโซนตะวันตก เราจะมีฐานกำลังที่เรียกได้ว่าผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ และว่าที่ผู้สมัครที่เปิดตัวมาแล้ว ผมว่าทั้งสื่อทั้งวงการก็ต้องรู้จัก โดยไล่ไปเรื่อยตั้งแต่จังหวัดนครปฐม, ราชบุรี, กาญจนบุรี, สมุทรสงคราม, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี
โดยสรุปก็คือพื้นที่จากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันตก ทางด้ามขวานลงไปถึงภาคใต้จนถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักของเรา
อย่างไรก็ตาม พื้นที่อื่นๆ เช่น ภาคเหนือ ก็มีคนติดต่อสนใจอยากจะลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ผมคิดว่าเปิดตัวมาเอาว่าในวงการต้องตีว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีลุ้นไม่ต่ำกว่า 4-5 คน มีแน่นอน ซึ่งพูดชื่อไปคนก็รู้จัก
การันตีผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต
มานิ่งๆ แต่แรงแบบคลื่นใต้น้ำ
เอกนัฏ-เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อไปว่า จากการที่กติกาการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 คือจะใช้ระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดปัจจัยที่จะทำให้โหวตเตอร์ตัดสินใจเลือก 2 ใบ ทั้งผู้สมัคร ส.ส.ในเขตเลือกตั้งและพรรค จะปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวผู้สมัครและเครือข่าย ผู้สนับสนุนของผู้ลงสมัครในพื้นที่มีความสำคัญมากๆ คือต้องเน้นเลยว่าเที่ยวนี้สำคัญมากๆ เพราะฉะนั้นในส่วนคะแนนความนิยมในตัวพรรค หรือกระแสนิยมในพรรคภาพใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ การคัดสรรตัวผู้สมัครและการสร้างเครือข่ายผู้สนับสนุนในพื้นที่
"ผมคิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะมาแบบเป็นคลื่นใต้น้ำ คือมาแบบนิ่งๆ แต่เปิดตัวมาอีก 1-2 เดือน ผมว่าแรงแน่นอน เพราะว่าวันนี้เรามีคนเหล่านี้อยู่ไม่ต่ำกว่า 30-40 คนที่รอเปิดตัว ก็ต้องยอมรับว่าเราอาจเสียเปรียบพรรคการเมืองอื่น เพราะบางคนตอนนี้เขายังเปิดตัวไม่ได้เพราะว่ายังเป็น ส.ส.อยู่ เลยต้องรออีกระยะ ในอีกไม่กี่อึดใจ แต่ว่าคนที่เราเปิดมา ผมว่าทางสื่อต้องรู้จัก ในวงการก็ต้องรู้จักว่าคนเหล่านี้เอาชนะได้แน่นอน และก็ไม่ใช่เบอร์ 2 เบอร์ 3 เราจะคัดเอาแบบเบอร์ 1 หรือดาวรุ่งมาทั้งนั้น"
-พรรครวมไทยสร้างชาติเน้นคาดหวังกับการได้ ส.ส.ระบบเขตเป็นหลัก?
เอา ส.ส.เขตเป็นหลักเลย ในวันนี้ผมกับหัวหน้าพรรค ยังไม่ได้คุยกันเรื่องบัญชีรายชื่อ ซึ่งเราก็ไม่เคยเปลี่ยน เพราะตั้งแต่คุยกับหัวหน้าพรรค คุณพีระพันธุ์เรื่องการตั้งพรรค เราตั้งใจสู้ให้ชนะในเขตเลือกตั้งตลอด เพราะตัวหัวหน้าพรรคกับผมเองแจ้งเกิดจากการเป็น ส.ส.ในระบบเขตเลือกตั้ง เห็นความสำคัญว่าการเมืองหรือพรรคการเมือง จุดเริ่มต้นควรจะมาจากฐานของประชาชน ก็ต้องไปสรรหาเอาตัวผู้สมัครที่สามารถเอาชนะใจประชาชนในพื้นที่ได้
ส่วนตัวของผมไม่ชอบระบบบัญชีรายชื่อ ถ้าวันนี้พรรคไม่บังคับ ผมเองเผลอๆ ลงสมัครระบบเขตด้วย เพราะว่าชอบระบบเขต คิดว่า ส.ส.ในเขตเลือกตั้งมีความเชื่อมโยงยึดโยงกับประชาชน อยากให้การเมืองจะเรียกว่าภาพใหญ่หรือพรรคการเมือง ควรจะเริ่มต้นจากตรงนี้ สร้างจากข้างล่างสร้างจากฐานที่มั่นคง นั่นคือความต้องการของเรา ส่วนบัญชีรายชื่อ ผมคิดว่าเมื่อคนมีความศรัทธาในตัวผู้สมัครและในตัวพรรค
นอกจากเรื่องการเฟ้นหาผู้สมัคร ส.ส.และการสร้างเครือข่ายเพื่อจะเอาชนะในเขตแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การนำเสนอนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาของประชาชน
สำหรับรวมไทยสร้างชาติ ผมว่าชัดเจนมาก คือเราให้ความสำคัญกับการแก้กฎหมาย โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค คุณพีระพันธุ์ เป็นอดีตผู้พิพากษา แล้วก็ลาออกจากผู้พิพากษามาเป็นผู้แทนราษฎร ซึ่งในขณะเป็นผู้แทนราษฎรก็มีผลงานในเรื่องของการผลักดันการออกกฎหมายหลายฉบับ เป็นผู้นำที่มี ความตั้งใจที่จะพลิกโฉมประเทศด้วยการสังคายนาแก้กฎหมาย เพราะว่าการแก้กฎหมายสำหรับพวกเรามันเป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศ ทำได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
