พลังชุมชนท้องถิ่นตอบโจทย์ สร้างสุขภาวะเข้มแข็งยั่งยืน

จากเวทีสานพลังสร้างนวัตกรรม สู่สุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืน วาระ:พลังชุมชนท้องถิ่น ตอบโจทย์ประเทศ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ห้องรอยัล จูบิลี ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี นนทบุรี ซึ่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผสานพลังภาคีเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่กว่า 500 ตำบลทั่วไทยกว่า 4,000 คน ร่วมกันเปิดกรอบความคิดด้วยพลังปัญญาไขกับดักทุกปัญหา พร้อมเปิดหน้าต่างเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงด้วยการสร้างเครือข่ายในการทำงาน Together We Can  

ทำให้เราตระหนักรู้ เข้าถึงและเข้าใจร่วมกันว่า พลังชุมชน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่ (กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน) องค์กรชุมชน และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่ นับเป็นฐานสำคัญที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น อีกทั้งสร้างสุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืนสู่การบูรณาการงานสร้างเสริมสุขภาพตามเป้าหมายที่ต้องการได้

"สุขภาพดีเริ่มที่ตัวเรา ครอบครัว ชุมชน ชุมชนเข้มแข็งได้ต้องมีส่วนร่วม การแก้ไขปัญหาสุขภาพไม่ใช่เป็นงานของบุคลากรสุขภาพเท่านั้น แต่เป็นส่วนที่ทุกคนในชุมชนต้องมีส่วนร่วม ชุมชนเข้มแข็งเหมือนนิสัย ถ้าคนมีนิสัยดี ทำอะไรก็สำเร็จ ชุมชนที่มีความเข้มแข็ง แก้ปัญหาอะไรก็สำเร็จ สงครามโรคยากที่จะจัดการได้ สงครามเชื้อโรค สงครามพฤติกรรม (จิตใจตนเอง) สงครามสังคมป่วย เพราะปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องซับซ้อน ยากที่จะแก้ไขได้ ต้องอาศัยชุมชนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” ส่วนหนึ่งของประเด็นในการสานพลังชุมชนท้องถิ่นเพื่อตอบโจทย์ประเทศไทย โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ (สำนัก 7) สสส. ซึ่งเป็นการยืนยันว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน ความสำเร็จก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

คุณหมอพงศ์เทพเปิดเผยว่า ระบบสุขภาพในปัจจุบันมุ่งเน้นการรักษาเป็นหลัก ส่งเสริมในกลุ่มปกติ ป้องกันในกลุ่มเสี่ยง รักษาในกลุ่มป่วย ฟื้นฟูในกลุ่มหายป่วย ในขณะที่ระบบเดิมเน้นการรักษา การเข้าไปเสริมศักยภาพ ป้องกัน ฟื้นฟูสุขภาพในชุมชน ต้องเริ่มต้นที่ชุมชนเข้มแข็ง "เราใช้วิธีคิดแบบตะวันตก เป็นโรคต้องกินยา งบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุขซ่อมมากกว่าการสร้าง ในขณะที่ สสส.ยึดหลักสร้างนำซ่อม" 

ทั้งนี้ ข้อมูลสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ เสนอถึงผลการศึกษาการสูญเสียปีสุขภาวะจาก 17 กลุ่ม ปัจจัยเสี่ยงใหญ่ของประเทศไทยในปี 2562 อันดับแรกคือการบริโภคยาสูบ 2.ระดับน้ำตาลในเลือดสูง 3.ความดันโลหิตสูง 4.ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูง 5. ความเสี่ยงด้านอาหาร

เป็นที่สังเกตว่าเด็กชายวัย 5-14 ปี มีอุบัติเหตุจราจร 565 ราย จมน้ำ 432 ราย มะเร็งเม็ดเลือดขาว 116 ราย ส่วนเด็กหญิงอุบัติเหตุจราจร 294 ราย จมน้ำ 155 ราย อุบัติเหตุอื่นๆ 105 ราย เด็กชายวัยรุ่น 15-29 ปี อุบัติเหตุจราจร 6,047ราย ฆ่าตัวตาย 1,270 ราย โรคเอดส์ 1,265 ราย เด็กหญิงวัยรุ่น 15-29 ปี อุบัติเหตุจราจร 1,116 ราย โรคเอดส์ 853 ราย ส่วนผู้สูงวัยชายวัย 60-69 ปี เสียชีวิตด้วยหลอดเลือดสมอง 5,864 คน มะเร็งตับ 4,745 คน หลอดเลือดหัวใจตีบ4,730คน ในขณะที่ผู้สูงวัยหญิงวัย 60-69 ปี เสียชีวิตด้วยเบาหวาน 4,184 คน หลอดเลือดสมอง 3,181 คน หลอดเลือดหัวใจตีบ 2,730  คน

นพ.พงศ์เทพยังให้คำคมเป็นข้อคิดด้วยว่า การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เหมือนกับการปลูกพืชที่มีรากแก้ว ต้นไม้จะเติบใหญ่ออกดอกออกผลได้ตลอดช่วงชีวิต เราต้องสร้างชุมชนปลอดภัย สำรวจจุดเสี่ยง สอบสวนการบาดเจ็บในชุมชน สานพลังที่ชุมชนทำได้ในขณะที่ส่วนราชการทำไม่ได้ เจ้าของบ้านอนุญาตให้ชุมชนทุบรั้วบ้านตัวเองเพื่อทำรั้วโปร่งเพื่อความปลอดภัย ชุมชนร่วมกันสร้างประเพณีแข่งเรือปลอดเหล้า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผอ.รพ.สต.เข้าเยี่ยมผู้ป่วยเมาแล้วขับ โดยผู้ป่วยให้คำมั่นสัญญาว่าจะเลิกดื่มแล้วขับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นต้น

ในโอกาสนี้ มีการยกตัวอย่างการบูรณาการทำงานโดยกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพ:บทเรียนที่จังหวัดน่าน ว่าส่งผลให้มีศูนย์ฟื้นฟูชุมชน กลุ่มผู้ป่วย Intermediate care ผู้สูงอายุที่ต้องฟื้นฟูใกล้บ้าน ใกล้ใจ ลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายเป็นการรักษาใกล้บ้าน การปรับสภาพบ้านเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตที่สะดวกขึ้น การจัดหาอุปกรณ์สำหรับการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้านจนสามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ การแก้ไขปัญหาต่อเนื่องที่บ้านด้วยการติดต่อกลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลน่าน

ครูศูนย์เด็กเล็กร่วมกันทำโครงการปลุกพลังบวก สร้างจิตสำนึกภูมิคุ้มกันปัจจัยเสี่ยงสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นความผูกพัน ความไว้วางใจ การทำงานเป็นทีม เพราะเราจะต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน สิ่งสำคัญก็คือการสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพดีวิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิธีเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างพื้นที่ต้นแบบ สุขภาพดี โรงพยาบาลยุพราชกระนวน จ.ขอนแก่น ด้วยแนวคิด 3 ส. 3 อ.1 น.+แนวทางการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการสังเกตพฤติกรรมตัวเอง การดูแลตนเองเพื่อนำไปปฏิบัติจะทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น ผู้ป่วยสามารถลดยารักษาโรคเบาหวานได้ 100% หยุดยาได้ร้อยละ33.3 ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูงรายใหม่ลดลงได้

รศ.ดร.ขนิษฐา นันทบุตร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (ศวช.) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชี้แจงถึงบทเรียนการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพโดยชุมชนท้องถิ่น เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ การถ่ายโอนภารกิจให้ อบจ. สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 3,264 แห่ง ตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติว่า

ความเปลี่ยนแปลงในการถ่ายโอนสู่โครงสร้างระบบสุขภาพในชุมชน ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมถึงประชาชน 100% ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เพียงการจัดการโรค ความเจ็บป่วย แต่เป็นการจัดการสภาพแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ ไม่ให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ”

รศ.ดร.ขนิษฐาตอกย้ำว่า ถ้าชุมชนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง ภาคการมีส่วนร่วมทำให้สุขภาพประชาชนเป็นไปในทิศทางที่ดี เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงถ่ายโอนด้วยโครงสร้างระบบสุขภาพในชุมชน มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สปสช.ฯลฯ มีการสนับสนุนกำลังคน การบริหารจัดการก็จะขับเคลื่อนได้อย่างเป็นกระบวนการและเป็นระบบ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชวนนักดื่ม “ตรวจตับ-เลิกจับขวด” ฟื้นฟูสุขภาพคืนความสุขครอบครัว

"งดเหล้าเข้าพรรษา" ในระยะเวลา 3 เดือน ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในเทศกาลสำคัญ ที่มุ่งเน้นให้ชาวพุทธงดดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เพียงเป็นการรักษาประเพณีและศีลธรรมเท่านั้น

“สุรศักดิ์” รมช.ศธ. เดินหน้าขับเคลื่อนรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ชูโมเดล “ศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย จ.อยุธยา” ของสสส.

วันที่ 18 พ.ย. 2567 ที่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดศูนย์การเรียนรู้การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภายในงานเวทีสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนั

สสส.สานพลังภาคี ขจัดความเหลื่อล้ำกิจกรรมทางกาย ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่

กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม

สสส.-สคล. ผนึกภาครัฐ เอกชน จัดแข่งฟุตซอลเยาวชนไม่เกิน 15 ปี ชิงถ้วยกรมสมเด็จพระเทพฯ

สสส. โดยสมาคมเครือข่ายงดเหล้าและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ (สคล.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายและภาคเอกชน รวม 7 องค์กร ลงนามความร่วมมือ พร้อมจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ

"สิทธิในอาหารเพื่อชีวิตที่ดี" ความตระหนักรู้เสริมสุขภาวะ

เด็กทั่วโลกเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร เพราะการบริโภคไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาวะอ้วนผอม ชาวโลกเผชิญความอดอยากเกือบ 300 ล้านคน

สสส.ชวนคนรักสุขภาพ ร่วม'เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง' กระตุ้น'นักวิ่งหน้าใหม่'ลงสนาม8ธ.ค.นี้

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ สมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย จัดงานแถลงข่าว Thai Health Day Run 2024 วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่ ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด “เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง” ในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ ที่สะพานพระราม 8 โดย สสส. มุ่งจุดกระแสกิจกรรมทางกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต ซึ่งจากผลสำรวจอายุคาดเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2567 ของ www.worldometers.info ระบุว่า ไทยมีอายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ 76.56 ปี อายุยืนเป็นอันดับที่ 78 ของโลก ขณะที่ข้อมูลจากฐานข้อมูลการตาย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561-2565 พบคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 164,720 ราย สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คือ ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิถีชีวิต