น้ำมันแพงเพราะแรงสงคราม

ทหารยูเครนเดินสำรวจสภาพความเสียหายใกล้กับศูนย์การค้าเรโทรวิลล์และอาคารบ้านเรือนของประชาชนในกรุงเคียฟเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2565 หลังจากโดนรัสเซียยิงปืนใหญ่ถล่มเมื่อคืนวันอาทิตย์ (Photo by ARIS MESSINIS / AFP)

ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ข่าวดังทั่วโลกเห็นจะไม่มีใครเกินข่าวเกี่ยวกับสงครามที่รัสเซียบุกยูเครน มีคำถามยอดฮิตที่สื่อมวลชนชอบถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าสงครามในยูเครนทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกแพงได้อย่างไร ผมจึงขอตอบคำถามในบทความนี้ พร้อมทั้งจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 1 – 2 ข้อ

ก่อนอื่น “ทำไมสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจึงทำให้ราคาน้ำมันโลกแพง?” เราต้องเข้าใจก่อนว่า นอกจากเป็นมหาอำนาจทางทหารแล้ว รัสเซียยังเป็นมหาอำนาจทางพลังงานอีกด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับที่ 3 ของโลก และส่งออกน้ำมันเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ในปี ค.ศ. 2020 รัสเซียผลิตน้ำมันได้วันละประมาณ 10 ล้านบาเรล โดยส่งออกไปประมาณครึ่งหนึ่งของที่ผลิต คิดเป็นประมาณ 10% ของการส่งออกน้ำมันทั้งหมดของโลก และมากกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมดเป็นการขายให้กับประเทศในยุโรป

นอกจากนั้น รัสเซียยังเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย โดยกว่า 60% ของการส่งออกทั้งหมดเป็นการขายให้กับประเทศในยุโรป ก๊าซที่รัสเซียขายให้กับยุโรปตะวันตกจำนวนหนึ่งต้องขนส่งทางท่อก๊าซซึ่งวางผ่านดินแดนของประเทศยูเครนด้วย

ดังนั้น เมื่อรัสเซียบุกยูเครน ผู้คนจึงวิตกกันว่าการส่งออกทั้งของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียจะหยุดชะงักลงได้ โดยอาจจะเกิดจากการสู้รบที่เป็นอุปสรรคต่อการขนส่งเชื้อเพลิงเหล่านี้ และเกิดจากการที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร NATO ร่วมกันคว่ำบาตรรัสเซียในด้านการค้าและการเงิน

เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ปริมาณที่อาจจะขาดหายไปจากตลาดโลก จึงจะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขึ้นได้ และเป็นปัจจัยผลักดันให้ราคาน้ำมันและก๊าซสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในวันที่ 6 มีนาคมปีนี้ ราคาน้ำมันดิบBrent พุ่งสูงสุดถึงบาเรลละ 130 เหรียญสหรัฐฯ จนถึงทุกวันนี้สงครามที่กำลังดำเนินอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ก็ยังมีผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงกว่า 100 เหรียญต่อบาเรลมาโดยตลอด ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน

เราต้องเข้าใจอีกเช่นเดียวกันว่า เศรษฐกิจรัสเซียเองก็ต้องพึ่งพาการผลิตและส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนที่สูง ในปี ค.ศ. 2019 สาขาเศรษฐกิจที่ผลิตน้ำมันและก๊าซได้สร้างรายได้งบประมาณให้กับรัฐบาลรัสเซียมากถึง 40% ของงบรายได้ทั้งหมด และทำรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกพลังงานได้มากถึง 60% ของรายได้ส่งออกทั้งหมด

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ และพันธมิตร NATO ต้องการจะตัดกำลังทางเศรษฐกิจและลงโทษรัสเซีย โดยการคว่ำบาตรไม่ให้รัสเซียมีโอกาสขายน้ำมันและก๊าซ แล้วนำรายได้ไปสนับสนุนกองทัพที่กำลังรุกรานยูเครนอยู่ในขณะนี้

ในช่วงแรกๆ ของสงครามรัสเซีย-ยูเครน สหรัฐฯ และพันธมิตรเริ่มใช้วิธีลงโทษรัสเซียโดยการคว่ำบาตรทางการเงินและการค้าสินค้าและบริการที่สำคัญหลายประเภท ยกเว้นพลังงาน แต่ต่อมาสหรัฐฯ และอังกฤษได้ประกาศคว่ำบาตรไม่ซื้อน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียเลย ในขณะที่ประเทศพันธมิตร NATO อื่นๆในยุโรปตัดสินใจว่าจะลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียลงให้เหลือหนึ่งในสามภายในปลายปีนี้ และจะพยายามลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียลงให้เหลือน้อยที่สุดในปีต่อๆ ไป

คำถาม “ทำไมยุโรปจึงไม่กล้าคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซียอย่างเต็มที่และทันที?” เหตุผลสำคัญคือประเทศสมาชิก NATO ในยุโรปส่วนใหญ่ต้องนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง โดยรวมแล้วยุโรปตะวันตกต้องพึ่งพาน้ำมันจากรัสเซียมากถึง 25% ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมด ยุโรปพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในอัตราที่ยิ่งสูงกว่ากรณีของน้ำมัน โดยในปัจจุบันก๊าซจากรัสเซีย (ซึ่งส่วนใหญ่ส่งผ่านท่อก๊าซ) มีสัดส่วนมากถึง 40% ของการนำเข้าก๊าซทั้งหมดในยุโรปตะวันตก ประเทศในยุโรปที่ต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียในอัตราที่สูงมากคือ เยอรมนี โปแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสโลวาเกีย ส่วนสหรัฐฯ และอังกฤษพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียในสัดส่วนที่น้อยมาก

ดังนั้น เราจึงน่าจะพอเข้าใจได้ว่าทำไมยุโรปตะวันตกจึงไม่ยังสามารถคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และก็มีความกังวลอยู่ว่ารัสเซียจะใช้ประเด็นการพึ่งพานี้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อบีบให้ NATO ไม่เข้าร่วมช่วยเหลือยูเครนในสงครามครั้งนี้

ในระยะสั้น ยุโรปตะวันตกมีทางเลือกไม่มากนักในการนำพลังงานอื่นมาทดแทนพลังงานนำเข้าจากรัสเซีย ทางเลือกหนึ่งคือการซื้อน้ำมันเพิ่มจากประเทศสมาชิกโอเปคที่ยังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่ ได้แก่ ซาอุดิอาเรเบีย (ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่เต็มใจเพิ่มปริมาณการผลิตเพราะมีข้อตกลงอยู่กับโอเปคและรัสเซีย) อิหร่าน และเวเนซุเอลา (ซึ่งในปัจจุบันทั้งสองประเทศกำลังถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลทางการเมือง) ในช่วงนี้ประเทศตะวันตกคงกำลังเจรจากับสามประเทศเหล่านี้ให้ขายน้ำมันให้ยุโรปตะวันตกเพื่อทดแทนน้ำมันจากรัสเซีย

อีกทางเลือกหนึ่งคือการนำเอาน้ำมันในคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (strategic petroleum reserve) ของประเทศอุตสาหกรรมออกมาขายเพื่อเพิ่ม supply ในตลาดและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน ในต้นเดือนมีนาคมนี้ สหรัฐฯ ร่วมกับพันธมิตรได้นำเอาน้ำมันที่สำรองทางยุทธศาสตร์ออกขายจำนวน 60 ล้านบาเรล แต่ก็ไม่มีผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง โดยราคายังคงสูงอยู่ที่ระดับกว่า 100 เหรียญต่อบาเรล อาจเป็นเพราะตลาดเชื่อว่าปริมาณขายจากคลังสำรองดังกล่าวไม่มากพอที่จะปิดช่องโหว่นั่นเอง

ในส่วนที่เป็นก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ยุโรปตะวันตกยิ่งมีทางเลือกที่น้อยและยากกว่ากรณีน้ำมัน เพราะก๊าซที่จะมาทดแทนได้น่าจะอยู่ในรูปของก๊าซธรรมชาติเหลว (liquefied natural gas หรือ LNG) ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งที่ใช้เงินลงทุนสูง และมาจากแหล่งผลิตสำคัญไม่กี่แห่งในโลก ได้แก่ กาตาร์ สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน เมื่อวันที่ 25 มีนาคมนี้ สหรัฐฯ เพิ่งทำข้อตกลงที่จะขาย LNG ให้สหภาพยุโรปในจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 15 พันล้านลูกบาศก์เมตรภายในปลายปีนี้ แต่นั่นก็เป็นปริมาณที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดการนำเข้าก๊าซจากรัสเซียในแต่ละปี (ซึ่งมากถึงกว่า 200 พันล้านลูกบาศก์เมตร)

บางประเทศในสหภาพยุโรปอาจเลือกหันมาใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซ และที่สามารถผลิตได้เองอยู่แล้ว เยอรมนีปรับแผนการมุ่งเน้นพลังงานสะอาด โดยในช่วงแรกจะยืดอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินและโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ออกไปอีก และในขณะเดียวกันก็มีแผนเร่งรัดพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น แผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และ green hydrogen) เพื่อให้สามารถลดหรือเลิกการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล (รวมถึงน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย) ได้ในระยะยาว

คำถามยอดฮิตข้อสุดท้ายคือ “น้ำมันจะมีราคาแพงอย่างนี้ไปอีกนานไหม?” แต่ผมหมดพื้นที่ที่จะตอบคำถามนี้ในบทความนี้แล้ว เอาไว้ตอบในตอนต่อไป

ส่งบทความคอลัมน์ เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ โดย
ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปลี่ยนก้อนหิน เป็นดอกไม้..เปลี่ยนความขัดแย้ง เป็นความปรองดอง หลอมรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย พาประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า…..

ปีแล้วปีเล่าที่ประเทศอันเป็นที่รักของเรา ต้องติดหล่ม จมอยู่กับความขัดแย้ง และทิ่มแทงกันด้วยถ้อยคำกร้าวร้าวรุนแรง แบ่งฝักฝ่ายขว้างปาความเกรี้ยวกราดใส่กัน ด้วยเหตุจากความเห็นที่แตกต่างกัน และช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่หัวใจอย่างยิ่ง

ตลาดหุ้นกู้ กับ การสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

นช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทเอกชนเข้ามาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้กันมากขึ้น ตลาดหุ้นกู้จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีมูลค่าคงค้างราว 4.5 ล้านล้านบาท  จำนวนบริษัทที่ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนก็เพิ่มขึ้นมาก  ไม่จำกัดอยู่เพียงบริษัทขนาดใหญ่เหมือนแต่ก่อน  แต่มีทั้งบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น

ชาวนาบุรีรัมย์ช้ำในอก น้ำมันแพงพุ่ง แบกรับต้นทุนเพิ่ม

เสียงสะท้อนชาวนาบุรีรัมย์  ชี้ได้รับผลกระทบหนัก น้ำมันแพง ทำต้นทุนเพิ่มอื้อ  จี้รัฐบาลอย่านิ่งูดายจริงจังแก้ไขปัญหาราคา

โอกาสของการพัฒนาภาคเกษตรไทย

ภาคเกษตรเคยเป็นพระเอกทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นแหล่งอาหารที่เลี้ยงดูประชากรให้มีความอิ่มหนำสำราญ สร้างโอกาสให้คนไปทำงานอื่น ๆ แถมยังสร้างชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศด้วย

โหมโรงของคอร์รัปชันรูปแบบใหม่ในโลกปัจจุบัน

การคอร์รัปชันเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่หยั่งรากลึก แพร่กระจาย และบ่อนทำลายความไว้วางใจที่มีต่อรัฐบาล อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน และขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศในทุกมิติ เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป โลกเข้าสู่ทศวรรษใหม่ การคาดการณ์ถึงวิวัฒนาการของการคอร์รัปชันเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการคอร์รัปชันสมัยใหม่จะทำให้ทุกภาคส่วน สามารถพัฒนามาตรการรับมือที่มีประสิทธิผล