คือปกติในมุมเศรษฐศาสตร์ที่บอกไม่มีอะไรได้มาฟรี แต่การแก้กฎหมาย ใช้กฎหมายเป็นตัวนำการเปลี่ยนแปลง เป็นการลงทุนที่ได้มาโดยไม่เสียอะไร คือได้มาฟรีๆ และควรจะแก้ด้วย เพราะถ้าเปรียบเทียบนักการเมืองแต่ละฝ่าย แต่ละพรรคเข้ามาถามว่าจะเปลี่ยนยังไง เปลี่ยนโดยการเอาเงินมาทุ่ม เอาเงินมาสร้าง เอาเงินมาพัฒนา เงินมาจากไหน เงินมาจากภาษีประชาชน นักการเมืองทุกคนมีต้นทุนเดียวกัน ใช้ทุนเดียวกัน คือทุนที่มาจากภาษีประชาชนที่ไม่ได้มีอะไรต่างกันเลย
ผมอาจจะพูดว่าฝั่งผมมีทุนเท่ากัน ผมสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าด้วย เพราะผมมั่นใจว่าผู้นำและนักการเมืองในพรรครวมไทยสร้างชาติไม่โกง เพราะฉะนั้นเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากประชาชนจะนำกลับมาทำการพัฒนา แล้วก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของประชาชน เอามาทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น แล้วเราแม่นด้วย เพราะเรามีประสบการณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกว่าทุนหลัก คือ การแก้กฎหมาย หลายเรื่องปัญหาของประชาชนวันนี้ที่มันถูกสะสมหมักหมมมานาน เกิดจากการไม่แก้กฎหมายหรือแก้แบบไม่จริงจัง จะเป็นเรื่องของปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาหนี้สิน รวมไปถึงปัญหาพืชผลการเกษตร และอีกหลายปัญหา เช่นการกระจายอำนาจ การกระจายความเจริญ ทุกอย่างถ้าเราจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มต้นจาก การสังคายนากฎหมายให้มันเอื้ออำนวยกับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น
มั่นใจได้ ส.ส.เกิน 25 เก้าอี้
ดัน 'พีระพันธุ์' ชิงนายกฯ
-ในฐานะเลขาธิการพรรค คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์หลังการเลือกตั้งกี่เก้าอี้?
คนถามผมเยอะมาก ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง คือจะไม่ตอบเดี๋ยวก็หาว่าเราไม่ตอบ แต่ว่าผมอยากจะสร้างพรรค อย่างที่ผมบอกว่าถึงแม้จะเป็นพรรคใหม่ เราอยากจะสร้างพรรคให้เป็นสถาบันที่พึ่งของประชาชนให้ได้ในอนาคต รวมคงต้องใช้เวลาในการสร้าง เราสร้างใหม่ก็จริง แต่สร้างอย่างมั่นคง เพราะฉะนั้นผมก็รวบรวมไปคัดสรรเอาอย่างที่บอกตัวผู้สมัคร แล้วก็สร้างเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ เก็บเล็กผสมน้อย รวบรวมทีละคน วันนี้ที่เปิดเผยไปบางส่วน และส่วนมากที่ยังไม่เปิดชื่อกับสาธารณะ วันนี้มีเรียกได้ว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่เราเชื่อว่ามีศักยภาพในการเอาชนะการเลือกตั้งก็มี 30-40 คนขึ้นไปแล้ว ณ วันนี้ แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.กี่คน ก็อยู่ที่ว่าประชาชนจะเลือกเข้ามากี่คน แต่พรรคมีผู้สมัครที่ดีพอสมควร เราเป็นพรรคใหม่ค่อยๆ เก็บไปเรื่อยๆ วันนี้มีตัวว่าที่ผู้สมัครที่มีความพร้อม มีเครือข่ายผู้สนับสนุนที่แข็งแรงมั่นคงในพื้นที่ วันนี้ไม่ต่ำกว่า เอาว่า 40 คนขึ้นไป เรามี ส่วนคนเหล่านั้นจะสามารถเอาชนะได้กี่ที่ หรือบัญชีรายชื่อจะได้กี่คน ก็แล้วแต่ประชาชนแล้ว
หากรวมไทยสร้างชาติได้ ส.ส.หลังเลือกตั้งเกิน 20 ที่นั่ง ส.ส.ของพรรค ก็มีโอกาสไปผลักดันกฎหมายที่เรากำลังจะนำเสนอต่อประชาชนได้ แต่หากได้ ส.ส.เกิน 25 คน ก็ทำให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรครวมไทยสร้างชาติมีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากมี 30-50 คน แม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่ก็จะถือว่าสเต็ปไปอยู่ในกลุ่มของพรรคขนาดกลางที่จะสามารถผลักดันแนวนโยบายในการแก้กฎหมายที่เราให้ไว้กับประชาชน ก็เป็นสเต็ปไป แต่ผมมั่นใจว่าเราได้เกิน 25 ที่นั่ง แต่จะเพดานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ประชาชน
-หากสุดท้าย กติกาเลือกตั้งออกมาคือใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบและ 100 หารปาร์ตี้ลิสต์ จะมีผลกับพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ เพราะคนมองว่ากติกาดังกล่าวไม่เอื้อกับพรรคตั้งใหม่ พรรคที่ยังมีแฟนคลับไม่มาก?
