เมื่อคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม วุฒิสภา นำคณะโดยพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาการศึกษาและบุคลากรใน EEC ที่วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ (ไทย-ออสเตรีย) และเยี่ยมดูงานพัฒนาบุคลากรของกลุ่มอุตสาหกรรม SNC ที่ร่วมมือกับคณะทำงานประสานงานการพัฒนาบุคลากรและการศึกษา สำนักงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC HDC ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ย้อนหลังไปช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศเริ่มขับเคลื่อน “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC มุ่งปรับฐานการพัฒนา-ดึงการลงทุนและเทคโนโลยยุคใหม่-ปรับตัวจากความขัดแย้งอึมครึม สู่การพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่-ในโลกดิจิทัลและการพัฒนายุค 4.0 นั้น การผลิต-เทคโนโลยี-การศึกษา-การพัฒนาคนของเรายังวนอยู่ในโลกใบเก่า ที่เป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระดับ 2.0 อยู่เกือบทั้งประเทศ!
การพัฒนาบุคลากร 3 การศึกษาที่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศนั้น ต้องจัดปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนผ่านจากโลกใบเดิมสู่โลกใบใหม่ในวันนั้น การศึกษา-การพัฒนาบุคลากรยังมีสภาวะถดถอย-ล้าหลัง-อยู่ในโหมดที่กำลังถูกดิสรัปจากความก้าวหน้าใหม่ ซึ่งเราเผชิญกับความสูญเปล่า-สูญเสียมหาศาลจากระบบการศึกษาแต่ละปี! มีบุคลากรที่จบการศึกษาทุกระดับต้องตกงานปีละกว่า 5 แสนคน! เป็นสัญญาณอันตรายยิ่งต่อความก้าวหน้าของประเทศ!!!
ในประเทศที่มุ่งปรับสร้างความก้าวหน้าทุกมุมโลกมีคำกล่าวที่ชัดเจน-รับรู้ร่วมกันว่า “เราไม่อาจใช้ความรู้ในอดีต-มาจัดการศึกษาพัฒนาคนในปัจจุบัน เพื่อสร้างอนาคตให้ชาติบ้านเมืองได้เลย” นี่คือข้อสรุป-ความเป็นจริงที่โลกทั้งใบรับรู้อยู่! หากย้อนไปวันที่บ้านเมืองเริ่มขยับใช้ EEC ขับเคลื่อนสร้างประเทศสู่ความก้าวหน้ายุคใหม่นั้น การศึกษา-การพัฒนาบุคลากรยังไม่ขยับไปไหน ยังจมอยู่ในหลักคิด-วิสัยทิศน์เก่า ที่มีภาคปฏิบัติแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (self center) อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง!
ขณะที่การสร้างการศึกษา-การพัฒนาบุคลากรยุคใหม่ต้องมุ่งตอบโจทย์ความก้าวหน้าใหม่ อย่างน้อยใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลปักธงไว้! ซึ่งการพัฒนาคนโดยรวมต้องเชื่อมประสานภาคเศรษฐกิจที่เป็นจริง ตั้งแต่ภาคการผลิต บริการ จนถึงการยกระดับปรับสร้างสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล การปรับสร้างระบบปฏิบัติการรับเศรษฐกิจใหม่ และการสร้างความก้าวหน้าใหม่ในระบบดิจิทัล-การสื่อสารยุคใหม่ทุกมิติ ฯลฯ ล้วนแตกต่างเกือบสิ้นเชิงกับสิ่งแวดล้อมและโลกใบเก่าที่เคยชินของระบบการศึกษา-การผลิตบุคลากรที่เคลื่อนไหวอยู่อย่างวังเวง!
การศึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการจริง หรือ Demand driven Education จึงเป็นแนวทางใหม่ของการศึกษาที่ถูกกำหนดวางเป็นเป้าหมายสำคัญที่ใช้ปรับทิศสร้างการศึกษาใหม่ หนุนสังคม-เศรษฐกิจ-การดำรงชีวิตที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม 4.0 และโลกดิจิทัลทุกขณะอย่างเข้มข้น!
นัยของ Demand driven Education ที่วันนี้กำลังพูดถึงกันมากในวงการศึกษา-การพัฒนาคนยุคใหม่นั้น มีนัยสำคัญของการเป็นกระบวนระบบการศึกษาที่เป็นการจัดปรับระบบ-ทิศทางการศึกษาทั้งกระบวนระบบ มุ่งสร้างให้คนมีความรู้-ทักษะ-สมรรถนะโดยรวม ตรงตามความต้องการของงานและสิ่งแวดล้อมยุคใหม่ เมื่อผู้คนจบการศึกษา-การฝึกอบรมแล้วจะมีงานทำทันที-รายได้สูง! ซึ่งจะลดความสูญเสียในระบบการศึกษาลงอย่างมีนัยสำคัญ!
รากฐานและเป้าหมายของการศึกษาตอบโจทย์ความต้องการจริง (Demand driven Education) มีนัยสำคัญอยู่หลายประการ กล่าวคือ ประการแรกคือ เป็นการศึกษาที่มุ่งหยุดความสูญเสีย-สูญเปล่า-หยุดการตกงานจากผลิตผลของระบบการศึกษาทั้งหมดลง! ขยับปรับให้การจัดการศึกษาที่สั่งสมความผิดพลาด-ความสูญเสียมายาวนานของการศึกษาไทย ซึ่งมักติดยึดในการเอาสถาบัน-ความรู้จากครูอาจารย์เป็นศูนย์กลาง มาสู่โหมดความต้องการจริงของปัจจุบัน เพื่อขับเคลื่อนให้การศึกษาปรับไปตามการพัฒนาเศรษฐกิจ-การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความก้าวหน้าที่เป็นจริง
ประการที่ 2 ขับเคลื่อน-จัดปรับให้มีการจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์สมรรถนะ-ความรู้-ทักษะ-สิ่งแวดล้อมใหม่ ให้ตรงตามความต้องการจริงในการงาน-การอาชีพ-การประกอบการยุคใหม่ ไม่ใช่การจัดการศึกษาแค่ให้มีการเรียนการสอน-มีห้องเรียน ที่เวียนว่ายไปตามหลักสูตร-วิชาเรียนที่เคยชินกันมาแต่เนิ่นนาน! แต่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดกระบวนการศึกษาให้มีความตื่นตัว-ร่วมมือกับโลกที่เป็นจริงในการปรับสมรรถนะ-ความรู้-ทักษะให้ตรงตามการงาน-ความรู้-โลกแวดล้อมใหม่ที่เป็นจริง-นำไปใช้ได้
ประการที่ 3 สร้างแพลตฟอร์มการเชื่อมประสานรับผิดชอบร่วม ระหว่างฝ่ายที่ต้องการบุคลากรสถานประกอบการต่างๆ (ทั้งภาคอุตสาหกรรม-บริการ) กับสถาบันการศึกษาให้มีความร่วมมือ ทั้งในมิติของเป้าหมาย-หลักสูตร-วิธีการเรียนการสอน-สิ่งแวดล้อม-และการปรับตัวสื่อสาร ในกระบวนการพัฒนาที่ต่อเนื่องมุ่งตอบโจทย์การงานที่แท้จริง เพื่อให้การศึกษามีความก้าวหน้าต่อเนื่อง-เป็นหนึ่งเดียวกับการพัฒนากิจการ เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนสืบไป
การศึกษาต้องไม่ถูกทำให้เป็นแค่ “วาทกรรม” หรือการปั้นสร้างเหตุผลให้เกิดความชอบธรรมกับใคร-หน่วยงานใดทั้งสิ้น รวมทั้งไม่ใช่การสร้างพื้นที่การยอมรับทางสังคม แต่เป็นภาระบทบาทในภารกิจร่วมกันในความรับผิดชอบต่อชีวิตและความก้าวหน้าของผู้คนและสังคมโดยรวม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม .. ณ จังหวัดนครปฐม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ โครงการร้อยใจธรรม สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ที่ดำเนินการโดย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จ.ลำพูน
ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล
ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?
2 สว. “ชาญวิศว์-พิสิษฐ์” ปักธงพิทักษ์รธน. ปกป้องสถาบันฯ พวกเราเป็นอิสระ ไม่มีรับใบสั่ง
กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูยเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...
เหลียวหลังแลหน้า การเมืองไทย จาก 2567 สู่ 2568 ส่องจุดจบ ระบอบทักษิณภาค 2
รายการ"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด"สัมภาษณ์ นักวิชาการ-นักการเมือง สองคน เพื่อมา"เหลียวหลังการเมืองไทยปี 2567 และแลไปข้างหน้า
วิปริตธรรม .. ในสังคม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. เลียบบ้านแลเมือง มองดูเข้าไปในหมู่ชนของบ้านเรา.. ในยามที่นักการเมืองเป็นใหญ่ มีอำนาจวาสนาบริหารราชการแผ่นดิน จึงได้เห็นความไหลหลงวกวนของหมู่ชน ที่สาละวนอยู่กับการแสวงหา เพื่อให้ได้มาใน ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ สุข.. ไม่เว้นแม้ในแวดวงนักบวชที่มุ่งแสวงหามากกว่าละวาง