ดร.ยุ้ย เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ จากนักธุรกิจอสังหาฯ -เสริมทัพทีม ชัชชาติ กทม.เมืองน่าอยู่ ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง

เหลืออีกแค่ประมาณสองสัปดาห์เท่านั้น จะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร”ที่ลงคะแนนเสียงกันวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค.นี้ โดยถึงขณะนี้พบว่า ผลโพล์ทุกสำนักที่สำรวจความนิยมประชาชนต่อตัวผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พบว่า ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.อิสระ ยังคงนำคู่แข่งขันรายอื่น จนถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งมาตลอด

สำหรับทีมนโยบาย-ทีมหาเสียงของชัชชาติ หนึ่งในบุคคลที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอย่างมาก นั่นก็คือ"ผศ. ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ ดร.ยุ้ย-กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA"บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังที่มีเครือข่ายทางธุรกิจหลายพันล้านบาทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งชื่อเสียงของดร.ยุ้ย ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้หญิงเก่งในแวดวงธุรกิจเรียลเอสเตทของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามการที่ดร.ยุ้ย เปิดตัวลงมาเป็นหนึ่งในทีมนโยบายหาเสียงของชัชชาติที่ก็คือ"งานการเมือง" โดยที่ยังเป็นนักธุรกิจ-บริหารองค์กรขนาดใหญ่ จึงย่อมเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่เราต้องไปถามว่า เกรงหรือไม่ว่าจะเกิดผลกระทบทางธุรกิจหลังจากนี้ รวมถึงหาคำตอบแบบชัดๆหลังมีกระแสข่าวว่า หากชัชชาติ ชนะการเลือกตั้ง จะมีชื่อของดร.ยุ้ย เข้าไปเป็นรองผู้ว่าฯกทม.และหลังจากนี้อาจได้เห็นผู้หญิงแกร่งจากวงการที่อยู่อาศัยคนนี้ เดินเข้าสู่การเมืองเต็มตัว?

เราเริ่มต้นด้วยการถามถึงความสนใจทางการเมืองก่อนมาร่วมงานกับชัชชาติว่ามีความสนใจมากน้อยแค่ไหน "ผศ.ดร.เกษรา"บอกเล่าว่า ก็สนใจในแง่ประชาชนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้สนใจในแง่ที่ว่า จะไปเป็นคนขับเคลื่อนกรุงเทพมหานครหรือว่าอะไร ไม่ได้สนใจในมิตินั้น แต่สนใจใน"ความเป็นไปของเมือง"มากกว่าว่าเมืองเราจะเป็นไปในทิศทางไหน ซึ่งอาจเพราะว่าทำงานธุรกิจเพราะเป็นคนขายบ้าน  ดังนั้นในมิติของความสนใจจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องสนใจอยู่แล้ว เราคิดในมิตินั้น

แต่ว่าเราคิดไปลึกๆ เราก็เริ่มจะเห็นปัญหาในแง่มุมบางอย่าง คือเราเป็นนักธุรกิจ เราเห็น"เมือง"แล้วเห็นปัญหา เราทำได้แต่แค่เข้าใจ แล้วก็ปรับตัวเข้าหา แต่เราไม่สามารถทำให้มันดีขึ้นได้เท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้มีบทบาทที่จะเข้าไปแก้ไขเมืองได้ นั่นคือบทบาทก่อนหน้านี้

-ได้รับการทาบทามให้มาร่วมทีมทำนโยบายหาเสียง ร่วมทีมหาเสียงกับดร.ชัชชาติได้อย่างไร ตัดสินใจนานหรือไม่?

เป็นรุ่นน้องพี่ชัชชาติที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รู้จักกันมาร่วมยี่สิบกว่าปี คือเรารู้จักพี่ชัชชาติ ตั้งแต่ปีแรกที่เราเป็นอาจารย์(ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ก็ทำงานร่วมกัน ทำงานศึกษาวิจัยร่วมกัน พอดีพี่เขาอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเราอยู่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

ซึ่งโดยปกติเวลาทำงานด้านที่ปรึกษา จะมีสองอาชีพนี้อยู่ด้วยกัน ที่จะมีการศึกษาของวิศวกร-บัญชีการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเลยได้รู้จักกัน เสร็จแล้วพี่ชัชชาติก็มาเป็นผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาฯฝ่ายบริหารทรัพย์สินของจุฬาฯ ยุ้ยก็เข้าไปทำงานตอนนั้นด้วยก็เลยทำให้สนิทเพราะทำงานด้วยกันมาตลอด

-ตอนที่ได้รับการทาบทามให้เข้ามาร่วมทีมงานหาเสียง กับดร.ชัชชาติ กังวลเรื่องผลกระทบทางด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัวอะไรหรือไม่?

เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักการเมืองอะไรมาก คือตอนที่พี่ชัชชาติเป็นผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาฯ เราเคยทำงานกับดร.ชัชชาติ แล้วเขาก็ลาออกไปเป็นรัฐมนตรี ต่อมายุ้ยก็เลยเข้ามาทำงานด้านธุรกิจ โดยลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ เมื่อช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

ต่อมาเมื่อสัก 2-3 ปีก่อนหน้านี้ ที่พี่เขาประกาศตัวลงสมัครผู้ว่าฯกทม.แบบอิสระ ที่เป็นคนแรกที่ประกาศตัวว่าจะลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ต่อมาพี่เขาก็ชวนให้มาทำงานร่วมกัน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้มีความชัดเจนว่าสุดท้ายจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ ยังไม่เกิดโรคระบาดโควิด พอพี่เขาชวน เราก็ดีใจและขอบคุณที่ชวน เพราะเราชื่นชมการทำงานของเขา ก็เข้าไปช่วยบ้างแต่ยังไม่ได้ช่วยเยอะมาก

จนต่อมาประมาณสักช่วง 7-8 เดือนก่อนหน้านี้ก็คือช่วงปีที่แล้ว ที่โควิดระบาดหนัก เป็นช่วงที่เราตัดสินใจแล้วว่า เราจะทำ และจะทำแบบจริงจัง แม้ช่วงนั้นยังไม่รู้แน่ชัดในเรื่องการจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หรือไม่