คนที่เขาประเมินเขาคงจะประเมินไปได้ แต่ว่าผมกับหัวหน้าพรรคและคนในพรรค ตั้งแต่ตั้งพรรคมาแต่แรกเลย คือตั้งใจว่าเอาชนะที่เขตเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นกติกามาแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นหาร 500 หรือหาร 100 จะบัตรใบเดียวหรือบัตร 2 ใบ เราสู้ได้หมด เพียงแต่เข้าใจว่าวันนี้คนในสาธารณะอาจจะยังสัมผัสถึงกระแสไม่ได้ เพราะตัวผู้คนสมัครเหล่านั้นเรายังไม่ได้เปิด แต่ก็ใกล้แล้ว ผมว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนเดี๋ยวก็เห็นเอง ขอให้อดใจรออีกสักระยะหนึ่ง
-จุดแข็งหรือจุดขายของหัวหน้าพรรคคืออะไร ที่จะชูในช่วงหาเสียง เพราะคนมองว่าประชาชนอยากได้คนที่จะเป็นมือเศรษฐกิจมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ?
วันนี้ต้องยอมรับว่าอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจยังมีโอกาสอยู่ เราเห็นประเทศ เช่นสิงคโปร์ที่สามารถพลิกโฉมประเทศ จนในที่สุดขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำ เป็นประเทศผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ และประชาชนในประเทศก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพลิกโฉมได้ด้วยการแก้สังคายนากฎหมาย และด้วยมือของนักกฎหมาย
คุณพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้นำที่มีความหนักแน่นมั่นคง เป็นนักการเมืองที่สุจริต ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น ส.ส.หลายสมัย เป็นอดีต รมว.ยุติธรรม เป็นอดีตผู้พิพากษา เป็นคนหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์ในการใช้กลไกของกฎหมายในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพลิกโฉม เปลี่ยนแปลงของประเทศให้ดีขึ้น มีความคิดที่จะวางรากฐานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เราอาจจะมองไม่เห็น
โครงสร้างพื้นฐานส่วนหนึ่ง คือ ถนน ราง สนามบิน แต่อีกส่วนหนึ่งคือ Soft Infrastructure คือกฎกติกา กฎระเบียบของบ้านเมือง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง สังคายนาเพื่อให้ประเทศมันสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ประเทศจะดีได้ต้องมีกฎกติกาที่เอื้ออำนวยกับการทำมาค้าขาย รัฐบาลไม่ต้องมาค้าขายแข่งกับเอกชน เพราะเอกชนเก่งกว่า แต่ต้องเขียนกฎหมายออกมาให้เขาค้าขายได้สะดวก ติดปีกเสริมอาวุธให้ผู้ประกอบการประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ทำให้เอกชนสามารถแข่งขันกับคู่แข่งของเขาที่มาจากประเทศอื่น ภูมิภาคอื่นได้ ถ้าบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มีรายได้เข้าประเทศ ก็ต้องวางกฎกติกาเพื่อกระจายเม็ดเงินไปดูแลประชาชน
พรรครวมไทยสร้างชาติจะมาแบบเป็นคลื่นใต้น้ำ คือมาแบบนิ่งๆ แต่เปิดตัวมาอีก 1-2 เดือน ผมว่าแรงแน่นอน วันนี้เรามีคนเหล่านี้อยู่ไม่ต่ำกว่า 30-40 คนที่รอเปิดตัว ก็ต้องยอมรับว่าอาจเสียเปรียบพรรคการเมืองอื่น เพราะบางคนตอนนี้เขายังเปิดตัวไม่ได้เพราะยังเป็น ส.ส.อยู่ ต้องรออีกระยะ ในอีกไม่กี่อึดใจ แต่ว่าคนที่เราเปิดมา ผมว่าทางสื่อต้องรู้จัก ในวงการก็ต้องรู้จักว่าคนเหล่านี้เอาชนะได้แน่นอน และก็ไม่ใช่เบอร์ 2 เบอร์ 3 เราจะคัดเอาแบบเบอร์ 1 หรือดาวรุ่งทั้งนั้น
เรื่องเศรษฐกิจในมุมของการเมืองคือปากท้อง อย่างผมเองก็เรียนด้านเศรษฐศาสตร์มา โดยหากพูดถึงภาพรวมกลไกมีเยอะ มีทั้งแบงก์ชาติ ตลาดหุ้น ตลาดทุน รวมถึงผู้ประกอบการเอกชน แต่ในมุมของรัฐบาล เศรษฐกิจคือปากท้องของประชาชน ซึ่งคนที่จะเข้าใจและสามารถไปดึงทรัพยากรต่างๆ มาดูแลประชาชนในยามยากลำบากแบบนี้ รวมถึงวางรากฐานการเจริญเติบโตของประเทศ ซึ่งตอนนี้เศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลกต่างก็ประสบปัญหากันหมด แต่กลายเป็นว่าภูมิภาคเรา โดยเฉพาะประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศแห่งโอกาส เราต้องวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาประเทศ และวางกฎกติการะเบียบต่างๆ เพื่อดึงนักลงทุนให้เข้ามาสู่ประเทศให้ได้ ที่ผมเชื่อว่าหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติมีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ที่จะทำตรงนี้ให้มันเกิดขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่สู้กับคนอื่นได้แน่นอน เพราะอย่างคุณพีระพันธุ์เปรียบไปก็เหมือน product ที่ไม่เคยถูกนำมาขายมาก่อน เพราะพอเราอยู่ในความยากลำบาก และคิดว่าปัญหาคือเรื่องเศรษฐกิจในภาพใหญ่ แต่ต้องดูว่ากี่ครั้งแล้วที่เรานำคนที่คิดว่าเป็นมือเศรษฐกิจเข้ามา แต่ก็แก้ได้บ้าง แก้ไม่ได้บ้าง แก้แบบไม่ขาด แก้แบบไม่ทันใจ ไม่ถูกใจประชาชน
