เหตุที่ไม่ควรเกิด... หากเข้าใจธรรม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า...

..ดูก่อนมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน

เป็นผู้ต้องรับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

กรรมนั้นเอง ย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้างดีบ้าง...

เมื่อพิจารณาจากพุทธภาษิต ก็จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิต ที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปในทุกขณะ มีความแตกต่างกันไป เพราะตัณหาอุปาทาน.. ที่ผลักดันให้เกิดการกระทำ เพื่อหวังการสนองตอบ จึงก่อเกิดกระแสกรรมและวิบากขึ้น..

สัตว์ทั้งหลายจึงแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน เพราะวิถีแรงกรรมที่สั่งสมกันมา..

จากการกระทำที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อสนองตอบความต้องการ จึงต้องได้รับผลคืนกลับสู่ผู้กระทำ... นี่เป็นธรรมดา อันแสดงความเป็นธรรม.. ในธรรมชาติ ในรูปของวิถีกรรม ภายใต้กรรมนิยาม..

เมื่อกรรมนั้นได้ยอกย้อนกลับคืนมาในรูปของวิบาก จึงเกิดการจำแนกให้สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเจ้าของการกระทำ ต้องเป็นไปตามชนิดของกรรมที่ตนกระทำลงไป.. อย่างไม่สามารถจะหลีกหนีปฏิเสธได้เลย...

ดังเรื่องราวที่เพิ่งเกิดปรากฏ.. อันควรแก่การพิจารณายิ่ง ในยามนี้คงไม่เกินข่าว กรณี คนใกล้ชิดอดีตสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร ที่เพิ่งละสังขารไป.. ได้ทำการยักยอก เบียดบัง เงินทองของวัดวาอารามไปเป็นของตนที่มีมูลค่าประมาณเกือบ ๒๐๐ ล้านบาท...

จนชาววัดศรัทธาไทยแตกตื่นกันไปทั่ว พาร่ำลือกันไปผิดๆ เพี้ยนๆ ว่า.. เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตมีเงินทองส่วนตัวมากมาย.. จนออกจะมีการกล่าวปรามาสล้อเล่นให้บาปปากกันไปว่า.. อย่างนี้ไปเป็นคนขับรถพระผู้ใหญ่ดีกว่า จะได้ร่ำรวย!!

โดยข้อเท็จจริง เรื่องเงินจำนวนดังกล่าวมิได้เป็นของพระมหาเถระรูปดังกล่าว.. ตามที่ทราบมาโดยตลอดว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ รูปนี้ ท่านเคร่งครัดในพระวินัยพอสมควร เป็นแบบฉบับของพระเถระในพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง ที่ควรแก่การเคารพนับถือในจริยาวัตร..พระเถระ...

เรื่องของเรื่องแท้จริง.. มันเป็นเรื่องของคนคนหนึ่ง ที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด จนไว้วางใจได้

แต่เมื่อได้เข้าไปใกล้เงินทองของวัด.. ที่มีจำนวนไม่น้อย จึงเกิดความโลภเกินยับยั้ง.. เรื่องของเรื่องจึงเกิดขึ้น.. เพราะความอยากที่เกินหยุดใจ.. จึงเกิดวิธีการถ่ายถอนเงินทุนสร้างบำรุงวัดจากบัญชีต่างๆ ในการดูแลของพระมหาเถระ.. ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว... ดังที่เป็นข่าวฉาวในวันนี้

...ซึ่งทุกอย่างก็คงต้องว่ากันไปตามตัวบทกฎหมาย และคงต้องวางใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวน สอบสวน ติดตามต่อไป เพื่อนำเอาเงินบุญกุศลจำนวนดังกล่าวคืนกลับมาสู่วัดวาอารามที่กำลังสร้างอยู่...

จึงควรเข้าใจให้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงว่า.. เงินจำนวนดังกล่าว มิได้เป็นเงินส่วนตัวของสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ได้ละสังขารไปอย่างสงบ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา...

ก็คงจะเป็นอนุสติธรรม.. สำหรับพระเถรานุเถระทั้งหลายอีกครั้ง และอีกครั้งสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น.. เมื่อปัญหาเกิดจากคนใกล้ชิด ที่ติดตามรับใช้ดูแลจนวางใจเหมือนลูกหลาน.. ที่ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเฉพาะคนวัด.. เด็กวัด.. ซึ่งมีตัวอย่างเกิดขึ้นแบบนี้บ่อยครั้ง.. จนต้องใช้คำว่า.. อีกครั้งและอีกครั้ง!!

จากเรื่องที่เกิดขึ้นนับเป็นธัมมานุสติ ที่ควรระลึกถึงการไม่ควรคบหา ส้องเสพ กับคนพาลผีเปรตทั้งหลาย ดังเรื่องราวในชาดกเรื่องหนึ่ง.. ที่มีเรื่องเล่าว่า...

..ดาบสตนหนึ่ง ชื่อ อกิตติ.. เดิมเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล มีทรัพย์สมบัติถึง ๘๐ โกฏิ.. ในปัจจุบันต้องพูดว่าเป็นลูกเศรษฐีหมื่นล้าน...

ต่อมาได้รับสมบัติทั้งหมด เมื่อพ่อแม่ตายลง แต่ท่านอกิตติ.. ก็มิได้ยินดีในสมบัติพัสถานเหล่านั้น กลับมุ่งหน้าสู่เพศบรรพชิต ออกบวชเป็นดาบสตามประเพณีนิยม.. ในสมัยนั้น ที่เรียกว่า ฤาษี มีนามเรียกขานต่อมาว่า อกิตติดาบส .. ซึ่งได้ไปอาศัยเพียรสร้างตบะในป่าหมากเม่า

เมื่อคราวหมากเม่ามีผล ก็ฉันผล..

ไม่มีผลก็ฉันใบต้ม ด้วยน้ำเปล่า..

อกิตติดาบสไม่ยอมไปไหนเลย ประกอบความเพียรอยู่ด้วยความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง..

ด้วยอำนาจคุณธรรมดังกล่าว จึงร้อนไปถึงท้าวสักกเทวราช.. เมื่อได้ทราบถึงสาเหตุจึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์ลงมา ปรากฏยืนขออาหารหน้า อกิตติดาบส ที่กำลังต้มใบหมากเม่าเสร็จแล้วคอยให้เย็น

อกิตติดาบสเมื่อได้เห็นพราหมณ์มายืนขออยู่ จึงสละใบหมากเม่าให้พราหมณ์ดังกล่าวไปทั้งหมด จนตนเองต้องอดฉัน..

ท้าวสักกเทวราชทดลองใจอกิตติดาบส โดยกระทำดังกล่าวต่อเนื่องถึง ๓ วัน.. ทำให้ดาบสต้องอดอาหารติดต่อกันถึง ๓ วันเช่นกัน.. แต่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยมีปีติปราโมทย์เป็นดุจภักษาหาร...

เมื่อครบวันที่ ๓ .. ท้าวสักกเทวราชทรงมีความเลื่อมใสยิ่ง จึงแสดงตนพระราชทานพรแก่อกิตติดาบสว่า..

หากต้องการสิ่งใดให้ขอ.. จะพระราชทานให้ทุกประการ

อกิตติดาบส.. จึงทูลขอพรต่อท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งดาวดึงส์สวรรค์ว่า...

 “..ขอให้ข้าพเจ้า อย่าได้เห็น.. อย่าได้ยิน.. อย่าได้ฟังคนพาล

และขออย่าได้อยู่ร่วมกับคนพาล.. อย่าได้สนทนาปราศรัย กับคนพาล

และ อย่าได้ชอบใจ คนพาลเลย......”  

ท้าวสักกเทวราช เมื่อได้ฟังอกิตติดาบสกล่าวขอพรเช่นนั้น จึงแปลกใจ.. ได้ถามไปว่า..

 “..เพราะเหตุไร ท่านดาบสจึงตั้งความปรารถนาเช่นนั้น”

อกิตติดาบสตอบว่า..

 “คนพาล มีปัญญาทราม ย่อมแนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ...

..ชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ

การแนะนำไปในทางชั่ว คนพาลเห็นว่าเป็นการดี.. ใครสั่งสอนด้วยดี ก็กลับโกรธ

คนพาลไม่รู้อุบายแห่งการแนะนำ (ไม่รู้วินัย)

เพราะฉะนั้น การไม่ได้เห็น.. ไม่ได้คบคนพาล จึงเป็นการดี..”

อกิตติดาบสขอพรเพิ่มเติมว่า..

ขอให้ข้าฯ ได้เห็น.. ได้ฟัง และได้อยู่ร่วมกับนักปราชญ์ ให้ได้สนทนากับนักปราชญ์ และพอใจในนักปราชญ์

เพราะนักปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ไม่ชักชวนในสิ่งที่อันมิใช่ธุระ

การแนะนำทางดีเป็นความดีของนักปราชญ์

อนึ่ง! .. นักปราชญ์นั้นใครกล่าวสั่งสอนโดยดี ย่อมไม่โกรธ นักปราชญ์รู้วินัย เพราะฉะนั้นการได้สมาคมด้วยนักปราชญ์จึงดีนัก!!”

จากเรื่องราวของอกิตติดาบสกับท้าวสักกเทวราช.. คงจะสรุปได้ว่า..

..การคบบัณฑิต การได้เห็นบัณฑิต เป็นความสุข..

จึงควรคบ.. ควรเห็นในบัณฑิต

ส่วนการคบคนพาล ได้เห็นคนพาล เป็นความทุกข์

จึงไม่ควรเห็น ไม่ควรคบคนพาล เพราะมีแต่ความเสื่อมเสีย พิบัติ หายนะ.. และความทุกข์

จากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยามนี้ จึงควรนำมาพิจารณา เพื่อตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในคนพาล.. และไม่ควรปรามาสในบัณฑิต.. เพราะบุคคลผู้คบคนพาล ย่อมประสบทุกข์ ส่วนผู้คบบัณฑิต ย่อมประสบความสุข...

แต่ในขณะเดียวกัน การจะมองใครว่าเป็นบัณฑิตหรือคนพาลนั้น.. จะพิจารณาอย่างฉาบฉวยไม่ได้ ขอให้รู้จักประมาณตามความเป็นจริง..

ไม่ต้องถึงกับมองโลกในแง่สวยเกินไป

และไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายเกินจริง..

จึงควรมองตามความเป็นจริงโดยธรรมเป็นสำคัญที่สุด ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ และจิตสำนึก...

การได้เห็นตามความเป็นจริงครบทุกด้าน ทั้งกาย วาจา ใจ และทิฏฐิ.. ย่อมพิจารณาเข้าสู่หลักธรรมได้ เพื่อดำเนินไปตามธรรมในทุกกรณี.. ที่ไม่ควรคลาดไปจากธรรม.. เพื่อความยุติโดยธรรมในทุกๆ เรื่อง.. ดังที่สรุปได้ว่า...

 “..คนดี ทำดีได้ง่าย        ทำชั่วได้ยาก

..คนชั่ว ทำชั่วได้ง่าย       ทำดีได้ยาก

เพราะฉะนั้น ทางดำเนินของคนดีและคนชั่วจึงต่างกัน

คนชั่ว ดำเนินไปทางต่ำ

ส่วนคนดี ดำเนินไปทางสูง หรือทางดี..

คนดี ย่อมส้องเสพธรรม

แต่คนชั่ว ย่อมส้องเสพอธรรม

อธรรมจึงนำคนชั่วไปนรก.. ส่วนธรรมย่อมนำคนดีไปสู่สวรรค์...

จึงสรุปได้ว่า.. บุคคลจะอยู่เป็นสุข ไม่เดือดร้อน เพราะการไม่คบคนพาล!!....”

เจริญพร

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..

รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ

เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก

คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!

เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย

ศึกเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 68 Generation War พท.-ปชน. บารมีบ้านใหญ่ ขลังหรือเสื่อม?

การเมืองท้องถิ่นกับการเลือกตั้ง "นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (นายก อบจ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการเลือกตั้งกันไปหลายจังหวัด ได้รับความสนใจจากแวดวงการเมืองอย่างมาก