จำได้ว่า ตอนช่วงปีที่แล้วประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2564 พี่ชัชชาติ ก็ชวนเรานำของไปให้คนโดยไปหลายแห่งมาก ส่วนมากเป็นชุมชนแออัดก็ไปหลายที่  เช่นที่คลองเตย และทางบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ฯ ก็นำของไปแจกประชาชนด้วยส่วนหนึ่ง   ตอนไปแจกของให้ประชาชนช่วงโควิด ทำให้เราได้เห็นอีกมิติหนึ่งว่าประชาชนลำบากจริงๆ ก็ช่วยทำครัวกลาง อะไรต่างๆ

สิ่งที่เราเจอและเป็นตัวแปรในการตัดสินใจ ก็คือ เราได้เห็นประชาชนที่เขาลำบากจริงๆ บางคนขับแท็กซี่ ขี่วินมอเตอร์ไซด์ หรือบางคนทำงานโรงหนัง ที่ช่วงนั้นโรงหนังปิดหมดเลย สิ่งที่เขารอก็คือ รอให้เราเอาถุงไปให้ ตอนนั้น เราถามประชาชนเขาว่า"ป้าได้ถุงตอนช่วงโควิดไป ป้าอยู่ได้ประมาณสักเท่าไหร่"เขาก็ตอบว่าอยู่ได้ประมาณสักสิบวัน เราก็ถามต่อไปว่าแล้วหลังจากนั้นทำอย่างไร เขาก็ตอบไม่ถูก เขาพูดทำนองว่า ก็หวังว่าจะมีถุงอันต่อไปมาให้ มันทำให้ยุ้ยมีความรู้สึกเหมือนกับว่า อย่างเก่ง ถ้าเราเป็นนักธุรกิจต่อ สิ่งที่ยุ้ยทำได้อย่างเก่ง ก็คือเอาถุงใหม่ไปให้เขา ซึ่งไม่ได้อยู่ในจุดที่แก้อะไรได้ เพราะpart นักธุรกิจทำได้แค่นั้น เราก็ได้แต่ทำถุงใหม่แล้วไปให้เขาเพิ่ม แต่ยุ้ยไม่มีความสามารถอะไรที่จะไปทำให้ป้าและครอบครัวเขา หลุดจากสภาวะความยากไร้แบบนั้นได้

...เราเลยคิดได้สามอย่าง คือหนึ่ง เราก็เป็นนักธุรกิจต่อ แล้วให้ของเพิ่ม ที่คนทั่วไปก็ทำได้ เป็นนักธุรกิจก็ทำ CSR ให้ของเพิ่ม สอง คือเราก็เข้าไปช่วยดร.ชัชชาติเขาคิด แต่อย่าบอกให้ใครรู้แล้วก็อยู่หลังฉาก เหมือนที่คนส่วนใหญ่ก็แนะนำให้ยุ้ยทำแบบนั้น และสาม คือทำแบบที่เราทำอยู่ในวันนี้

...อย่างแรก ก็คือว่าให้เราเก่งกว่านี้ ก็คงให้แบบไม่รู้จักจบ ป้าเขาก็คงไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะได้แต่ให้จริงๆ เช่นให้ถุงไปแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ยุ้ยชอบคิดว่า ครอบครัวป้า ครอบครัวนั้น จะดีขึ้นก็ต่อเมื่อ ลูกของป้า เขามีความสามารถเรียนสูงๆ แล้วมีรายได้มากขึ้นเพราะไม่ได้มี asset อะไร นอกจาก human capital หากเราไม่สามารถให้เขาเข้าถึงการศึกษาที่ดี มีการทำงานที่ดี มันก็ยากที่เขาจะออกจากความยากจนแบบนั้น ซึ่งถ้ายุ้ยเป็นนักธุรกิจ ไม่มีทางแก้ได้เลย นอกจากให้ไปเรื่อยๆ ยุ้ยเริ่มรู้ในใจแล้วว่าเราอยากช่วย แต่แค่ว่าเราจะออกจาก comfort zone ของตัวเองหรือไม่ ก็มาที่ข้อสองและข้อสามข้างต้น เรามาคิดว่าอยากเข้ามาแก้ ที่เรารู้อยู่แล้วว่า ดร.ชัชชาติ อยากจะรันเรื่องผู้ว่าฯกทม. ซึ่งเราคิดว่า พี่เขาคงเป็นแคนดิเดตที่ดี และมีความมั่นใจว่าเขาจะเป็นผู้ว่าฯกทม.ที่ดี

ดังนั้นก็คิดว่าหากมีโอกาสได้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาคือการทำเรื่อง policy ก็เลยอยากเข้าไป สิ่งนี้คือจุดเปลี่ยนที่บอกพี่เขาไปว่าจะเข้าไปช่วยงาน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เกิดขึ้นเมื่อใด

พอเข้าไปแล้ว ก็ทำได้สองแบบ อย่างแรกเลยคือ"อย่าให้ใครรู้เลยว่าเราเข้าไป"กับอีกแบบคือ"ทำแบบที่ทำตอนนี้" ส่วนข้อดี-ข้อเสีย ของคนส่วนใหญ่ที่คิดก็คือว่า อย่างบอกว่า ไม่ดีหรอก หากจะไปบอกชาวบ้านว่าเรามาทำงานร่วมกับดร.ชัชชาติ ถึงจะบอกว่าเป็นอิสระ แต่คนก็คิดได้ต่างๆ ที่ก็คงจริง อันนี้ก็คงปฏิเสธ context การเมืองไทยไม่ได้