วันนี้เราควรต้องคิดใหม่ เพราะเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ เช่นการขึ้นหรือไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย การจัดเก็บภาษีต่างๆ เรื่องเหล่านี้เป็นงานพื้นฐานที่ทุกคนต้องทำ ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องคิดเรื่องเหล่านี้ ซึ่งจริงๆ ก็หาคนมาช่วยก็ได้ แต่ควรจะลองเปลี่ยนมุมดู หรือไม่ว่าเราควรจะมาแก้กฎหมาย มาสังคายนากฎหมาย กฎกติกา ระเบียบของประเทศกันเสียที ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำแล้วเสียเวลา เพราะอย่างอื่นก็ดำเนินการไปได้ แต่ควรมาคิดกันเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมา 50-60 ปี ไม่เคยมีความคิดที่จะแก้กฎ ระเบียบ สังคายนากฎหมายกันเลย หรือถ้าเคยคิดก็ไม่เคยมีการทำอย่างจริงจัง มันควรต้องมีการทำจริงจัง ผลักดันให้สำเร็จกับคนที่เข้าใจ จากผู้นำที่มีความตั้งใจจะผลักดันตรงนี้ และต้องมีกำลังคือมี ส.ส.ในสภา เพื่อเป็นกำลังให้กับพรรค และผู้นำพรรคไปผลักดันการแก้กฎหมาย กติกาต่างๆ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน และเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อเสริมอาวุธและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการของประเทศได้แข่งขันกับคู่แข่งขันจากต่างประเทศ โดยใช้อำนาจของ ส.ส.ที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนของประชาชนในการแก้กฎหมาย สังคายนากฎหมาย
เราควรต้องทำตรงนี้อย่างจริงจังสักทีดีไหม เพราะเราเสียเวลามาเยอะมากแล้ว 40-50 ปีที่ผ่านมา ลองย้อนกลับไปดูว่าเคยมีจังหวะไหนหรือไม่ ที่เราจะมาคิด จะมาสังคายนากฎระเบียบของบ้านเมืองอย่างจริงจังสักครั้ง โดยเรื่องนี้ไม่ได้มีผลเฉพาะกับเรื่องปากท้อง แต่มีผลถึงการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมด้วย เพราะหากเราต้องการสร้างสังคมที่เป็นธรรม เราก็ต้องมีกฎ กติกา ที่ทำให้ทุกคนอยู่กันอย่างเท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่นการศึกษา การสาธารณสุข โดยผ่านการแก้กฎหมาย ปรับกติกาให้เหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อสิ่งเหล่านี้เพื่อประชาชน
เรื่องนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ มองว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้ด้วยการพลิกโฉม การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ด้วยการแก้ไขกฎหมาย ตรงนี้คือแกนหลักของนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยการแก้ไขกฎหมายมีหลายมิติ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เช่นการอำนวยความสะดวกให้คนทำมาค้าขายได้คล่อง แก้กฎหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้แข็งแรงพอจนไปแข่งขันในเวทีโลกได้ รวมถึงการดูแลปัญหาปากท้องของประชาชน เช่นเรื่องการสร้างรายได้จากพืชผลการเกษตร โดยรักษาราคาสินค้าเกษตรให้คงที่ หรือเรื่องปัญหาหนี้สินของประชาชน การทำให้ต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชนลดลง เช่นปัญหาน้ำมันแพง ปุ๋ยแพง แล้วก็กระจายความเจริญกลับไปสู่ประชาชน โดยเรื่องการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นก็ต้องไปดูว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะตกไปถึงประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ จึงต้องมีการวางกฎกติกาให้ความเจริญเหล่านั้นถูกกระจายไปถึงประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อให้การพัฒนาดังกล่าวเป็นไปอย่างยั่งยืน
-หากมี ส.ส.หรือนักการเมืองเกรดเอ เกรดบี บอกสนใจเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่มีเงื่อนไขของเงินใช้ตอนเลือกตั้ง เช่น ห้าล้านบาท สิบล้านบาท ขอค่าใช้จ่ายต่างๆ?
