
นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดา และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ (Photo by ANDREJ IVANOV and ROBERTO SCHMIDT / AFP)
ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจและอธิปไตยของประเทศที่ตกอยู่ภายใต้การคุกคามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากเพื่อนบ้านอย่างสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดาจึงเลือกออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสและอังกฤษซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่มาช้านาน
เพียงไม่กี่วันหลังจากดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ มาร์ก คาร์นีย์ต้องเผชิญกับภัยคุกคามใน 3 ประเด็น ได้แก่ สงครามการค้ากับรัฐบาลวอชิงตัน, ภัยคุกคามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ต้องการผนวกแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ และการเลือกตั้งภายในประเทศที่ใกล้จะมาถึง
แต่ถึงแม้จะมีความตึงเครียดภายในประเทศ เขาก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในช่วง 3 วันของการเดินทางไปเยือนปารีส, ลอนดอน และอิคาลูอิต ในเขตนูนาวุตซึ่งเป็นดินแดนทางเหนือสุดของแคนาดา
"แคนาดาถูกสร้างขึ้นบนความเป็นหนึ่งเดียวของชนพื้นเมือง, ฝรั่งเศส และอังกฤษ" คาร์นีย์กล่าวในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ก่อนออกเดินทางจากออตตาวา
"การเยือนฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรของผมจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้า, การพาณิชย์ และการป้องกันประเทศกับหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้มากที่สุดสองรายของเรา และการเยือนนูนาวุตของผมจะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างอำนาจอธิปไตยและความมั่นคงในอาร์กติกของแคนาดา ตลอดจนแผนของเราในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจทั้งหมดในดินแดนทางเหนือ" ผู้นำแคนาดากล่าว
คาร์นีย์ไม่ได้บอกว่าเหตุใดแคนาดาจึงต้องการ "พันธมิตรที่เชื่อถือได้" แต่ก็พอสื่อได้ถึงการที่โดนัลด์ ทรัมป์กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของแคนาดาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ รวมทั้งการดูหมิ่นอำนาจอธิปไตยของแคนาดา
ผลสำรวจความคิดเห็นเผยว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวแคนาดาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของทรัมป์ที่ว่าประเทศของพวกเขาจะดีกว่าที่เป็นอยู่หากยอมเป็น "รัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา"
แต่สงครามการค้าข้ามพรมแดนกลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจของประเทศที่มีประชากร 41 ล้านคน ทั้งๆที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
ในวันจันทร์ คาร์นีย์ วัย 60 ปี จะเดินทางไปปารีสเพื่อร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และหารือถึงวิธีการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ, การพาณิชย์ และการป้องกันประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น
คาดว่าผู้นำทั้งสองจะหารือเกี่ยวกับสงครามรุกรานยูเครนของรัสเซีย, วิกฤตนานาชาติ และโครงการต่างๆ ที่เป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองรัฐบาลด้วยเช่นกัน
แคนาดา, ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นสมาชิกนาโตที่ยังคงแข็งขันในการสนับสนุนรัฐบาลเคียฟและกองทัพยูเครนที่กำลังประสบปัญหามาโดยตลอดนับตั้งแต่รัสเซียบุกโจมตียูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ของทรัมป์จะกดดันยูเครนเพื่อให้ยอมประนีประนอมกับรัสเซียก็ตาม
ทั้งนี้ รัฐบาลลอนดอนและปารีสกำลังวางแผนจัดตั้งกองกำลังรักษาความมั่นคงของพันธมิตรในยูเครนและกำลังมองหาพันธมิตรรายอื่นๆ
ฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่อันดับ 11 ของแคนาดา และอังกฤษเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ในช่วงเวลาที่ภาษีศุลกากรและมาตรการตอบโต้ของทรัมป์กำลังคุกคามทางการค้าต่อจุดหมายปลายทางของสินค้าส่งออกกว่าสามในสี่ของแคนาดา
แต่แคนาดายังมี "ข้อตกลงการค้าและเศรษฐกิจที่ครอบคลุม" กับสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงฝรั่งเศสด้วย และยังเป็นสมาชิกของข้อตกลงหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (CPTPP) ซึ่งปัจจุบันรวมถึงอังกฤษด้วย
ต่อจากปารีส คาร์นีย์จะมุ่งหน้าไปลอนดอนซึ่งเขาเคยทำงานเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งอังกฤษ เพื่อหารือกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์และเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นประมุขของทั้งอังกฤษและแคนาดา
ในสุนทรพจน์แรกของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรี คาร์นีย์กล่าวว่า "ความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เช่นเดียวกับการกระจายความสัมพันธ์ทางการค้ากับทั้งยุโรปและสหราชอาณาจักร"
ในกำหนดการขากลับจากยุโรป คาร์นีย์จะเดินทางไปยังเมืองอิคาลูอิต ในเขตนูนาวุตซึ่งเป็นดินแดนของแคนาดาที่อยู่ใกล้กับกรีนแลนด์มากที่สุด เพื่อยืนยันความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยในอาร์กติกของแคนาดา ท่ามกลางความต้องการของโดนัลด์ทรัมป์ที่จ้องผนวกกรีนแลนด์เพื่อสร้างเขตอำนาจแถบนี้เช่นกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ทีดีอาร์ไอ' เตือนรัฐ หยุดเดินหน้าเงินดิจิทัลเฟสต่อไป แนะใช้งบแก้ปัญหาศก.ระยะยาวแทน
'ดร.สมชัย ' เตือนรัฐ หยุดเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลในเฟสต่อไป แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ขณะที่เฟส 3 หนุนทบทวนเงื่อนไขเปิดทางใช้เงินหมื่นซื้อคอร์สอัพสกิล-รีสกิลได้ หวังพัฒนาทักษะคน เตือน รัฐบาลรับมือเศรษฐกิจซบเซา จากปัจจัยภายนอก-ในประเทศ โดยเฉพาะความปั่นป่วนจากสงครามการค้า -หนี้ครัวเรือนสูง ห่วงภาระการคลัง ทำเรตติงประเทศตก