คือจริงๆ ยุ้ยไม่ได้มีความตั้งใจจะเป็นนักการเมือง แต่ยุ้ยก็คิดว่าหากเราเข้าไปแล้ว ต้องไปบิดบัง ไปอยู่ข้างหลัง อันดับแรก คิดว่ายิ่งดูน่าสงสัยใหญ่ว่าในอนาคตยุ้ยจะมากอบโกยเอาอะไรหรือไม่ เพราะไม่ยอมบอกใคร ซึ่งคนเรา หากทำในสิ่งที่โปร่งใส มันควรจะบอกได้ เราคิดแบบนี้ อาจจะซื่อไปหรือเปล่า ไม่รู้นะ แต่ก็คิดว่า โห หากทำแล้วต้องมาปิดๆบังๆ จะไปคิดนโยบายทีหนึ่ง ต้องเข้าไปหลังตึก ไม่ให้ใครเห็น คงยากพึลึก แล้วเราก็โตแล้ว ซึ่งเวลาทำ policy ที่ดี ไม่ใช่ว่านั่งอยู่บนโต๊ะแล้วก็คิดออก ซึ่งมันคิดไม่ออกหรอก แต่ต้องออกไปเจอกับปัญหา แล้วก็ต้องไปหาองคาพยพที่เคยแก้ปัญหานี้ ไปถามว่าตอนที่แก้ เขาแก้อย่างไร แก้แล้วเป็นอย่างไร ไม่ดีตรงไหน

...อย่างเราทำเรื่องที่อยู่อาศัย เราก็มี passion ในเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย เราต้องไปคุยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ไปคุยกับคนทำโครงการบ้านมั่นคง ไปคุยกับบุคคลหลายกลุ่ม ว่าที่ผ่านมา เขาแก้ปัญหาอย่างไร แล้วเรามาดูว่าเราจะช่วยอะไรต่อไปได้ หากยุ้ย ไปทำงานแล้วต้องปิดบัง แล้วเราจะไปคุยกับคนเหล่านั้นอย่างไร เพราะเราคงไม่ได้ไปในลักษณะคนทำวิจัย แต่ไปเพราะอยากรู้คำตอบ

..เราก็ไม่ได้หวังอะไร แล้วไม่ได้มีอะไรต้องปิดบัง ไม่ได้เข้าไปเอาอะไรจริงๆ ก็เลยคิดว่าต้องโปร่งใส การโปร่งใสเป็นเรื่องดี ให้ตรวจเลยว่าเราจะเข้าไปเอาอะไรหรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำงานได้สะดวกด้วย จริงๆ คิดแค่นี้

"แต่ก็ไม่ได้มีใครเห็นด้วยเท่าไหร่ พ่อแม่ พี่น้อง สามี ลูก ก็คือส่วนใหญ่ก็คิดคล้าย ๆกับที่คนส่วนใหญ่คิดก็คือว่า หาเรื่องใส่ตัว ทำไมต้องเปิดเผย สักวันหนึ่งก็จะมีคนมา อะไรแบบนี้ แต่ยุ้ยแค่คิดว่า ไม่ได้ไปเอาอะไร เราก็ไม่ได้ไปขอตำแหน่งอะไร ไม่ได้หวังอะไร เลยไม่ได้กังวลมาก"

-เกรงเรื่องผลกระทบทางธุรกิจอะไรหลังจากนี้หรือไม่?

ในเมื่อเราไม่ได้ทำ ไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา ผลกระทบทางธุรกิจจะมีในแง่ไหน เราพยายามคิดว่าผลกระทบทางธุรกิจคืออะไร แต่ว่าเราไม่ได้ไปคาดหวังว่าจะไปเอาอะไรจากตรงนั้นอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าไม่ได้มีใครมาทำอะไรเรา ยุ้ยก็ทำธุรกิจเหมือนเดิม ยุ้ยเคยได้อะไรวันนี้ คือได้แบบวันนั้นเหมือนเดิม ไม่ได้ว่าดีกว่าหรือแย่กว่า ที่พี่เขาจะได้หรือไม่ได้(เป็นผู้ว่าฯกทม.) ยกเว้นแต่ว่าเช่นสมมุติว่าพี่เขาไม่ได้ แล้วอาจจะมีคนคิดว่าเราจะทำธุรกิจเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะอาจมีคนที่ไม่ชอบ แต่ยุ้ยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญกับใครขนาดนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโด่งดังอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะมีพลวัตรการเมืองอะไร ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น คิดว่าอย่างนั้น

-ที่ผ่านมาบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ และบริษัทเครือข่ายธุรกิจของดร.เกษรา มีการทำสัญญาหรือมีติดต่ออะไรกับทางกรุงเทพมหานครหรือไม่?

เราเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในองค์กรที่ต้องให้ licenseซึ่งจริงๆ license ที่เราทำด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็น license  ปกติ คือเรื่องการขออนุญาตก่อสร้าง ซึ่งการขออนุญาตก่อสร้างทุกคนก็ขออนุญาตหมด เช่น ทำโรงแรม และทำอะไรก็ต้องขออนุญาตก่อสร้าง ที่เป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีอะไรพิเศษ ก็คือ เอาแบบไปให้ แล้วเขาก็จะดูเกณฑ์ต่างๆ

คือยุ้ยไม่ได้ทำธุรกิจสัมปทานกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งถ้าเราทำธุรกิจสัมปทานกับกทม. ยุ้ยก็ไม่ควรทำบทบาทนี้ แต่เราไม่ได้มีธุรกิจอะไรเลยที่เป็นสัมปทาน ไม่มีเลย เราทำธุรกิจปกติ ก็ไปขอ license ไปขอใบอนุญาตก่อสร้าง  แค่นี้ ก็เลยไม่ได้กังวลอะไร ยุ้ยแค่คิดว่า แล้วจะเป็นยังไง หากว่าพี่ชัชชาติเขาไม่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯกทม. แล้วเราไปขออนุญาตก่อสร้างแล้วเขาจะไม่ให้ แบบนี้หรือ คือมันไม่ได้มีอะไรมาก เพราะก็มีคนสร้างตึกเต็มไปหมด

...โครงสร้างธุรกิจของเราเป็นแบบ B2C (Business-To-Consumer) คือธุรกิจที่เราทำกับผู้บริโภคเลย ซึ่งโครงสร้างธุรกิจของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด  90 เปอร์เซนต์คือ B2C เราขายบ้านให้คน เราขายไฟฟ้าให้คน ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรที่กระทบขนาดนั้น มันอาจจะมีผลกระทบเช่น อันนี้สมมุติคือคนที่อยู่ฝ่ายการเมืองแบบแอคทีฟ คือไม่ชอบดร.ชัชชาติ แล้วจะไม่ซื้อบ้านของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ฯ แบบนี้หรือ ก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่อย่างอื่นคงไม่มี แล้วปกติเราไม่ได้มี passion ที่อยากจะทำธุรกิจกับรัฐอะไรมาก เราทำธุรกิจปกติ ก็อาจมีธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business)บ้าง เช่น ติดตั้งโซลาร์ให้กับ INDEX ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรุงเทพมหานคร ธุรกิจหลัก ก็มีเท่านี้

-แต่หลังจากนี้ ดร.เกษรา ก็อาจถูกจับตามอง มีสปอตไลท์โยงเข้าไปกับการเมืองได้ ?