เราไม่ทำการเมืองแบบนั้น และผมคิดว่าการไปแบ่งเกรด ส.ส.ไม่ใช่เรื่องง่าย คอยดูการเลือกตั้งเที่ยวนี้ ไม่ใช่ว่าบอกว่าตอนนี้เป็น ส.ส.อยู่แล้วเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกครั้ง ไปดูตัวเลขและสถิติได้ จะพบว่าในอดีต ในประวัติศาสตร์ อย่างการเลือกตั้งปี 2562 พรรคใหม่ได้ ส.ส.เข้าสภามาแบบครึ่งต่อครึ่ง จะพบว่าจะมี ส.ส.ใหม่เกิดขึ้นในทุกการเลือกตั้ง มีการเปลี่ยนแปลงตัว ส.ส.ในสภาไม่ต่ำกว่า 30-40 เปอร์เซ็นต์หลังการเลือกตั้งทุกครั้ง เผลอๆ การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นที่มีการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวเป็นบัตรสองใบ ผลเลือกตั้งออกมา ส.ส.ในสภาอาจเปลี่ยนเกินครึ่ง การจะแข่งขันกันต้องดูอย่างละเอียดและต้องมีความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูล การเลือกตัวคน มีการดำเนินการสร้างเครือข่าย สร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
เพราะฉะนั้นการแบ่งเกรดผู้สมัครเป็นแบบเกรดเอ เกรดบี เกรดซี ทำได้ยาก และผมไม่คิดว่าเรื่องตัวเงินที่จะนำมาเป็นปัจจัย ผมไม่เห็นว่ามันจะนำได้อย่างไร โดยผมให้ความสำคัญกับเรื่องความคิดและจิตใจของคนมากกว่าในการประเมินตัวผู้สมัคร รวมถึงความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ เพราะเรื่องแบบนั้น ผมว่ามันไม่ใช่ เพราะถ้าเราจะทำการเมืองให้ดีจริงๆ เราต้องหานักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่เขามีใจที่อยากจะทำงานให้กับประชาชน และสามารถเอาชนะใจของประชาชนได้ ซึ่งการเอาชนะใจมันไม่ใช่การมีเงินแล้วไปซื้ออะไรได้แบบนั้น เราคิดว่าเรื่องใจ แนวคิด อุดมการณ์เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงต้องสรรหาคนที่มีศักยภาพ เป็นนักการเมืองมืออาชีพ เพราะคนดีๆ ที่พร้อมจะขับเคลื่อน พร้อมจะสู้แม้จะเสียบเปรียบเพราะอีกฝั่งมีเงินมากกว่า ซึ่งจริงๆ นักการเมืองที่มีอุดมการณ์ก็มี เราก็หวังว่ารวมไทยสร้างชาติจะไปหลอมรวม รวบรวมเอาคนเหล่านั้นมาร่วมกันทำงานให้กับประชาชนได้ เพราะถ้าจะทำการเมืองให้ดี เราก็ต้องเชื่อว่าเราทำให้มันดีได้
-การออกมาตอกเสาเข็มการเมือง ตั้งพรรคการเมืองใหม่เองแบบนี้ มีความเสี่ยงทางการเมืองหรือไม่ เพราะหากสุดท้ายไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้จะกลายเป็นพรรคการเมืองเฉพาะกิจหรือไม่?
เราอาสาจะมาเป็นนักการเมืองที่ดี ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ประชาชน ต้องไม่ติดยึดกับเรื่องแพ้ชนะ หรือการสู้รบแบบว่าต้องได้ ส.ส.กี่คน ต้องชนะเลือกตั้งกี่เขต คำถามที่เราต้องถามตัวเองตลอดเวลา เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ ชนะแล้วได้อะไร บางคนบอกว่าอยากได้ ส.ส.สัก 20 คน หรือ 40-50 คน แต่หากได้มาแล้วต้องดูว่าจะทำให้ประเทศจะดีขึ้นได้อย่างไร ปัญหาอะไรที่ยังไม่เคยได้รับการแก้ไข จะได้รับการแก้ไข เรื่องการแก้ไข สังคายนากฎ กติกา กฎหมาย เราจะมีกำลังพอที่จะทำได้หรือไม่ ตามคำมั่นสัญญาที่เราเคยให้ไว้ มันไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะ แต่ที่สำคัญกว่าคือชนะแล้วได้อะไร ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นประโยชน์ เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำ เราจะทนยอมกับความคุ้นชินกับสิ่งเดิมๆ กับความสบายใจ กับความสะดวกแบบเดิมๆ มันคงไม่ได้
อย่างน้อยที่สุด จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผมได้เรียนรู้คือ การเปลี่ยนแปลงไม่เคยได้มาง่ายๆ ต้องแลกมาด้วยความลำบาก ความอดทน ความเสี่ยง เพราะหากอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ต้องเสี่ยงอะไร ก็สบาย ก็อยู่กันต่อไป เพิ่มอายุราชการไปเรื่อยๆ ก็ไม่เสี่ยงอะไร แต่ก็ไม่ได้อะไรเช่นกัน แน่นอนสิ่งที่เรามาทำ หากต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น แล้วเราให้คำมั่นสัญญาว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกโฉมประเทศเลย ทำให้ดีขึ้น ชัยชนะของเราต้องเป็นชัยชนะของประเทศ ชัยชนะของประชาชน มันก็ต้องมีความเสี่ยงแน่นอน แล้วก็ต้องรับความเสี่ยงตรงนั้นให้ได้ แต่สำหรับผม กับความเสี่ยงของคนหนึ่งคน เช่นกับผมหรือหัวหน้าพรรค พี่ๆ ที่มาร่วมก่อตั้งพรรค มันคุ้มแล้วกับสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น คือเสี่ยงแล้วในที่สุด ถ้าเรามีโอกาสที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการได้ ก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างมากสุด คนที่จะมีปัญหาก็ตัวผมเอง เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร แล้วไปดูประวัติชีวิตผมได้ ผมสู้มาตลอดชีวิต ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ดังนั้นหากจะสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง มันก็ต้องเสี่ยง ต้องเสียสละ.
