ทรัมป์ต้อนรับนายกฯญี่ปุ่น สงวนท่าทีร่วมมือ ท่ามกลางภัยคุกคามด้านภาษี

ประธานาธิบดีสหรัฐฯและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพบปะกันอย่างอบอุ่นในการประชุมครั้งแรก โดยรัฐบาลโตเกียวพยายามโน้มน้าวการขึ้นภาษีศุลกากรที่รัฐบาลวอชิงตันเรียกเก็บจากพันธมิตรอื่นๆ ในตอนนี้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ถือภาพถ่ายการประชุมที่ห้องทำงานรูปไข่ก่อนหน้านี้ ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ในห้องตะวันออกของทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ (Photo by Mandel NGAN / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่นเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการและได้พบปะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในการหารือครั้งแรกเมื่อวันศุกร์

ผู้นำทั้งสองต่างยกย่องซึ่งกันและกันที่ทำเนียบขาว โดยให้คำมั่นว่าจะร่วมกันต่อต้านการรุกรานของจีน และกล่าวว่าพวกเขาพบวิธีแก้ไขข้อตกลงที่ถูกบล็อกสำหรับบริษัท U.S. Steel ที่กำลังประสบปัญหาอยู่

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กดดันอิชิบะให้ลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นให้เป็นศูนย์ และเตือนว่ารัฐบาลโตเกียวอาจต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรต่อสินค้าส่งออกหากไม่ดำเนินการดังกล่าว

ผู้นำทั้งสองยืนกรานว่าพวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการเยือนครั้งนี้

อิชิบะกล่าวในงานแถลงข่าวร่วมกันว่า "ผมตื่นเต้นมากที่ได้เห็นคนดังคนนี้ปรากฏตัวทางโทรทัศน์"

"ในโทรทัศน์เขาเป็นคนน่ากลัวและมีบุคลิกที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อผมได้พบเขาจริงๆ เขากลับจริงใจและเต็มไปด้วยพลังบวก"

ในขณะที่พวกเขากำลังแลกเปลี่ยนรูปถ่ายกัน ทรัมป์ก็ได้ชื่นชมนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นวัย 68 ปีคนนี้ว่า "หน้าตาดี" ซึ่งถือเป็นคำชมในระดับสูงสุดที่อดีตดารารายการเรียลลิตีทีวีรายนี้มักจะได้รับ

เมื่ออิชิบะกล่าวว่าเขาไม่สามารถตอบคำถามเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับการตอบโต้ภาษีศุลกากรใดๆ ของสหรัฐได้ ทรัมป์หัวเราะและกล่าวว่า "นั่นเป็นคำตอบที่ดีมากแล้ว"

ในขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวว่า บริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่นจะลงทุนครั้งใหญ่ในบริษัท U.S. Steel แต่จะไม่เข้าเทคโอเวอร์บริษัทที่มีปัญหาตามที่ได้มีการเจรจากันไว้ก่อนหน้านี้

ทรัมป์กล่าวว่า "พวกเขาจะมองไปที่การลงทุนมากกว่าการซื้อ" หลังจากโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ขัดขวางข้อตกลงดังกล่าวก่อนหน้านี้

ผู้นำทั้งสองยังเพิ่มความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงและการค้าที่ดำเนินมายาวนานหลายสิบปี แม้มีความกังวลว่าทรัมป์อาจหันหลังให้กับรัฐบาลโตเกียวเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับพันธมิตรรายอื่นของสหรัฐฯ

ทรัมป์กล่าวว่าพวกเขาตกลงที่จะต่อสู้กับ "การรุกรานทางเศรษฐกิจของจีน" และในแถลงการณ์ร่วม พวกเขาประณามรัฐบาลปักกิ่งสำหรับกิจกรรมยั่วยุในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท

พวกเขายังเรียกร้องให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์ แม้ทรัมป์ซึ่งเคยได้พบกับผู้นำคิมจองอึนในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก ระบุว่าเขาต้องการมีสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลเปียงยางก็ตาม

เบื้องหลังการแสดงความสนับสนุนของทรัมป์นั้น คือคำมั่นสัญญาของญี่ปุ่นที่จะลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และจะส่งเสริมให้ญี่ปุ่นซื้ออุปกรณ์ด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ มากขึ้น

อิชิบะกล่าวว่าประเทศของเขาเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และจะเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้นอีก

ทั้งนี้ อิชิบะรีบเดินทางมายังวอชิงตันด้วยความหวังที่จะบรรเทาความรุนแรงของนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์

ภายใต้การบริหารของอดีตผู้นำชินโซ อาเบะ ญี่ปุ่นได้รับการปกป้องจากแนวโน้มที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของทรัมป์ เช่น สงครามการค้าที่เกิดขึ้นกะทันหัน และแรงกดดันให้เพิ่มเงินสนับสนุนทางการเงินเพื่อรองรับทหารสหรัฐ

ในตอนนั้น หลังจากที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งแรกไม่กี่วัน อาเบะรีบส่งไม้กอล์ฟชุบทองให้กับเขา นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่ภรรยาม่ายของอาเบะ ที่รีสอร์ตมาร์อาลาโกของเขาในฟลอริดาเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาด้วย

จนถึงขณะนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กำหนดมาตรการภาษีนำเข้าจากจีน เช่นเดียวกับเม็กซิโกและแคนาดา แต่มีการระงับมาตรการดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งเดือนสำหรับสองประเทศหลัง เนื่องจากบรรลุการเจรจาต่อรอง

ทรัมป์ยังได้ให้คำมั่นที่จะจัดเก็บภาษีกับสหภาพยุโรป และประกาศในวันศุกร์ว่าเขาจะใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นการยกระดับการทำสงครามการค้ากับพันธมิตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ราคาทองคำส่อแววขึ้นต่อเนื่อง ขายออกบาทละ 46,600 บาท

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ (10 ก.พ.) และปิดที่เหนือระดับ 2,900 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเดินหน้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมปื ผู้นำสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เกิดสงครามการค้าและทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น