อันดับแรก เราคิดว่าตัวเองไม่ได้มีความโด่งดังอะไร ไม่ได้มีพลวัตรการเมืองอะไร เลยรู้สึกว่าไม่น่าจะมีใครมาจดจ้องอะไรมาก และสองคือ เราโปร่งใสพอ เพราะไม่ได้มีอะไร ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ปกติ เลยไม่ได้กังวลอะไรมาก

มีชื่อติดโผ อาจเป็นรองผู้ว่าฯกทม. ?

-มีกระแสข่าวว่า หากดร.ชัชชาติ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.อาจจะมีชื่อดร.ยุ้ยไปเป็นรองผู้ว่าฯกทม. และวางเป้าหมายทางการเมืองไว้อย่างไรหรือไม่?

ไม่มี ยังไม่ได้คิดตรงนั้นเลย เพราะพี่ชัชชาติคือแคนดิเดตผู้สมัครฯ เราก็แค่เป็นส่วนหนึ่งของการได้ช่วยคิดเรื่องที่จะแก้  ยังไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น ณ ตอนนี้

-แล้วหากถูกทาบทาม หรือขอรอดูผลการเลือกตั้งก่อน?

ถึงเวลานั้นก็คงต้องคิดหลายเรื่อง ว่าตัวเองมีความสามารถพอหรือไม่ แต่พูดตรงๆ ตอนนี้ไม่ได้คิดจริงๆ ก็แค่คิดว่า step by step คือตอนนี้เราอยู่ในส่วนของการช่วยคิดนโยบาย ซึ่งนโยบายยังไม่จบ ยังเพิ่มอยู่ทุกวันเพราะช่วงนี้ที่อยู่ช่วงหาเสียง ก็ไปเจอประชาชน ก็ไปฟังเขาพูดถึงปัญหาต่างๆ 

กระตุ้นเศรษฐกิจกทม. ผ่านการจัดพื้นที่

เลือก”ชัชชาติ”คนกรุงเทพฯได้อะไร?

เมื่อสอบถามถึงเรื่องนโยบายการหาเสียงและแนวทางการบริหารกทม.หากชัชชาติ ชนะการเลือกตั้ง “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัดฯ-คีย์แมนคนสำคัญของทีมนโยบายการหาเสียงของดร.ชัชชาติ” บอกว่า ทีมชัชชาติ มี 220 นโยบายตอนนี้ ซึ่งอาจพูดได้ไม่ครบ คือตอนที่เราคิดนโยบาย เราก็ถามพี่ชัชชาติว่า อะไรคือจุดมุ่งหมาย เพราะทำทุกอย่างต้องมีจุดมุ่งหมายก่อน พี่เขาก็ตอบว่า คือทำให้"กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่ของคนทุกคน"ซึ่งคำพูดนี้อาจฟังดูง่าย แต่เป็นเรื่องใหญ่และทำยากมาก

กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่ของคนทุกคน คำว่าน่าอยู่ define อย่างไร  อันนี้คือคำถามเราแล้ว ซึ่งพวกนักวิชาการเวลาถามเขาจะถามกันแบบนี้ ซึ่งคำว่าน่าอยู่มีคำนิยาม อยู่ตามของยูเอ็นว่ามีกี่ข้อ อย่างกรุงเทพ เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก เป็นเมืองน่าอยู่ประมาณลำดับที่ 98 เราก็คิดว่ากันว่าคำว่า น่าอยู่ ประกอบด้วยอะไรบ้าง แล้วจะทำอย่างไรให้ขยับขึ้นมาจาก 98 มาเป็นสัก 20 ก็ยังดี เราไปดูจนพบว่า การจะเป็นเมืองน่าอยู่ได้ ต้องมีเรื่องต่างๆ แล้วเรามาช่วยกันคิดนโยบายเพื่อทำให้เราได้ทุกข้อของคำว่าน่าอยู่ ตาม definition ของยูเอ็น แต่เราไม่ได้ลอกของยูเอ็นมาเป็นกองแล้วบอกทุกคนว่านโยบายเหมือนยูเอ็น แต่เราก็มาเปลี่ยนเป็นคำพูดของเราว่า"9ดี"เช่น บริหารจัดการดี -สร้างสรรค์ดี-ปลอดภัยดี แต่ใน 9 ดี จะมี 220 นโยบาย ที่ตอบโจทย์ว่าทำอย่างไรให้กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่ของคนทุกคน

...กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่แล้วของคนบางคน เราต้องยอมรับเรื่องนี้ก่อน เราต้องไม่พูดแบบโลกสวย คือกรุงเทพอาจน่าอยู่สำหรับคนบางคน เขามีคนขับรถให้ตลอดเวลา ก็เลยไม่ต้องแคร์เรื่องรถสาธารณะจะมาตามเวลาหรือไม่ หรือบางคนมีรถของตัวเอง เขาก็ไม่ต้องแคร์ ทั้งที่กรุงเทพยังมีบางเขตที่รถสาธารณะมีไม่ครบทุกเวลา บางคนมีรถส่วนตัว เขาก็ไม่ต้องแคร์ว่า ถนนหน้าปากซอยมันมืด หรืออาจมีบ้านพักตากอากาศหลายที่ ก็ไม่ต้องแคร์หากน้ำจะท่วมกรุงเทพ เพราะไปอยู่บ้านพักตากอากาศก็ได้ ก็เป็นกรุงเทพน่าอยู่เรียบร้อยแล้วสำหรับคนบางคน แต่ว่ายังมีคนอีกมาก ที่กรุงเทพ ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเมืองน่าอยู่ในบางมิติ เราก็นำสิ่งนั้นมาคิด

กทม.เมืองน่าอยู่สำหรับผู้หญิง

โจทย์สำคัญอันหนึ่งที่เราคิดว่าคนอื่นอาจยังไม่มี แต่เรามี ก็คือเราคิดถึงเรื่อง"เมืองน่าอยู่"แบบละเอียดมาก อย่างเราก็คิดถึงเรื่อง"เมืองน่าอยู่สำหรับผู้หญิง"ด้วย คือเราไม่ได้คิดว่าเมืองน่าอยู่สำหรับผู้ชายกับผู้หญิงจะถูกออกแบบเหมือนกัน เมืองน่าอยู่สำหรับผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน เขาบอกว่าถ้าจะออกแบบเมืองน่าอยู่สำหรับผู้หญิง ต้องคิดจากผู้หญิงเป็นหลัก

ยกตัวอย่างเขาบอกกันว่าผู้หญิงจะเดินทางไม่เป็นเส้นตรง ผู้หญิงจะเดินทางเป็นเส้นอ้อม แต่ผู้ชายจะเดินทางเป็นเส้นตรงเช่น จากบ้านไปที่ทำงาน จากที่ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน แต่ผู้หญิงจะเดินทางแบบอ้อม ทำงานเสร็จต้องไปรับลูก จากนั้นอาจแวะไปซื้อนม แล้วก็อาจไปเยี่ยมแม่ แล้วค่อยกลับบ้าน ก็คือจะเดินทางแบบเส้นอ้อม

อันนี้เป็นทฤษฎีที่แสดงว่า ค่าเดินทางของผู้หญิงจะมากกว่าผู้ชาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงจะมีสัดส่วนประชากรมากกว่าผู้ชายเยอะมาก ประมาณ 53 ต่อ 47 เปอร์เซ็นต์ แล้วผู้หญิงอายุมาก พบว่าจะมีเยอะมากกว่าผู้ชายเยอะมากๆ โดยจำนวนของผู้หญิงอายุเกิน 60 ปี พบว่ามีมากกว่าผู้ชาย 17 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจะมีการศึกษาที่สูงกว่า หากเราวัดจากระดับอุดมศึกษา ผู้หญิงจบการศึกษาเยอะกว่าแต่ผู้หญิงที่จบอุดมศึกษามีเงินเดือนเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 5,000 บาท ที่ถือว่าเยอะมาก ที่ต้องถามว่าทำไม อันนี้เกิดจากความสามารถของผู้หญิงหรือเพราะว่าเมืองไม่ได้ออกแบบเพื่อผู้หญิง เราก็ค้นคว้าวิจัย ปรากฏว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ นอกจากเดินทางแบบเส้นอ้อมแล้ว สำหรับการทำงานของผู้หญิง เช่นทำงานในออฟฟิศที่กำลังไต่เต้าจากผู้จัดการกำลังจะขยับขึ้น 17.30 น. ต้องกลับบ้านแล้ว โอทีไม่ทำ เพราะว่าหน้าบ้านมืด กลับบ้านแล้วเปลี่ยว รถเมล์ไปไม่ถึง แบบนี้ สมมุติเราอยู่ในองค์กร เมื่อใดก็ตามที่ทำงานดึก เราต้องขอกลับบ้านแล้ว เพราะมันอันตราย รถเมล์ไม่มี ทำมากๆ เจ้านายก็คงไม่รักมากเท่าไหร่ เจ้านายก็คงชอบคนที่ทำงานอยู่โอทีได้ แต่อันนี้ไม่ได้เกิดจากการที่ผู้หญิงไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดจากเมืองที่ไม่ได้คิดถึงผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ แสดงว่าบางจุดไม่ปลอดภัย

เราต้องยอมรับก่อนว่าคำว่า "ไม่ปลอดภัย"มันเป็นประเด็นสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อันนี้ก็เรื่องหนึ่ง และคงเคยได้ยินคำว่า เวลาผู้หญิงตั้งท้อง เขาจะหายไปสามปี คือผู้หญิงเวลาท้อง พอคลอดลูกเสร็จก็จะต้องมีเวลาให้นมลูก แล้วผู้หญิงตอนนี้ที่เขานิยมกันมากคือ จะให้นมลูกไปเรื่อยๆ ซึ่งผู้หญิงเรื่องการให้นมลูก หากจะให้แบบจริงจัง ให้ได้เป็นปี โดยลูกไม่ต้องกินนมผงเลย ซึ่งคนที่รักลูก ก็คงอยากทำแบบนั้น แต่เมืองไม่ได้คิดมาเผื่อเรา ก็อาจต้องหยุดงานสามปี เช่น พอคลอดลูก แล้วหากต้องจ้างคนเลี้ยงเด็ก พบว่าค่าจ้างสูงกว่ารายได้ที่ได้รับ แล้วยังจะมีค่าเดินทางอีก

...เมื่อเจอแบบนี้บางคนอาจลาออกไปเลี้ยงลูกดีกว่า หรือหากสถานรับเลี้ยงเด็กที่มี ไม่มีคุณภาพ หรืออยู่ในจุดที่ห่างไกลจากบ้านพักมาก เพราะด้วยค่าเดินทางสำหรับคนกรุงเทพถือว่าสูงสำหรับคนที่มีรายได้ไม่มาก พบว่าค่าเดินทางอยู่ที่ 20 เปอร์เซนต์ของรายได้ แสดงว่า หากคนที่มีรายได้ไม่มาก แล้วต้องนำลูกไปฝากเลี้ยง แล้วปรากฏว่าอยู่ไกลจากบ้านมาก ค่าเดินทางก็จะแพงขึ้นไปอีก บางคนก็บอกอยู่บ้านแล้วเลี้ยงลูกเองดีกว่า ถ้าแบบนั้นแสดงว่าผู้หญิงจะมีรอยรั่วของการทำงาน ก็จะทำให้ผู้หญิงไม่สามารถที่จะอยู่ใน career pathที่ไม่หยุดได้

ดังนั้น”เมืองที่ถูกออกแบบเพื่อผู้หญิง” ต้องคิดถึงเรื่องแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในทุกชุมชนมีศูนย์เลี้ยงเด็กที่ดีอยู่ใกล้ชิด อย่างที่ญี่ปุ่น หากเป็นออฟฟิศขนาดใหญ่จะต้องมีศูนย์เลี้ยงเด็กอยู่ข้างใน หรืออยู่ในสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งที่กรุงเทพ ในชุมชนแออัดก็มีศูนย์เลี้ยงเด็ก แต่ศูนย์เลี้ยงเด็กในกรุงเทพ รับเฉพาะเด็กอายุสามขวบขึ้นไปอย่างเดียว โดยเด็กที่อายุต่ำกว่าสามปีไม่ได้คำนึงถึง ที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้คิดถึงมัน แต่หากคิดถึงโดยเอาผู้หญิงเป็นปัจจัยในการคิด ที่เรียกว่าเมืองที่ออกแบบโดยคิดถึงผู้หญิงด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้หญิงที่เรียนสูงกว่าจะมีรายได้ที่ต่ำกว่า หรือมีcareer pathที่สู้ไม่ได้ ซึ่งมิติเหล่านี้ อาจเพราะเราก็เป็นผู้หญิงด้วย จึงเป็นมิติที่เรานำมาคิด  เราก็เลยมีแคมเปญแบบว่า กรุงเทพ เมืองที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง -กรุงเทพ ที่ออกแบบเพื่อผู้หญิง จะเป็นอย่างไร ก็จะมีเช่น มีที่เลี้ยงเด็กใกล้ชุมชน โดยขยายจากที่รับเลี้ยงเด็กอายุสามขวบขึ้นไป ก็เปลี่ยนเป็นหกเดือนขึ้น

ทั้งหมดคือความแตกต่าง เพราะเราไปสัมผัสจริง เราไปชุมชนจริง เราคุยจริง ไม่ได้ว่านั่งอยู่บนโต๊ะแล้วคิดว่า ควรเป็นอะไร

-ทำไมจึงมีการสื่อสารเรื่องนโยบายเรื่องเศรษฐกิจด้วยในการหาเสียงครั้งนี้ เหตุใดถึงคิดว่ากทม.สามารถทำเรื่องเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้คนกทม.ได้?

แรกๆ เราคิดแบบนั้นเหมือนกัน คือมองว่า กทม.จะช่วยเศรษฐกิจอย่างไร ปกติน่าจะเป็นเรื่องของรัฐบาลภาพใหญ่ โดยเราเปรียบเทียบจากรัฐบาลใหญ่มาเป็นรัฐบาลเมืองก็ได้ คือรัฐบาลใหญ่มีอำนาจเต็มที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยทำผ่านกลไกกระทรวงที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงการคลัง และการลงทุนภาครัฐ (Public Investment) ของทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทยสร้างตึก ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง เพราะแม้กระทรวงมหาดไทยไม่ได้มีหน้าที่ในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงแต่การที่กระทรวงมี Public Investment ต้องสร้างตึก ที่ก็จะต้องจ้างผู้รับเหมามาทำ ซื้ออิฐ-ปูน ก็คือการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหนึ่ง รัฐบาลจึงมีเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจครบทุกด้าน เช่นการลดภาษี การนำเข้า-ส่งออก และเมื่อมาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แม้ธปท.ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่ธปท.ก็คือหนึ่งในเครื่องมือที่คอยดูแลเสถียรภาพ

และเมื่อกลับมาดูที่รัฐบาลเมืองก็คือกรุงเทพมหานคร ซึ่งกรุงเทพฯ ไม่มีกระทรวงการคลัง แต่กรุงเทพมหานครก็คล้ายๆ คือมีสำนักต่างๆ ในกทม.ที่ก็เหมือนกระทรวงเล็กๆ

ดังนั้นกทม.ที่จะมี budget ที่ต้องมี Reinvestment ที่หากทำได้บ้างก็จะเป็นหนึ่งในกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม แต่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสุด โดยเรื่องสำคัญสุดก็คือ กรุงเทพมหานคร สำหรับเรา มองว่าก็เหมือน"เจ้าของพื้นที่"

....ยกตัวอย่างให้เห็นเช่น หากยุ้ยทำร้านกาแฟร้านหนึ่ง แล้วร้านไปตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่มีคนเดินเยอะ ไปตั้งตรงหน้าบันไดเลื่อนที่คนขึ้น-ลง ร้านยุ้ยที่ก็อาจทำกาแฟอร่อยเท่ากับอีกร้านหนึ่ง แต่ร้านนั้นตั้งอยู่หลังตึก แสดงว่ากทม.สามารถช่วยร้านกาแฟอย่างยุ้ยได้ โดยเอาร้านกาแฟอย่างที่เราทำไปตั้งอยู่บนสถานที่ซึ่งมีคนเห็นเยอะๆ เพราะว่าทำไมร้านกาแฟที่เหมือนกันทุกอย่างเลย เช่นเมล็ดกาแฟที่เหมือนกัน รสชาดกาแฟที่เหมือนกัน แต่ร้านนั้นไปตั้งอยู่ตรงหลังตึกแต่ขายไม่ได้เลย แต่ทำไมพอมาตั้งอยู่ตรงแถว บันไดเลื่อนกลางห้างแล้วขายดี ก็แสดงว่า การจัดสถานที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือที่เราอาจเคยได้ยินว่าเวลาเราอยู่ในห้างที่มันติด คำว่าห้างที่มันติด หมายความว่า คนไม่ได้มาห้างเพื่อมาซื้อกาแฟ แต่มาห้างเพราะมาซื้อทุกอย่างเลยเช่นมาซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ซื้อสูทให้สามี ซื้อของเข้าไปใช้ในบ้าน แล้วก็เดินผ่านแล้วก็แวะร้านกาแฟ

แสดงว่าการที่เราจัดรูปของร้านค้า จัดเศรษฐกิจให้เป็นย่าน ก็เหมือนกับห้างคือ มันก่อให้เกิด activity และ activity ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ทำให้คนมาที่ร้านกาแฟมากขึ้น ดังนั้นในเชิงเปรียบเทียบ หากเราบอกว่า ห้างมีการจัดสถานที่ซึ่งดี แล้วร้านคุณขายของดีได้ มันก็ไม่ต่างจากกรุงเทพมหานคร ที่หากจัดสถานที่ให้ดี แล้วเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นได้