เอาเป็นว่าตั้งแต่ทำพรรคมา ผมยังไม่เคยคุยกับพลเอกประยุทธ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว คนระดับเลขาธิการพรรค ถ้ายังไม่ได้คุย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง..มีบางคนบอกว่า รวมไทยสร้างชาติก็จะไปควบรวมกับพรรคการเมืองอื่น ถามว่าใครจะมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อรอจะไปควบรวมกับพรรคอื่น มันไม่ใช่…
เดินหน้าเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้ง
ไม่มีรอไปรวมพรรคการเมืองอื่น
ที่ผ่านมาตั้งแต่ยังไม่มีการเปิดตัว-ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เห็นปัจจุบัน พรรครวมไทยสร้างชาติก็ถูกจับตามองทางการเมืองว่าจะเป็นพรรคการเมืองในเครือข่ายขั้วอำนาจ 3 ป. เพื่อเป็นพรรคพันธมิตรการเมืองกับพลังประชารัฐ โดยเฉพาะถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับทางการเมืองให้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หากเกิดปัญหาขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรก็ตาม ทางพลเอกประยุทธ์และแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่างออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องทางการเมืองดังกล่าวหลายครั้ง แต่เมื่อเราพูดคุยกับ เอกนัฏ-เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ แน่นอน เราไม่ถามเรื่องนี้คงไม่ได้
โดยเมื่อถามย้ำว่า หากพลเอกประยุทธ์ยังคงจะอยู่ในการเมืองต่อ โดยจะไปลงเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ ในส่วนของรวมไทยสร้างชาติพร้อมจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์หรือไม่ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ยังไม่คิดถึงเรื่องนี้ เพราะวันนี้หน้าที่ของเราคือการไปเฟ้นหาตัวผู้สมัคร ส.ส. ไปสร้างเครือข่าย นำเสนอแนวนโยบายที่เกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ กฎกติกาต่างๆ ที่จะมาพลิกโฉมประเทศ เรานำปัญหาของประชาชนทุกอย่างมาตั้ง เพื่อดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร โดยในส่วนของพรรค เมื่อต้องเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของรวมไทยสร้างชาติ ก็เตรียมคุณพีระพันธุ์ไว้ อย่างน้อยหนึ่งคน ส่วนเรื่องอื่นยังไม่มีการพูดคุยกัน
-รู้สึกอย่างไรที่คนมักจะมองกันว่า รวมไทยสร้างชาติคือพรรคการเมืองเครือข่ายของพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองที่อาจจะรองรับพลเอกประยุทธ์ หากว่าพลเอกประยุทธ์มีปัญหากับพลังประชารัฐ ก็อาจมาอยู่ที่พรรคนี้?
ผมก็แปลกใจนะที่คนข้างนอกพรรคเหมือนจะรู้มากกว่าผมอีก เท่าที่ผมทำมา เอาเป็นว่าตั้งแต่ทำพรรคมา ผมยังไม่เคยคุยกับพลเอกประยุทธ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว คนระดับเลขาธิการพรรค ถ้ายังไม่ได้คุย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง แต่ผมเองทำพรรคตามแนวทางที่ผมเองและพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่มารวมตัวกัน รวมถึงหัวหน้าพรรค ตามที่เราตั้งใจไว้ ความคิดที่จะสร้างพรรคการเมืองใหม่ที่ตอบโจทย์ของประชาชนผ่านการแก้กฎหมาย และเราก็ต้องการพรรคการเมืองที่ฟังและรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของประชาชน ติดดิน เข้าถึงและสนองตอบความต้องการของประชาชน มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน นั่นคือสิ่งที่เราตั้งใจไว้
ผมเองกับเพื่อนๆ พี่ๆ ซึ่งหลายคนก็อยู่ในวงการด้านการเมืองมาเป็นสิบปี ก็เห็นตรงกันว่าอยากสร้างพรรคแบบนี้ เราก็ทำแบบนี้ ส่วนในอนาคตอีก 1-2 เดือนต่อจากนี้ หากใครสนใจอยากจะมาร่วมทำงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เราก็ยินดีพูดคุย ไม่ปฏิเสธ หากในอนาคตจะมีนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ อาสามา อยากมาร่วมทำงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เราก็ยินดีพูดคุย แต่ถามว่าพรรคนี้ที่ตั้งมา เป็นพรรคการเมืองที่เป็นนั่งร้าน เป็นพรรคอะไหล่ แต่คนที่มารวมตัวกันตั้งพรรค หรืออย่างผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตที่คัดเลือกกันมาและกำลังจะเปิดตัว ไม่ยอมเป็นอะไหล่หรือเป็นนั่งร้านให้ใครแน่นอน เราตั้งใจสร้างพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองในอนาคต เราสร้างใหม่ สร้างแบบมั่นคง หรือก็มีบางคนบอกว่าเดี๋ยวพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะไปควบรวมกับพรรคการเมืองอื่น ซึ่งถามว่าใครจะมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อรอจะไปควบรวมกับพรรคอื่น มันไม่ใช่ แต่เราตั้งพรรคเพราะเรามีแนวคิด