คลังตั้งโต๊ะเสกจีดีพีปีนี้โตถึง 1% ลุ้นมาตรการเปิดเมืองดันเต็มสูบ

“คลัง” ตั้งโต๊ะเสกตัวเลขจีดีพีปีนี้โตถึง 1% รับโควิด-19 ระลอกใหม่ทุบเศรษฐกิจไตรมาส 3 อ่วมติดลบ 3.5% หวังอานิสงส์มาตรการเปิดเมือง-โครงการกระตุ้นใช้จ่าย หนุนเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายฟื้นตัวได้ถึง 3% จับตาไวรัสกลายพันธุ์ทำวัคซีนไร้ประสิทธิภาพ

28 ต.ค. 2564 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2564 เหลือ 1% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 0.5-1.5% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 1.3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2564 ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก จากมาตรการควบคุมโรคและการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง

ทั้งนี้ ในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดมีทิศทางดีขึ้นเป็นลำดับ ประกอบกับความคืบหน้าในการจัดหาและกระจายวัคซีนให้ประชาชน ทำให้ภาครัฐสามารถผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดลง รวมทั้งได้มีแผนการเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ในปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทยประมาณ 1.8 แสนคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวราว 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง ภาคการขนส่ง ธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจและบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่น ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

“ต้องยอมรับว่าในไตรมาส 3/2564 เศรษฐกิจโดนหนักจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ ทำให้คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะอยู่ที่ -3.5% ขณะที่ในไตรมาส 4/2564 ประเมินว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และมาตรการกระตุ้นอื่น ๆ ที่เข้ามาเสริม รวมถึงการเปิดประเทศ ที่จะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวขยายตัวได้ที่ระดับ 3%” นายพรชัย กล่าว

นอกจากนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2564 จะขยายตัวที่ 0.8% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่4% ต่อปี ส่วนของการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้ จะขยายตัวที่ระดับ 16.3% ต่อปี โดยยังคงต้องติดตามปัญหาห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain Disruption) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในระยะถัดไป

ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย ผ่านการดำเนินมาตรการทางการคลังของภาครัฐอย่างต่อเนื่องอาทิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ และมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 พ.ศ. 2563 และ พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคบรรเทาผลกระทบของภาคธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐ ขยายตัว 3.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐจะขยายตัว 8.1% ต่อปี

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะอยู่ที่ 1% ต่อปี เนื่องจากภาครัฐมีการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศและปัจจัยด้านอุปทานส่วนเกินส่งผลให้ราคาสินค้าหมวดอาหารสดลดลงเป็นสำคัญ ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล-18.3พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็น -3.7ของจีดีพี จากดุลการค้าที่เกินดุลลดลงและการขาดดุลบริการเป็นสำคัญ

นายพรชัย กล่าวอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 4% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3-5% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 7 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 แสนล้านบาท ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8% ต่อปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การจ้างงาน และการบริโภคภายในประเทศ

โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2% ต่อปี ขณะที่การดำเนินนโยบายของภาครัฐก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.1% ต่อปี ส่วนการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวที่ 5% ต่อปี ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.4% ปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ 1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ซึ่งอาจจะลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีน 2. ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain Disruption) และการขนส่งระหว่างประเทศ 3. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น และ 4. ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก อาทิ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเคลื่อนย้ายเงินทุน และนโยบายการเงินของประเทศสำคัญในระยะต่อไปที่มีแนวโน้มที่ตึงตัวมากขึ้น

สำหรับภาพรวมการเบิกจ่ายเงินจาก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท พบว่า มีการอนุมัติวงเงินแล้ว 9.8 แสนล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 8.9 แสนล้านบาท ขณะที่การใช้จ่ายเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาทนั้น มีการอนุมัติวงเงินแล้ว 1.45 แสนล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1.19 แสนล้านบาท ขณะที่การเติมเงินอีก 1.5 พันบาทต่อคนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 นั้น คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากประชาชนออกมาสมทบ 4.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยการใช้จ่ายในช่วง 2 เดือนสุดท้ายในปีนี้ได้เป็นอย่างดี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผงะ! ขุนคลัง ขอร่วมวงถก สมาคมแบงก์

“ขุนคลัง” ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมแบงก์ หวังถกปลดล็อกปล่อยกู้ กระทุ้งหั่นดอกเบี้ย พร้อมเร่งหาข้อสรุปมาตรการ LTV ให้จบก่อนสิ้นเดือนนี้ “นักวิชาการ” หนุนหวยเกษียณ แต่แนะเพิ่มเงินรางวัล

นายแบงก์ผวา! 'ขุนคลัง' ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมธนาคารไทย บี้ปลดล็อกปล่อยกู้ หั่นดอกเบี้ย เร่งสรุปLTVก่อนมหกรรมบ้าน

'ขุนคลัง' ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมแบงก์ หวังถกปลดล็อกปล่อยกู้ กระทุ้งหั่นดอกเบี้ย พร้อมเร่งหาข้อสรุปมาตรการ LTV คาดได้ข้อสรุปก่อนมหกรรมบ้านและคอนโด ปลายเดือนนี้