ดังนั้นเราจึงมีนโยบายเรื่อง"เศรษฐกิจย่าน" การสร้าง area ที่เป็นย่าน อย่างเยาวราช เป็นย่านที่เกิดแล้ว และติดแล้ว แต่หากเราทำคล้ายๆ แบบนี้ ให้เกิดขึ้นได้ในอีกหลายย่าน มันก็สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในเชิงก่อให้เกิดคนมาเที่ยว อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราก็ไปลงพื้นที่ดูเรื่องเศรษฐกิจย่าน เราไป"ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ซึ่งแล่นๆไปตามคลอง ก็จะเจอหลายแยกและมีตลาดน้ำหลายตลาดมาก และสิ่งที่แปลกอย่างหนึ่ง จากที่เราทำธุรกิจเกี่ยวกับบ้าน ทำให้เรารู้ว่าคนปัจจุบัน เวลาสร้างบ้าน ต้องหันหน้าบ้านออกถนน แต่หากได้ลองแล่นเรือไปตามคลองต่างๆ ในย่านฝั่งธนบุรี จะได้เห็นบ้านที่หันหน้าเข้าคลองเต็มไปหมด เพราะเป็นบ้านในยุคอดีตที่หันหน้าเข้าคลอง เพราะสมัยก่อนเขาใช้คลองในการเดินทาง

ดังนั้น ถ้าเราแล่นที่คลองนี้ เราจะได้แวะได้หลายตลาด ที่เป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองแล้ว เราจะได้เห็นบ้านที่มีเอกลักษณ์เต็มไปหมด เพราะเป็นบ้านในอดีตที่หันหน้าเข้าคลอง ซึ่งลักษณะแบบนี้ก็เป็นการสร้าง"เศรษฐกิจย่าน"ได้อีกแบบหนึ่ง โดยที่ก่อนหน้านี้ ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาเที่ยวคลองแบบนี้เยอะพอสมควร ซึ่งวันที่ไป ก็เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เริ่มกลับมาเที่ยวแบบนี้บ้างแล้ว

สิ่งที่กทม.ทำได้คือ ทำตรงนี้ให้มันกลับมาหนักแน่นกว่าเดิม กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ กลับมาตรงนี้เยอะขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวตรงนี้จากคนในประเทศ เพราะอย่างตอนที่เราไป ก็สนุกดี นั่งอยู่บนเรือแล่นอยู่บนน้ำ โดยมีเรือหลายแบบให้เรานั่ง มีทั้งเรือแบบทัวร์ใหญ่ เรือเช่าส่วนตัว โดยสามารถแวะขึ้นตามท่าได้เต็มไปหมด และด้วยบ้านซึ่งถูกดีไซน์ออกมาแบบยุคเก่าคือหันหน้าเข้าคลอง ก็จะมีหลายบ้านมาก ทำให้บ้านตัวเองมีท่าเล็กๆ ให้คนอาจหยุดเรือแล้วขึ้นมา โดยมีขนมขาย แบบนี้คือการกระตุ้นให้เกิดย่าน เพราะคงไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติคนใดคนหนึ่งเดินทางไปเพื่อจะไปขึ้นท่าแค่แห่งเดียว แต่ถ้าเรากระตุ้นให้มีหลายท่า ให้มีหลายตลาด กระตุ้นให้เกิดการเดินทางที่ดี ทำโฆษณาด้วย ทำให้สะอาด ทำให้คนรู้สึกว่าปลอดภัย เราคิดว่าแบบนี้ก็คือการทำห้างดีๆนั่นเอง

ลักษณะแบบนี้คือบทบาทตรงไปตรงมามากที่กทม.ทำได้ แต่แน่นอนว่า ถ้าจะทำให้ดีที่สุด อาจจะไปดูเรื่องอื่นๆ ด้วยเช่นลดภาษีอะไรต่างๆ  แต่แบบนั้นเราอาจต้องขอความร่วมมือ เพราะกทม.เองไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องตรงไปตรงมาที่กทม.ทำได้ อย่างเรื่อง”การจัดพื้นที่ -การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจัดพื้นที่” หรือการจัดคล้ายๆ อีเวนต์ แบบนี้คือสิ่งที่กทม.ทำได้โดยตรง อย่างทำตลาดน้ำดีๆ ทำเศรษฐกิจย่านขึ้นมาให้บางย่านถูกจดจำในเรื่องของย่านนั้น ก็จะเป็นเอกลักษณ์ของย่านที่ทำให้เกิดการท่องเที่ยวได้สม่ำเสมอ   อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ อันหนึ่งแต่จริงๆ แล้วทำได้มากกว่านี้

220 นโยบาย

ถ้าชัชชาติ ชนะทำได้หมดหรือไม่

-ทุกนโยบายที่หาเสียงไว้หาก ดร.ชัชชาติ ชนะเลือกตั้งจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะทางทีมก็ไม่ได้ส่งผู้สมัครส.ก. จะทำให้มีปัญหาการบริหารงานอะไรหรือไม่?

เนื่องจากทุกคนที่จะเข้ามาเป็นผู้ว่าฯกทม.ที่หนึ่งสมัยคือสี่ปี ยุ้ยคิดว่าเราอาจไม่สามารถพูดได้ว่าทุกนโยบายจะเสร็จในสมัยหรือว่าจะได้ผลสำเร็จทุกอย่างตามที่เราต้องการร้อยเปอร์เซนต์ แต่ว่าอย่างน้อย ยุ้ยคิดว่าเรารู้ว่าเราจะเริ่มจากอะไร เพราะแต่ละนโยบายเรามีการคิดกันมาก่อนว่าแนวทางปฏิบัติจะทำอย่างไร ไม่ใช่แบบว่านั่งอยู่ในห้องแอร์แล้วเขียนนโยบายออกมา อย่างเราเอง ก็ไม่มีนโยบายไหนที่เริ่มจากตัวเองแล้วจบที่ตัวเอง แต่ทุกนโยบายเริ่มต้นจากเจอปัญหาแล้วถามผู้รู้ และเมืองไทยน่ารักอยู่อย่างหนึ่ง มีเอ็นจีโอเยอะ

อย่างเรามี passion ที่อยากจะทำคือเรื่อง"ที่อยู่อาศัย"โดยหากเราพูดเรื่องที่อยู่อาศัย คนส่วนใหญ่จะคิดใน context ที่ว่า "ทำอย่างไรให้คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยแล้วมี" แต่จริงๆ แล้วคนกรุงเทพ เรื่องที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ปัญหาว่าไม่มี คือมีเยอะมากที่มี แต่เป็นปัญหาในเชิง"ความปลอดภัย"ยกตัวอย่างเช่นชุมชนตลาดวัดประดู่ ที่เราได้เคยลงพื้นที่เมื่อเร็วๆนี้ คนมีโฉนดเป็นของตัวเอง บ้านบางคนมีเป็นไร่ แต่บ้านเขอเจอปัญหาเรื่องถนนสาธารณะเล็กมาก เป็นถนนสามเมตรเล็กๆ ที่ถูกสร้างมาคั่นระหว่างคลอง ซึ่งหากเกิดมีคนในชุมชนเจ็บป่วยไม่สบาย ก็แย่เลย เพราะถนนเส้นนี้ วิ่งได้แค่รถเมอตร์ไซด์ ซึ่งหากเกิดคนเจ็บป่วย รถพยาบาลหรือรถยนต์ส่วนตัว ก็ไม่สามารถเข้าไปรับได้

กรณีแบบนี้ ถามว่าเขามีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยหรือไม่ ซึ่งเรื่องแบบนี้ หากเราไม่ได้ลงไปพบเจอปัญหาแบบลึกๆ โดยได้แต่นั่งอยู่บนห้อง เราก็จะกาออกว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย หากมองแค่ว่าเขามีโฉนด-มีน้ำมีไฟ แต่หากไปดูหน้างาน จะพบเลยว่าเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งมีแบบนี้หลายที่มากที่เราได้ไปเจอ และหลายแห่งมากที่มีคนเสียชีวิตช่วงโควิด

อย่างมีชุมชนแห่งหนึ่ง มีผู้สูงอายุ หายใจไม่ออก รถพยาบาลเข้าไม่ได้ สิ่งที่ทำได้มีสองวิธี คือหนึ่ง นำผู้สูงอายุนั่งบนเรือแล้วก็แจวเรือพาออกไป แต่ตอนกลางคืนก็จะมืดมาก และสองคือ นำผู้สูงอายุขึ้นบนรถซาเล้ง แล้วเข็นออกเพื่อออกไปสู่ถนนใหญ่ แต่ก็ไม่ทัน ผู้สูงอายุก็เสียชีวิต

สิ่งเหล่านี้สำหรับเรา ถือว่าเป็นปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย แต่เกิดขึ้นจากความไม่มั่นคงหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะเขามีที่ดิน มีโฉนด มีบ้านเป็นชั้น จึงไม่ได้มีปัญหาเรื่องไม่มีความมั่นคง แต่ปัญหาคือไม่มีความปลอดภัย

"ดังนั้น มองว่ามิติของการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยมีมิติเยอะมาก แต่ถ้าเราไม่ลงพื้นที่ เราจะรู้สึกว่ามีมิติเดียวคือมีบ้าน กับไม่มีบ้าน แต่หากเราพื้นที่ไป จะเห็นมิติที่แยกออกไปเป็นสิบมิติได้"

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ หากเราไม่ได้มีการลงพื้นที่โดยอาศัยระยะเวลาที่ยาวนาน เราจะไม่มีทางเจอปัญหาด้านที่อยู่อาศัยครบทุกด้าน เพราะไม่มีใครจะมานั่งบรีฟเราว่าปัญหากรุงเทพฯมี 1-2-3 แต่เราต้องลงไปดูปัญหาเอง ดังนั้น ถ้าเราเริ่มต้นจากการคิดว่า ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยโดยมองแค่เรื่อง"มี"กับ"ไม่มี" เราก็จะจบแค่นั้น แต่เพราะอย่างดร.ชัชชาติ ใช้เวลาลงพื้นที่ยาวนาน อย่างยุ้ยก็เอาจริงเอาจังมากกับการลงพื้นที่ เพราะรู้สึกว่าหากนั่งอยู่ที่ทำงาน ก็จะแก้อะไรไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าอะไรคือปัญหา

“ก็จะได้คนที่รู้ปัญหาของกทม.มากที่สุดคนหนึ่งและดร.ชัชชาติ เป็นคนที่ออกตัวเร็วกว่าคนอื่น เพราะลงพื้นที่มานานกว่าคนอื่น สิ่งที่เรารู้ก็คือ สิ่งที่เราทำ(นโยบาย)ทำให้เขาสามารถเริ่มแก้ปัญหาได้เลย เพราะเขารู้ปัญหามาแล้วเป็นปีๆ ยุ้ยเปรียบเทียบไม่ได้ว่าเราดีกว่าคนอื่นยังไง แต่เราเปรียบเทียบได้ว่า ถ้าดร.ชัชชาติเข้าไปแล้วเราจะเป็นอย่างไร เพราะหากเข้าไป ก็สามารถแก้ปัญหาโดยเริ่มได้เลย เพราะรู้ปัญหาจริง เพราะตอนเราทำนโยบาย เราคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้จริง เพราะเราไม่ได้อยากอยู่ในโลกของการที่เช่นอีกสองปี แล้วมีคนด่าบอกว่าเราเคยไปพูดอะไร แต่เวลาทำจริง ทำไม่ได้ เราไม่อยากเป็นแบบนั้น”เป็นคำตอบของผศ.ดร.เกษรา หลังเราถามปิดท้ายว่า หากคนกทม.เลือกชัชชาติเป็นผู้ว่าฯกทม.คนกรุงเทพฯจะได้อะไร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..

รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ

เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก

คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!

เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย

ศึกเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 68 Generation War พท.-ปชน. บารมีบ้านใหญ่ ขลังหรือเสื่อม?

การเมืองท้องถิ่นกับการเลือกตั้ง "นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (นายก อบจ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการเลือกตั้งกันไปหลายจังหวัด ได้รับความสนใจจากแวดวงการเมืองอย่างมาก