แนวทางในเรื่องการเมืองของเราแบบนี้ เราก็ตั้งพรรคแบบนี้ แต่การที่จะมีคนมาร่วมงานกับเราเพิ่มเติม ก็อาจจะเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกลางทางในการทำงาน ที่เป็นเรื่องของอนาคต เราดำเนินการตามแนวทางของเรา แต่ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชน สื่อมวลชน ที่จะตั้งคำถามหรือจะวิจารณ์ หรือวิเคราะห์พรรค พวกเรายินดีรับฟังหมด แต่หากถามหมด ผมก็บอกมาตลอดว่าเรามีแนวทางที่ชัดเจน เรามีผู้นำที่เปิดตัวมาชัดเจน เราก็ชูคุณพีระพันธุ์มาตั้งแต่ต้น เรากำลังจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส อีกหลายคน ซึ่งทั้งหมดเราก็ทำตามแนวทางที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น อย่างสิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา แต่สื่อหรือประชาชนอาจไม่รับรู้ มันเกิดขึ้นทุกวัน อย่างสัปดาห์นี้ ผมก็ไปพังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี หลังจากนี้มีคิวจะไปจังหวัดภาคกลางคือ ลพบุรี นครปฐม กาญจนบุรี การที่สื่อวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ ต่อไปวันข้างหน้าเมื่อเปิดออกมาก็รู้เอง
-กระแสข่าวอาจจะมีพรรคการเมืองขนาดเล็กมารวมกับรวมไทยสร้างชาติ เช่นพรรครวมพลัง หรืออาจจะมีพรรคอื่น กรณีแบบนี้มีเงื่อนไขการเมืองอะไรหรือไม่?
แนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือต้องการรวมคน หลอมรวมคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีแนวคิดแนวทางที่จะทำการเมืองเหมือนกัน มีความตั้งใจที่จะผลักดันให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกการแก้ไขกฎหมาย กฎกติกาต่างๆ และเข้าใจความต้องการของประชาชน ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าในอนาคตจะมีพรรคการเมืองใด กลุ่มบุคคลกลุ่มไหนที่จะเข้ามาเพิ่มเติม แต่ก็ยินดีเปิดรับเสมอ เราสามารถคุยกันได้ ผมเองก็คุยอยู่กับคนเยอะ เราอยู่ในวงการนี้เราคุยกับคนเยอะมาก แต่ไม่ได้แปลว่าจะต้อง "ควบรวม" พรรคการเมืองกัน
อย่างกรณีของ พรรครวมพลัง ผมก็พูดตรงๆ ว่าไม่ควบรวม ไม่รวม เพราะว่าไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองมาเพื่อจะมารวมพรรค พรรครวมพลังเขาตั้งของเขา ทำของเขา เราก็ทำของเรา แต่ผมรู้ว่าที่มีคนประเมินแบบนั้นเพราะว่า พรรครวมพลัง ผู้ก่อตั้งคือท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ สื่อก็บอกว่าผมเป็นลูกเลี้ยงท่านสุเทพ ก็ไม่ปฏิเสธอะไร เพราะเขาดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็ต้องพูดตรงๆ ว่าแนวทางการเมืองวันนี้ไม่เหมือนกัน เพราะถ้าเหมือนกันผมก็ต้องไปอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทยตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะหลังจากการชุมนุม กปปส. แกนนำแต่ละคนก็แยกย้ายกันไป บางคนไปพลังประชารัฐ กำนันสุเทพไปตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ส่วนผมก็กลับประชาธิปัตย์
และการที่ผมตัดสินใจออกจากประชาธิปัตย์มาร่วมก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นแนวคิดแนวทางที่ผมกำหนดเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับท่านสุเทพ แต่ไม่ทะเลาะกัน ผมรักท่านเหมือนเดิม เคารพท่านเหมือนเดิม ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ท่านทำของท่าน ผมก็ทำของผม วันนี้พูดกันแบบไม่อาย เอาจริงๆ เรื่องการเมืองแทบจะไม่ได้คุยกันด้วย แต่ถ้าใครจะวิเคราะห์หรือประเมินอะไร ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมเข้าใจ แต่ถ้าถามผม มาถามผมร้อยครั้ง ผมก็ปฏิเสธร้อยครั้งว่าแนวทางการเมืองของผม ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านสุเทพเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่เราอาจจะเคยอยู่พรรคเดียวกัน และวันที่ออกมาชุมนุมตอนนั้น ก็เป็นการตัดสินใจของผม วันที่ตัดสินใจกลับประชาธิปัตย์ก็เป็นการตัดสินใจของผม และวันนี้ที่มาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นการตัดสินใจของผม แต่กับคนอื่น คือไม่ใช่แค่กับพรรครวมพลัง แต่กับพรรคการเมืองอื่น เช่นพรรคการเมืองที่จัดใหม่ เช่น ไทยสร้างไทย สร้างอนาคตไทย หรือพรรคการเมืองที่มีอยู่ก่อนแล้ว อย่างพลังประชารัฐ ชาติพัฒนากล้า ประชาธิปัตย์ ก็ยินดีพูดคุยกันอยู่แล้ว เราไม่ได้ตั้งพรรคมาเพื่อจะมาทะเลาะกับใคร ผมไม่มีปัญหาในการพูดคุย และใครที่มีแนวทางการทำงานตรงกัน จะร่วมกันทำงาน ไม่มีปัญหาเลยครับ
-แต่อย่างที่รวมไทยสร้างชาติไปเน้นที่ภาคใต้ เช่นสุราษฎร์ธานี ขณะที่พรรครวมพลัง คุณสุเทพก็ยังทำพรรคอยู่และส่งผู้สมัครด้วย?
ก็ต้องแข่งขันกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขัน ไม่ต้องห่วง ผมกับกำนันสุเทพแข่งกันแน่ แต่ไม่ใช่สู้กัน ไม่ใช่ต้องฆ่ารันฟันแทง ..แต่แข่งกันแน่นอน มันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ารับตรงนี้ไม่ได้ ก็คงไม่ตั้งพรรคตั้งแต่แรก แต่ก็ทำใจไว้แล้ว แต่การแข่งขันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เราแข่งกันเพื่อเอาชนะใจประชาชน เราดำเนินการทางการเมืองอย่างสุจริต เพราะเมื่อแข่งกันแล้ว ประโยชน์ไปตกอยู่ที่ประชาชน อย่างในกรุงเทพมหานคร พรรคก็ต้องไปแข่งกับพี่ๆ ที่ผมเคยต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ก็ต้องแข่งกัน ก็ทุกที่ ก็ต้องมีการแข่งขันกัน
-ประเมินว่าจะมีการยุบสภาก่อนครบสี่ปีหรือไม่ และหากมีพรรคพร้อมจะเข้าสู่การเลือกตั้งแค่ไหน?
หน้าที่ผมคือทำให้พรรคมีความพร้อมมากที่สุดในวันนี้ ซึ่งเราทำทุกวัน วันนี้มีความพร้อมระดับหนึ่ง พรุ่งนี้ต้องพร้อมมากขึ้น เราเดินหน้าเพื่อให้พร้อมมากที่สุด ส่วนว่าจะมีการยุบสภาหรือสภาจะอยู่ครบวาระสี่ปี ผมคิดว่าในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมก็ต้องเตรียมความพร้อม เช่น หากยุบสภาสัปดาห์หน้า ก็ต้องเตรียมความพร้อมให้พรรคมากที่สุด คือไม่ว่าจะอยู่ครบวาระหรือจะมีการยุบสภา เราก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำให้พรรคพร้อมมากที่สุด เช่นหากจะยุบสภาวันพรุ่งนี้ ก็ต้องรับมือทำให้พรรคพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง หากมีการยุบสภาวันพรุ่งนี้ ผมก็มีหน้าที่ทำงานของผมให้ดีที่สุด
"เรามีการเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์ หากมีการยุบสภาวันพรุ่งนี้ เราก็ต้องพร้อม เช่นคนที่ผมประสานไว้ ที่กะว่าจะเปิดตัวหลังจากนี้อีกสักหนึ่งเดือน แต่หากยุบสภาวันพรุ่งนี้ พรรคก็จะเปิดตัวต้องประกาศตัวทันที แต่หากยังไม่ยุบสภา อาจไปยุบในวันข้างหน้าอีกสองเดือน ผมก็มีเวลาทำงานได้มากขึ้น ผมจะได้หาตัวผู้สมัครมากขึ้น สร้างเครือข่ายมากขึ้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ต้องมีการสร้างบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา หากมีเวลาเราก็จะมีการวางคิววางแผนให้ออกมาดีที่สุด" เอกนัฏ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวเน้นย้ำในตอนท้าย.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การเมืองระอุ! เช็กชื่อ 'รมต.-พรรค' หลัง 'ทักษิณ' เห่าลั่นทำตัวอีแอบ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย
สืบเนื่องจากกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างบรรยายพิเศษหัวข้อ สถานการณ์ทิศทางโลกและการปรับตัว ในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทย ที่หัวหิน จ.ประจวบ
ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..
'ธนกร' ฝาก รบ.เดินเครื่องกระตุ้นท่องเที่ยวโกยต่างชาติเข้าไทยทะลุ 40 ล้าน
“ธนกร” ฝาก รบ.เดินเครื่องแคมเปญกระตุ้นท่องเที่ยวต่อเนื่อง มั่นใจ โกยต่างชาติเข้าไทยรับไฮซีซันยาวถึงปี 68 ทะลุเป้า 40 ล้านคนได้ชัวร์ ดัน รายได้ประเทศพุ่ง แนะ ควบคู่นโยบายแก้หนี้-ปรับค่าจ้าง-ปราบยาเสพติด ปั้น ผลงานรัฐบาลให้ชัด เชื่อ รอบ 90 วันทำปชช.พึงพอใจเพิ่มแน่
รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ
เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก
ประมาทไม่ได้เลย คือ จิตของเรา!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีพระภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า..
คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!
เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย