ประธานาธิบดีสหรัฐฯลงนามคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% ส่งผลให้สงครามการค้าส่อเค้ารุนแรงขึ้น แม้จะมีคำเตือนจากยุโรปและจีนแล้วก็ตาม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ฉีกยิ้มหลังจากลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ (Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯได้ทำตามคำพูดที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ด้วยการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารว่าด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25%
ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันเปิดเผยนโยบายดังกล่าวเมื่อวันอาทิตย์บนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ขณะบินไปชมการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลในลุยเซียนา
ทรัมป์กล่าวในห้องทำงานรูปไข่ว่า "วันนี้ ผมจะปรับภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมให้ง่ายขึ้น เป็น 25% โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขใดๆ"
เขายังส่งสัญญาณว่าจะพิจารณากำหนดภาษีนำเข้าเพิ่มเติมสำหรับรถยนต์, ยา และชิปคอมพิวเตอร์
แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าก่อนหน้านี้ เป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ ขณะที่บราซิลและเกาหลีใต้ก็เป็นผู้จัดหาเหล็กรายใหญ่เช่นกัน ตามข้อมูลการค้าของสหรัฐฯ
เควิน ฮัสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์ชี้แจงชัดเจนว่าการผลิตเหล็กเป็นส่วนสำคัญของยุคทองที่อเมริกาต้องมาก่อน"
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่าเขากำลังพิจารณายกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กให้กับออสเตรเลีย
"เรามีดุลการค้าเกินดุลกับออสเตรเลียซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ และเหตุผลก็คือพวกเขาซื้อเครื่องบินจำนวนมาก เพราะออสเตรเลียอยู่ค่อนข้างไกล" ทรัมป์กล่าว
นอกจากนี้ เขายังสัญญาว่าจะประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันอังคารหรือวันพุธ เพื่อให้เท่ากับภาษีที่รัฐบาลอื่นเรียกเก็บจากผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ
เขาเคยกำหนดมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีวาระแรกในปี 2017-2021 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งเขาเชื่อว่าเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศในเอเชียและยุโรป
ผู้ผลิตเหล็กของแคนาดาเตือนว่าจะเกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่หลังจากนี้ ในขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจ, แรงงาน และผู้บริโภคในยุโรปจากมาตรการที่ไม่ยุติธรรม (ของสหรัฐ)
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสให้คำมั่นว่าจะเผชิญหน้ากับทรัมป์ในเรื่องการขู่ใช้มาตรการภาษีศุลกากรต่อสหภาพยุโรป และเขาเชื่อว่าสหรัฐฯ ควรเน้นความพยายามไปที่จีนมากกว่า
ด้านโรเบิร์ต ฮาเบ็ค รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี กล่าวต่อประเด็นนี้ว่า "ความขัดแย้งเรื่องภาษีศุลกากรนั้นจะไม่มีผู้ใดชนะ มีแต่แพ้กับแพ้"
บริษัทที่ปรึกษา 'โรแลนด์ เบอร์เกอร์ (Roland Berger)' ระบุว่า การส่งออกเหล็กของยุโรปประมาณ 25% มีปลายทางอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ขณะที่หน่วยงานด้านอุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษเรียกแผนภาษีนี้ว่าเป็น "การโจมตีอย่างเลือดเย็น"
ทรัมป์ได้แสดงความชื่นชอบในการใช้พลังอำนาจของสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอาวุธ ด้วยการสั่งเก็บภาษีกับคู่ค้าสำคัญอย่างจีน, เม็กซิโก และแคนาดาไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
เขาได้ระงับการจัดเก็บภาษี 25% กับแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากทั้งสองประเทศให้คำมั่นว่าจะยกระดับมาตรการเพื่อต่อต้านการไหลบ่าของยาเฟนทานิลและการข้ามแดนของผู้อพยพเถื่อนเข้าสู่สหรัฐฯ
แต่ทรัมป์ยังคงเดินหน้าจัดเก็บภาษีกับจีน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก โดยสินค้าที่เข้าสู่สหรัฐฯ จะต้องถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มอีก 10%
จีนตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากการนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวของสหรัฐฯ
กั๊วะ เจียคุน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า "ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าและสงครามภาษี"
ทรัมป์ยังให้ความสำคัญกับเหล็กระหว่างการเยือนของชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผู้นำสหรัฐกล่าวว่าเขาบรรลุข้อตกลงกับบริษัทนิปปอนสตีลของญี่ปุ่นในการลงทุนครั้งใหญ่ในยูเอสสตีล แทนที่จะพยายามเข้าเทคโอเวอร์บริษัทที่มีปัญหาแห่งนี้
ทรัมป์ซึ่งให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะเป็น "ยุคทองใหม่" ยืนกรานว่าผู้ส่งออกต่างประเทศจะเป็นผู้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าโดยไม่ส่งต่อไปยังผู้บริโภคในสหรัฐฯ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะพูดตรงกันข้ามก็ตาม
แต่ไม่นานมานี้ ผู้นำสหรัฐได้ยอมรับแล้วว่าชาวอเมริกันอาจรู้สึกถึง "ความเจ็บปวด" ทางเศรษฐกิจจากการเก็บภาษีดังกล่าวในช่วงแรก.