ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เดินเกมรุกฆาตต่อคู่ค้าด้วยการขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% รวมทั้งภาษีผลิตภัณฑ์ยาและเซมิคอนดักเตอร์ในอัตราที่ใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวระหว่างการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่รีสอร์ทมาร์อาลาโกในรัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ (Photo by ROBERTO SCHMIDT / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐกดดันคู่ค้าตลาดโลกด้วยการขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าโดยรวมอีก 25% ต่อผลิตภัณฑ์ยา, เซมิคอนดักเตอร์ และรถยนต์
ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีหลายประเภทจากคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ บางรายนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม โดยให้เหตุผลว่าภาษีเหล่านี้จะช่วยจัดการกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และในบางกรณีก็ใช้ภัยคุกคามเหล่านี้เพื่อสร้างอิทธิพลต่อนโยบายบริหารของรัฐบาล
เมื่อไม่นานนี้ ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด 10% และขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25%
ที่รีสอร์ทส่วนตัวในรัฐฟลอริดา ทรัมป์แถลงต่อหน้าผู้สื่อข่าวว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ประมาณ 25% โดยจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 2 เมษายน
เมื่อถูกถามถึงภาษีนำเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์ยาและชิปที่มีแนวโน้มจะขึ้น ทรัมป์กล่าวว่า "จะอยู่ที่ 25% ขึ้นไป และจะสูงขึ้นอีกในช่วงเวลาหนึ่งปี"
จุดประสงค์คือเขาต้องการให้บริษัทที่ได้รับผลกระทบมีเวลาที่จะย้ายฐานดำเนินงานมายังสหรัฐอเมริกา โดยเขากล่าวว่ามีบริษัทใหญ่ๆ จำนวนมากติดต่อมาหาเขาและต้องการกลับมา
ประธานาธิบดีอธิบายว่าหุ้นส่วนการค้าของวอชิงตันสามารถหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีได้โดยการลงทุนในโรงงานต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา
"เราต้องการให้พวกเขามีเวลาในการกลับเข้ามา และเมื่อพวกเขามาถึงสหรัฐอเมริกาและตั้งโรงงานหรือตั้งฐานกิจการที่นี่ จะไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร ดังนั้นเราจึงอยากให้เวลาพวกเขามีโอกาสทบทวน" ทรัมป์กล่าว
แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าชาวอเมริกันเองที่จะกลายเป็นผู้จ่ายภาษีนำเข้าสินค้ามากกว่าผู้ส่งออกจากต่างประเทศ
ปัจจุบันรถยนต์ที่ขายในสหรัฐอเมริกาประมาณ 50% นั้นผลิตภายในประเทศ ขณะที่จำนวนรถยนต์นำเข้ามีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งมาจากเม็กซิโกและแคนาดา โดยมีญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และเยอรมนีเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่เช่นกัน
คำขู่เรื่องภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้รับการตอบรับอย่างระมัดระวังในเอเชียซึ่งเป็นที่ตั้งของซัพพลายเออร์รายใหญ่บางรายของสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบ
โยชิมาสะ ฮายาชิ โฆษกรัฐบาลโตเกียวกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ในส่วนของภาษีนำเข้ารถยนต์นั้น เราได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยคำนึงถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น และรัฐบาลของเราจะดำเนินการที่เหมาะสมก่อน โดยจะตรวจสอบรายละเอียดเฉพาะของมาตรการอย่างรอบคอบ"
ไต้หวันซึ่งเป็นมหาอำนาจระดับโลกในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และทรัมป์เคยกล่าวหาว่าขโมยอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ไป ยังคงสงวนท่าทีและตอบโต้อย่างระมัดระวังต่อความเคลื่อนไหวนี้
กระทรวงเศรษฐกิจของรัฐบาลไทเปแถลงว่า "ยังไม่มีการชี้แจงขอบเขตของผลิตภัณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงติดตามทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ และให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมของไต้หวันต่อไป"
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของเกาะไต้หวันเคยกล่าวไว้ว่าจะกระตุ้นการลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับนโยบายของทรัมป์
ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่าเขาพอใจที่เห็นสหภาพยุโรปลดภาษีนำเข้ารถยนต์ลงมาในระดับเดียวกับสหรัฐ
"สหภาพยุโรปเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 10% และตอนนี้เก็บภาษี 2.5% ซึ่งเท่ากับที่เราเก็บภาษีได้ หากทุกคนทำแบบนั้น เราก็จะอยู่ในสนามแข่งขันเดียวกัน" เขากล่าว
"สหภาพยุโรปไม่ยุติธรรมกับเราเลย เรามีการขาดดุลการค้า 350,000 ล้านดอลลาร์กับพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ซื้อรถของเรา, ไม่บริโภคผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเรา และพวกเขาไม่ซื้อเกือบทุกอย่าง เราจึงต้องแก้ไขเรื่องนี้" เขากล่าวเสริม
ในทางกลับกัน สหรัฐฯ มีการค้าเกินดุลกับสหภาพยุโรปประมาณ 109,000 ล้านดอลลาร์ในด้านบริการเมื่อปี 2023
ทั้งนี้ มารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เดินทางถึงกรุงวอชิงตันในวันอังคาร และจะพบกับโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของทรัมป์ และจามีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าทำเนียบขาว เพื่อหารือประเด็นดังกล่าวต่อไป.