ทรัมป์ประณามเซเลนสกีว่าเป็น "เผด็จการ" ส่งสัญญาณแตกร้าว เข้าทางรัสเซีย

โดนัลด์ ทรัมป์ใช้คำเรียกผู้นำยูเครนว่าเป็น "เผด็จการ" ส่อขยายรอยร้าวส่วนตัวที่มีนัยสำคัญต่อความพยายามในการยุติสงครามกับรัสเซียที่ดำเนินมาแล้วสามปี

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา (Photo by Tetiana DZHAFAROVA and ROBERTO SCHMIDT / various sources / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 กล่าวว่า ตลอดสามปีแห่งการสู้รบกับผู้รุกรานอย่างรัสเซีย สหรัฐอเมริกาคือผู้จัดหาเงินทุนและอาวุธที่จำเป็นให้กับยูเครนมากทึ่สุด แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เข้ามาเปลี่ยนนโยบายอย่างกะทันหันโดยเปิดการเจรจากับรัฐบาลมอสโกเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เขากลับมายึดทำเนียบขาว

"เผด็จการที่ยังอยู่แม้ไม่มีการเลือกตั้ง เซเลนสกีต้องรีบดำเนินการ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีประเทศเหลืออยู่" ทรัมป์เขียนบนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขา

เซเลนสกีได้รับเลือกตั้งในปี 2019 เป็นระยะเวลา 5 ปี และยังคงเป็นผู้นำภายใต้กฎอัยการศึกที่บังคับใช้ในขณะที่ประเทศของเขาต่อสู้เพื่อความอยู่รอด

ทรัมป์โจมตีเซเลนสกีโดยกล่าวว่า "เขาปฏิเสธที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ขณะที่ตัวเขาเองมีคะแนนนิยมต่ำมากในยูเครน และสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีคือการเล่นกับโจ ไบเดน เหมือนเล่นไวโอลิน"

"ในระหว่างนี้ เรากำลังเจรจาเพื่อยุติสงครามกับรัสเซียให้สำเร็จ ซึ่งทุกคนยอมรับว่ามีเพียงทรัมป์และรัฐบาลทรัมป์เท่านั้นที่ทำได้" ผู้นำสหรัฐกล่าว

ถึงแม้ความนิยมของเซเลนสกีลดลงจริง แต่เปอร์เซ็นต์ของชาวยูเครนที่ไว้วางใจในตัวเขาไม่เคยลดลงต่ำกว่าร้อยละ 50 เลยนับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น ตามข้อมูลของสถาบันสังคมวิทยานานาชาติเคียฟ (KIIS)

ภายใต้การนำของไบเดน สหรัฐยกย่องเซเลนสกีว่าเป็นวีรบุรุษและโจมตีรัสเซียด้วยการคว่ำบาตรในขณะที่ยูเครนต่อสู้กับทหารผู้รุกราน

แต่ทรัมป์ได้แถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาโดยโจมตีผู้นำยูเครนและกล่าวซ้ำถึงเรื่องราวที่รัสเซียบอกเล่า เช่น การอ้างว่ายูเครนเป็นผู้ก่อสงคราม

คำพูดดูถูกของทรัมป์ทำให้ชาติยุโรปถึงกับตกตะลึง โดยนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนีกล่าวว่า การเรียกเซเลนสกีว่าเผด็จการนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นอันตราย

แม้แต่ไมค์ เพนซ์ อดีตรองประธานาธิบดีในวาระแรกของทรัมป์ก็ยังได้กล่าวคำตำหนิอย่างรุนแรงต่อนายเก่าอีกด้วย

เขาเขียนบน X ว่า "ท่านประธานาธิบดี, ยูเครนไม่ใช่ผู้ก่อสงครามนี้ รัสเซียเป็นฝ่ายเปิดฉากรุกรานอย่างโหดร้ายทั้งๆที่ไม่ได้รับการยั่วยุใดๆ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน"

ขณะที่เซเลนสกีตอบโต้การโจมตีของทรัมป์โดยกล่าวหาว่าเขาตกเป็นเหยื่อ "ข้อมูลเท็จ" ของรัสเซีย และเชื่อว่าสหรัฐฯ ช่วยให้ปูตินหลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวมาหลายปี ซึ่งถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่อย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของเขา

ในทางตรงกันข้าม ปูตินชื่นชมความคืบหน้าในการเจรจากับสหรัฐฯ

ผู้นำรัสเซียยังอ้างว่ากองทหารของเขาได้ข้ามไปยังภูมิภาคซูมีทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน ซึ่งเป็นการโจมตีภาคพื้นดินในพื้นที่นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2022 แต่เคียฟปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองฝ่ายกำลังพยายามปรับปรุงสถานการณ์ในสนามรบท่ามกลางการผลักดันการหยุดยิงของทรัมป์

สถานการณ์ที่พลิกกลับทำให้รัฐบาลมอสโกได้รับกำลังใจจากทั้งการเจรจาในซาอุดีอาระเบียเมื่อวันอังคารและการโจมตีเซเลนสกีของทรัมป์

"การเจรจาเป็นก้าวแรกในการฟื้นฟูการทำงานในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน" ปูตินกล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเยี่ยมชมโรงงานผลิตโดรนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา

รัฐบาลเคียฟไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาที่ริยาด เนื่องจากมอสโกและวอชิงตันพยายามหลีกเลี่ยงการเจรจากับทั้งยูเครนและยุโรป

ปูตินกล่าวว่า พันธมิตรของสหรัฐฯต้องโทษตัวเองสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาต้องจ่ายราคาแพงสำหรับการต่อต้านเส้นทางกลับสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์

ความตึงเครียดระหว่างเซเลนสกีและทรัมป์ต่อจุดยืนใหม่ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับสงคราม ได้เพิ่มขึ้นมาหลายสัปดาห์ก่อนที่จะระเบิดออกมา

แต่เซเลนสกีพยายามใช้แนวทางเชิงบวกก่อนที่จะพบกับคีธ เคลล็อกก์ ทูตพิเศษของทรัมป์ด้านภารกิจยูเครน ที่กรุงเคียฟในวันพฤหัสบดี

เซเลนสกีกล่าวว่า "การพบปะและการทำงานร่วมกับอเมริกาโดยรวมนั้นมีความสำคัญมากสำหรับเรา" และเสริมว่า "เป็นทางเลือกสำหรับทุกคนในโลก และสำหรับผู้มีอำนาจ ที่จะอยู่กับปูตินหรืออยู่กับสันติภาพ"

รัสเซียซึ่งโจมตีการมีกองทหารสหรัฐฯ ในยุโรปมาหลายปี ต้องการการปรับโครงสร้างความมั่นคงของทวีปใหม่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงใดๆ เพื่อยุติการสู้รบในยูเครน

ปูตินกล่าวเมื่อวันพุธว่า รัสเซียและสหรัฐฯ จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน หากต้องการให้การเจรจาประสบความสำเร็จ

"เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหาหลายประเด็น รวมถึงวิกฤตยูเครน โดยไม่เพิ่มระดับความไว้วางใจกันระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ" ผู้นำรัสเซียทิ้งท้าย.

เพิ่มเพื่อน