เจาะลึกส่องความสำเร็จ EEC ผ่าน 4 โครงการโครงสร้างพื้นฐาน

เป็นที่รับรู้กันอยู่ว่าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี นั้นเป็นพื้นที่การลงทุนพิเศษแรกของไทย ที่มีกฎหมาย อีอีซี รองรับ มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ความก้าวหน้าใหม่ ในแบบที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง!

การดำเนินโครงการ อีอีซี มุ่งพัฒนายกระดับสังคมเศรษฐกิจของประเทศและคุณภาพชีวิตของผู้คนให้มีศักยภาพปรับตัวเชื่อมโลก สร้างประเทศสู่อนาคตในคลื่นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการดำเนินงานด้วยแบบแผนใหม่ ที่มีการร่วมทุน-ร่วมสร้างระหว่างภาครัฐกับเอกชนในกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อยกระดับประเทศ-ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสั่งสมความรู้-ประสบการณ์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมยุคใหม่ เพื่อสั่งสมให้เป็นต้นทุนพื้นฐานที่จะต่อยอดขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าเติบโตอย่างยั่งยืนอย่างเป็นตัวของตัวเอง

การสร้างบ้านแปลงเมืองในมิติการทำงานของ อีอีซี ที่ดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามานั้น การขับเคลื่อนโครงการ อีอีซี มีการเตรียมความพร้อมจัดสร้าง 4 โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่มีการลงทุนสูงถึง 6.5 แสนล้านบาทในมิติใหม่ที่เป็น การลงทุนของคนไทย-ไม่เป็นหนี้ต่างประเทศ-ไม่ใช้งบประมาณหลวง-ไม่ทำให้เป็นหนี้สาธารณะ! เป็นการดำเนินการที่ใช้เงินไทย-ใช้คนไทย-ใช้บริษัทไทย มุ่งสร้างต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน-การพึ่งพาตัวเองอย่างมั่นคง

ทิศทางการดำเนินงานของ อีอีซี ที่ขับเคลื่อนอยู่นี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้ประเทศที่เกิดจากการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนไทย ซึ่งได้วางรากฐาน-เพิ่มความเข้มแข็งในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม-ยกระดับรายได้ของชุมชน-ทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน อันเป็นทิศทางเป้าหมายหลักของ อีอีซี มิติความสำเร็จนี้สะท้อนจานวัตกรรมการลงทุนของประเทศ บนหลักคิด 4 ประการคือ หนึ่ง ขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวสู่การพึ่งพาตนเอง ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 4 โครงการในกระบวนการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี โดยไม่พึ่งพาเงินกู้ต่างประเทศ แต่เป็นการลงทุนของรัฐฯร่วมทุนกับเอกชนในประเทศเป็นหลัก สอง หนุนให้เอกชนไทยธุรกิจไทยแข็งแรงมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศด้วยการวางแนวทางใหม่-ใช้บริษัทไทย-ใช้คนไทย-ใช้เงินไทย ลงทุนสร้างงาน-เงินหมุนเวียนในประเทศ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจแบบทวีคูณขึ้นหลายเท่า เป็นการสร้างงาน-สร้างรายได้ให้บริษัทใหญ่-จนถึงบริษัท-กิจการขนาดเล็ก-รวมถึงระดับชุมชน และก่อให้เกิดการสร้างรายได้จากภาษี โดยเฉพาะภาษีทางอ้อมจำนวนมาก สาม รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณแต่ได้ผลตอบแทนสุทธิสูงถึง 2 แสนล้านบาท สินทรัพย์ที่นำมาดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับเอกชนนี้เป็นการสร้างมูลค่าจากการลงทุนมากกว่า 650,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณของประเทศ-สร้างรายได้สุทธิให้กับภาครัฐเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท และการที่มีเอกชนเข้าร่วมมือกับรัฐฯ ถือเป็นความร่วมมือที่ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในการสร้างอนาคตร่วมกันที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนสืบไป โครงสธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ ประกอบด้วย

โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการนี้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2564 จะแล้วเสร็จ-เปิดดำเนินการในปี 2569 เป็นเส้นทางความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจากอู่ตะเภา-สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง มีการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชนแบบ PPP มูลค่าการลงทุน 276,561 ล้านบาท จากภาครัฐลงทุน 159,938 ล้านบาท เอกชนลงทุน 116,623 ล้านบาท การลงทุนครั้งนี้จะสร้างงานนับแสนอัตราภายใน 5 ปี และจะปรับฐานการคมนาคม-โลจิสติกยกระดับเศรษฐกิจให้เติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นอีกโครงการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยและปรับฐานการเชื่อมต่อกับโลก ซึ่งมีการดำเนินการร่วมลงทุนกับภาครัฐและเอกชนในแบบ PPP  ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 204,240 ล้านบาท ภาครัฐร่วมทุน 17,674 ล้านบาท ภาคเอกชนลงทุน 186,556 ล้านบาท โครงการนี้จะช่วยปรับศักยภาพเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ มีการการจ้างงานเพิ่มเกือบ 20,000 ตำแหน่งในระยะ 5 ปี และจะต่อยอดแตกหน่อสร้างเศรษฐกิจไทย-สร้างรายได้เข้ารัฐหลากหลายรูปแบบ หลังหมดสัญญาสนามบินทั้งหมดก็จะตกเป็นของรัฐฯ

ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 เป็นการพัฒนาพื้นที่ทั้งหลังและหน้าท่าเรือรวมทั้งปรับภูมิทัศน์-สร้างเขื่อนหิน-ปรับร่องน้ำเดินเรือ ฯ มีท่าเทียบเรือสินค้าเหลว 2 ท่า-ท่าเทียบเรือก๊าซ 3 ท่า-เทียบเรือบริการ-คลังสินค้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเคมี มูลค่าการลงทุนรวม 64,905 ล้านบาท ภาครัฐลงทุนร่วม 12,900 ล้านบาท ภาคเอกชนลงทุน 52,005 ล้านบาท โครงการนี้นอกจากจะสร้างงานให้ผู้คนแล้วยังสร้างความมั่นคงให้กับพลังงานไทย และขับเคลื่อนให้ไทยก้าวเป็นศูนย์กลางอาเซียนด้านพลังงาน LNG ที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจยุคใหม่

ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 พัฒนาเป็นท่าเรืออัจฉริยะ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน-ระบบโลจิสติกส์ทางทะเลที่เชื่อมไทยเข้ากับโลก เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 จะแล้วเสร็จ-เปิดทำการปี 2568 รองรับสินค้าเพิ่มขึ้นราว 2 ล้านตู้ต่อปี ในปี 2572 จะเปิดดำเนินการเฟส 2 ต่อไปอีก มูลค่าการลงทุนรวม 110,115 ล้านบาท ภาครัฐร่วมทุน 48,329 ล้านบาท เอกชนลงทุน 61,786 ล้านบาท เป็นการพัฒนาระบบโลจิสติกส์รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะก้าวเป็นท่าเรือระดับโลกต่อไป

ความเคลื่อนไหวของโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ยกมานี้ สะท้อนให้เห็นถึงนวัตกรรมการจัดการใหม่ ที่สร้างฐานความสำเร็จจากการพึ่งตนเอง-กระตุ้นเศรษฐกิจไทย-สร้างความก้าวหน้ายุคใหม่ ที่ไม่ใช่การพึ่งพางบประมาณจากรัฐฯหรือกู้จากต่างประเทศ! แต่เกิดจากการเปิดรับการลงทุนจากภาคเอกชนในประเทศซึ่งต่อยอดสร้างเศรษฐกิจ-พัฒนาสังคมได้อย่างดีทีเดียว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม .. ณ จังหวัดนครปฐม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ โครงการร้อยใจธรรม สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ที่ดำเนินการโดย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน

ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล

ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?

2 สว. “ชาญวิศว์-พิสิษฐ์” ปักธงพิทักษ์รธน. ปกป้องสถาบันฯ พวกเราเป็นอิสระ ไม่มีรับใบสั่ง

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูยเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...

เหลียวหลังแลหน้า การเมืองไทย จาก 2567 สู่ 2568 ส่องจุดจบ ระบอบทักษิณภาค 2

รายการ"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด"สัมภาษณ์ นักวิชาการ-นักการเมือง สองคน เพื่อมา"เหลียวหลังการเมืองไทยปี 2567 และแลไปข้างหน้า

วิปริตธรรม .. ในสังคม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. เลียบบ้านแลเมือง มองดูเข้าไปในหมู่ชนของบ้านเรา.. ในยามที่นักการเมืองเป็นใหญ่ มีอำนาจวาสนาบริหารราชการแผ่นดิน จึงได้เห็นความไหลหลงวกวนของหมู่ชน ที่สาละวนอยู่กับการแสวงหา เพื่อให้ได้มาใน ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ สุข.. ไม่เว้นแม้ในแวดวงนักบวชที่มุ่งแสวงหามากกว่าละวาง