
27 ต.ค. 2564 – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยรายงานในเดือน กันยายน 64 สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้นส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว อีกทั้งเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าหนุนให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 17.1% จาก 8.9% ในเดือนสิงหาคม 64 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกของไทยเติบโตได้ถึง 15.5% และ เมื่อหักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและอาวุธขยายตัวได้ที่ 20.4% สะท้อนความต้องการสินค้าในตลาดโลกยังสูง
การส่งออกไปในประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการส่งออกไปใน CLMV ที่พลิกกลับมาขยายตัวที่ 8.2% จากที่ไม่เติบโตในเดือนสิงหาคม 64 อย่างไรก็ตามการส่งออกไปยังเวียดนามเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์การระบาดรุนแรงในประเทศ โดยมาตรการล็อกดาวน์ของทางเวียดนามค่อนข้างเข้มงวด เช่น ประชาชนต้องอยู่ในบ้าน และงดกิจกรรมนอกบ้านที่ไม่จำเป็นทั้งหมด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในเวียดนาม อย่างไรก็ดีการส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญของไทยอย่างสหรัฐฯ (+20.2%) ยุโรป (12.6%) และญี่ปุ่น (+13.2%) ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง
การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ ส่งผลให้สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในเดือนกันยายน 64 เติบโตได้ที่ 15.7% จาก 3.3% ในเดือนสิงหาคม 64 โดยสินค้าที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ยังสามารถเติบโตได้ที่ 10.3% แม้จะชะลอลงจากเดือนก่อนที่อยู่ขยายตัวที่ 23.5% จากปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่การส่งออกสินค้าประเภทเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (+16.5%) เครื่องใช้ไฟฟ้า (+11.2%) รวมถึง เคมีภัณฑ์ (+55.8%) ยังขยายตัวได้แข็งแกร่งต่อเนื่อง สอดคล้องไปกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของโลกที่ยังอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับขยายตัว บ่งชี้ว่าการผลิตของภาคอุตสาหกรรมจะยังอยู่ในระยะการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ในฝั่งของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเติบโตชะลอตัวลงเล็กน้อย ได้รับปัจจัยกดดันจากอาหารทะเลสดแช่แย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ที่เผชิญปัญหาการระบาดในโรงงานที่ยังคงเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ 1 เมษายน-7 ตุลาคม 64 พบโรงงานที่มีการระบาดอยู่ที่ 1,093 แห่ง (โดย 5 อุตสาหกรรมหลักได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวคือ อุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม โลหะ และพลาสติก)
ในช่วงที่เหลือของปี 2564 ภาคการส่งออกจะยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่อง แม้ในอีก 3 เดือนที่เหลือของปีอาจเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปัจจัยในเรื่องของฐานและ pent up demand ที่เริ่มลดลง แต่โดยรวมทั้งปีการส่งออกของไทยน่าจะยังขยายตัวอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสที่ตัวเลขคาดการณ์ส่งออกจะสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ที่ 12.4% ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น เศรษฐกิจโลกที่มีโมเมนตัมชะลอตัว การชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมในจีน ทั้งจากแนวทางการปฏิรูปต่าง ๆ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะที่ประเด็นค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างมาก และปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ยังเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกทั่วโลกรวมถึงไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเปิดศึก! กวาดล้างสินค้าผิดกฎหมาย-ธุรกิจนอมินี มูลค่าความเสียหายทะลุ 1.2 พันล้าน
รัฐบาลเดินหน้ากวาดล้างธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย จัดการสินค้านำเข้าผิดกฎหมายและธุรกิจนอมินีของต่างชาติ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1.2 พันล้านบาท พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิด
รัฐบาลโวเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกจีดีพีทะลุเป้าแน่!
รัฐบาล มั่นใจเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกคึกคัก หลังการท่องเที่ยวฮอตฮิต แค่ 2 เดือนทะลุ 7.6 ล้านคน คาดดันจีดีพีไตรมาสแรกทะลุเป้าเกิน 3.3% แน่นอน
นายกฯ ขออย่าเพิ่งท้อแม้ 'จีดีพี' รั้งท้ายอาเซียน
นายกฯ ขอ อย่าเพิ่งท้อจีดีพีรั้งท้ายอาเซียน ติงอย่าเล่นเกมการเมืองต่างประเทศ ลั่นเป็นนายกฯดูแลทั่วปท. รับท้อบ้าง แต่ไม่นาน
โพลชี้ ศก.ฝืดเคือง รัฐบาลทำงานไร้ประสิทธิภาพ ชี้แจกเงินหมื่นก็ไม่ช่วย
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “คนไทยกับภาวะเศรษฐกิจ ณ วันนี้” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,141 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 18-21 กุมภาพันธ์ 2568
ยาสารพัดนึก! สว.นันทนาบอกเศรษฐกิจไทยวิกฤตต้องรื้อโครงสร้างแก้ รธน.ถึงช่วยได้
ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ขวางไม่อยู่แล้ว! ร่าง กม.กาสิโน 50 วันใกล้เสร็จ รอ 'ครม.' ไฟเขียวต้นมีนาคม
ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนฯ จ่อเสร็จทันกรอบ 50 วัน เลขาฯกฤษฎีกาเผยปรับรายละเอียดแล้ว เหลือแค่รอครม.พิจารณาต้นมีนาคม ด้านสัดส่วนกาสิโนยังไม่นิ่ง แต่อาจไม่เกิน 10% ของพื้นที่ ระบุนักลงทุนต้องมีเงินทุนขั้นต่ำ 100,000 ล้าน และจ่ายค่าใบอนุญาต 5,000 ล้าน ส่วนประเด็นประชามติ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่กฤษฎีกา