เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ติดตามข่าวสารที่ผ่านหูผ่านตาในสังคมศาสนาบ้านเรายามนี้ ให้นึกถึงคำโบราณที่ว่า...
ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน...
เรื่องราวความสกปรกเหม็นคาวจึงเกิดขึ้นในแวดวงผ้ากาสาวะ.. ให้แปดเปื้อนสถาบันสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่นับวัน.. ออกอาการอ่อนแรงลงในทุกขณะ
ให้ระลึกถึงพระพุทธภาษิต.. ที่ปรากฏใน กิมพิลสูตร ซึ่งตรัสว่าด้วยเหตุปัจจัยทำให้ศาสนาเสื่อมที่ว่า...
“ดูก่อน กิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
...เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในศาสดา
...เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม
...เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสงฆ์
...เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขา
...เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน
ดูก่อน กิมพิละ นี้แล เป็นเหตุปัจจัย เคลื่อนให้พระสัทธรรม
ไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว”
อีกมูลเหตุหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องพระศาสนาเสื่อม ด้วยเพราะพระสัทธรรมเลอะเลือน.. ดังนี้
“...พวกภิกษุเล่าเรียนสูตรอันถือมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ อรรถความหมาย อันคลาดเคลื่อน
...พวกภิกษุเป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือนโดยความเคารพหนักแน่น
...พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) แต่ภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่นๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลายก็เลยขาดผู้เป็นมูลราก (อาจารย์) ไม่มีที่อาศัยสืบไป
...พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริขาร ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา เป็นผู้นำในทางทราม ไม่เหลียวแลในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่ได้บรรลุ.. เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง
พวกบวชภายหลังได้เห็นพระเถระเหล่านั้น ทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ ก็ถือเอาเป็นแบบอย่าง...”
เมื่อพิจารณาลงไปถึงตัวบุคคลในพระพุทธศาสนา.. ได้แก่ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา.. ก็จะได้เห็นถึงเหตุของความเสื่อมในพระพุทธศาสนา ที่มีมูลเหตุสำคัญที่สุดอันเกิดจากพุทธบริษัททั้ง ๔ เมื่อไม่ประพฤติตนตามพระธรรมวินัย.. มีการฝ่าฝืนพระธรรมวินัยกันมาก แม้จะเล่าเรียนจนจบการศึกษาปริยัติชั้นสูงทางพระศาสนา.. แต่กลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการเจริญสมณวิสัย เพื่อเป็นเครื่องเลี้ยงป้องกันตัวให้ห่างไกลจากอาบัติหนัก.. อาบัติเบา.. โลกธรรมต่างๆ ที่ไม่ควรเข้าไปส้องเสพ.. ที่จะนำไปสู่เหตุปัจจัยการฝ่าฝืนประพฤติปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย
เมื่อมาบวกกับการรับเข้ามาบรรพชา-อุปสมบทอย่างไม่คำนึงถึงมาตรฐานพระธรรมวินัย ไม่ใส่ใจในพุทธานุญาต ไม่ได้รับการตรวจสอบให้เข้มแข็งจาก “อุปัชฌาย์เป็ด” ทั้งหลาย.. จึงวุ่นวายเหมือนกลุ่มด้ายช่างทอหูกที่ผูกเป็นกระจุก โดยเฉพาะพวกที่บวชกันตามค่านิยมในสังคม..
ความไม่เคารพในพระพุทธ.. พระธรรม.. พระสงฆ์ จึงเป็นประเด็นสำคัญในการไปสู่ความไม่เคารพในสิกขาบท.. จึงตั้งอยู่ในความประมาท โดยเฉพาะในพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ไม่ให้การอบรมสั่งสอนอย่างจริงจัง ไม่เข้มงวดในพระธรรมวินัยในการอบรมภิกษุนวกะ.. อันมีแบบแผนที่ทรงแสดงไว้ชัดเจน...
ความเสื่อมจึงเกิดขึ้น.. ในหมู่ภิกษุที่บรรพชา-อุปสมบทเข้ามาอย่างไม่มีการปลูกฝังความศรัทธาปสาทะที่ถูกต้อง จึงนำไปสู่ความเศร้าหมองของพระพุทธศาสนา ที่ต้องอาศัยพระสงฆ์หรือหมู่คณะผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย.. ทำหน้าที่สืบทอดส่งต่อพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัย...
จึงเป็นปัญหาหลัก.. ที่ทำให้เป็นมูลเหตุแห่งความหายนะของพระสงฆ์ โดยเฉพาะเมื่อชีวิตยังข้องติดหนีไม่พ้นโลกธรรม.. สิ่งที่ชี้เป็นชี้ตายในโลกธรรม ได้แก่ เงินทองของมีค่า.. ที่จะชักนำไปสู่ยศถาบรรดาศักดิ์.. และที่สุดย่อมหนีไม่พ้นเรื่องผู้หญิงที่จะเข้ามาใกล้ เมื่อจิตใจไหลไปตามกระแสกามคุณ...
ทุกเรื่องราว.. ที่เกิดฉาวโฉ่ในวงการสงฆ์ในพระศาสนา จึงหนีไม่พ้นสองสิ่งที่มีอิทธิพลในโลกวัตถุนิยม ได้แก่ เงินทองและสตรี...
แม้ว่าพระพุทธศาสนาจักมีพระธรรมคำสั่งสอนไว้ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ว่าเงินทองเป็นศัตรูของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยนี้ เพราะจะนำไปสู่การเข้าใกล้กามคุณ...
แต่ก็ยังเห็นนักบวชจำนวนมากยังหน้าด้านรับเงินทองกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีการแสวงหาวัตถุกามดุจเดียวอย่างคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน มีการใช้ศาสตร์ศิลป์ที่เป็นติรัจฉานวิชา.. อันตรงข้ามกับพุทธศาสนา.. ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยเงินทองของมีค่าเหล่านั้น.. โดยอ้างกันจนเป็น สาธารณนิยม ว่า เพื่อบำรุงวัดวาอาราม.. สืบสานอายุพระพุทธศาสนา.. ที่สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน
ดังในสมัยพรรษาที่ ๓ หลังจากออกพรรษา พระพุทธองค์ประทับ ณ เวฬุวันมหาวิหาร แห่งพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ.. ได้ตรัสตอบนายบ้านชื่อ มณิจูฬก ที่เข้าไปกราบทูลถามพระองค์ กรณีที่ราชบริษัทในพระราชวังสนทนากันว่า ทองและเงินย่อมสมควรแก่สมณศากยบุตร.. ซึ่งตนได้กล่าวแย้งราชบริษัทเหล่านั้นว่า.. สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีในเงินทอง ย่อมไม่รับเงินและทอง ตามที่พระผู้มีพระภาคตรัส.. (ไม่ทราบว่าจะเป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์หรือไม่)!!
“..พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า.. ดีล่ะ นายคามณี เธอกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง เพราะว่า ทองและเงินไม่สมควรแก่สมณศากยบุตร
ทองและเงินควรแก่ผู้ใด เบญจกามคุณก็ควรแก่ผู้นั้น
เธอพึงจำไว้ในส่วนเดียวว่า เบญจกามคุณมิใช่ธรรมของศากยบุตร.. เรากล่าวอย่างนี้ว่า...
ผู้ต้องการหญ้า พึงแสวงหาหญ้า
ผู้ต้องการไม้ พึงแสวงหาไม้
ผู้ต้องการเกวียน พึงแสวงหาเกวียน
เรามิได้ตอบว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอันใดเลย...”
จะเห็นได้ว่า ทุกเหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ความวิบัติเสื่อมสิ้นไปของพระพุทธศาสนา.. ล้วนเกิดจากความไม่เคารพในพระธรรมวินัยของผู้ที่อ้างตนเป็นพุทธบริษัท เช่น ภิกษุ เป็นต้น.. แม้ว่าจะมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย ตามที่ได้ศึกษาท่องบ่นกันมา.. ทั้งนี้ ด้วยอำนาจฝ่ายต่ำยังมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตวิญญาณของบรรดาผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะเหล่านั้น แม้ว่าต่อมาทรงพุทธานุญาตให้ภิกษุยินดีใน “กัปปิยภัณฑ์” คือ สิ่งของอันควรสำหรับสงฆ์ อันได้มาจากเงินทองที่มีผู้ปวารณาถวายไว้กับ กัปปิยการก.. แต่มีข้อแม้ว่ามิให้ยินดีในการแสวงหาทองเงินด้วยตนเอง.. และห้ามไปผูกใจว่าเป็นของของตน.. จึงจะบริสุทธิ์ตามพระธรรมวินัย ซึ่งได้มีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุรับเงินทองหรือยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ระบุชัดเจนว่า วัตถุเหล่านั้น ผิดธรรม ผิดวินัย หากกระทำย่อมเท่ากับฝ่าฝืนหรือพยายามหลีกเลี่ยงต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปรับเป็นอาบัติใน หมวดนิสสัคคียปาจิตตีย์ ข้อ ๑๘.. ที่จะปลงอาบัติให้ตกได้นั้น จะต้องสละเงินทองนั้น.. จึงจะสำเร็จการชำระอาบัติ... ที่สำคัญจะต้องรู้วิธีการสละวัตถุอาบัตินั้นให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย อันเป็นไปตามพุทธบัญญัติ.. จึงจะทำคืนกลับในอาบัตินั้นได้...
ด้วยความไม่เคารพในพระธรรมวินัย.. ด้วยความไม่ศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง.. ด้วยความไม่ศึกษาให้รู้ถึงคุณค่าในพระพุทธศาสนา อันมีคุณไม่มีประมาณอย่างไร.. จึงนำไปสู่การประพฤติลูบคลำ.. ของผู้มุ่งเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาที่ขาดจิตวิญญาณชาวพุทธแท้จริง...
การเกิดปัญหามากมายในแวดวงสงฆ์.. จึงไม่ต่างจากปัญหาของชาวบ้าน ดังที่ปรากฏออกมามากมาย.. ที่พร้อมท้าทายประสิทธิภาพ คุณภาพ สมรรถภาพ ของคณะสงฆ์.. สถาบันสงฆ์.. องค์กรสงฆ์.. ว่า... จะสามารถยับยั้งแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้สิ้นไปได้หรือไม่!!.
เจริญพร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..
รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ
เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก
ประมาทไม่ได้เลย คือ จิตของเรา!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีพระภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า..
คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!
เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย
ศึกเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 68 Generation War พท.-ปชน. บารมีบ้านใหญ่ ขลังหรือเสื่อม?
การเมืองท้องถิ่นกับการเลือกตั้ง "นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (นายก อบจ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการเลือกตั้งกันไปหลายจังหวัด ได้รับความสนใจจากแวดวงการเมืองอย่างมาก
ขบวนการแพทย์ชนบท กับรางวัลแมกไซไซ ปี 2024 ทิศทางพัฒนาระบบสุขภาพไทย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คือวันเสาร์ที่ 16 พ.ย. คณะผู้แทน”ขบวนการแพทย์ชนบท” ได้เดินทางไปรับรางวัลแมกไซไซ ประจำปี 2024