วลาดิมีร์ ปูตินขู่ว่าจะโจมตีศูนย์บัญชาการหลักในกรุงเคียฟด้วยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ หลังเสร็จสิ้นการถล่มโครงข่ายพลังงานของยูเครนในการโจมตีที่ทำให้ประชาชนกว่าล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
เจ้าหน้าที่กู้ภัยของยูเครนเตรียมขนซากขีปนาวุธ "ครูซ X-55" ของรัสเซียขึ้นรถบรรทุก หลังถูกโจมตีในกรุงเคียฟ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน (Photo by Handout / UKRAINIAN EMERGENCY SERVICE / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 กล่าวว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียประกาศจะโจมตีศูนย์บัญชาการหลักในกรุงเคียฟเป็นเป้าหมายต่อไป หลังจากกองกำลังรัสเซียเพิ่งถล่มโครงข่ายพลังงานของยูเครนจนทำให้ประชาชนกว่าล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
รัสเซียยิงขีปนาวุธมากกว่า 90 ลูกและใช้โดรนประมาณ 100 ลำระหว่างการโจมตีดังกล่าว ตามรายงานของยูเครน โดยประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีเรียกร้องให้พันธมิตรของเขาตอบโต้อย่างหนักแน่นต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า "การข่มขู่ของรัสเซีย"
ปูตินกล่าวว่าการโจมตีครั้งใหม่นี้เป็น "การตอบโต้" ต่อการโจมตีของยูเครนที่ใช้ขีปนาวุธจากชาติตะวันตกคุกคามดินแดนของรัสเซีย
สงครามที่ดำเนินมานานเกือบสามปีได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายได้นำอาวุธใหม่มาใช้เพื่อหวังได้เปรียบก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม
ปูตินกล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงอัสตานา เมืองหลวงของคาซัคสถาน โดยอ้างถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic missile) ดังกล่าวว่า "เราไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้โอเรชนิก (Oreshnik) กับกองทหาร, ศูนย์อุตสาหกรรมการทหาร หรือศูนย์บัญชาการในกรุงเคียฟ"
เขตการปกครองของกรุงเคียฟ ซึ่งเป็นพื้นที่ของเมืองหลวงที่มีอาคารรัฐบาลหลายแห่งตั้งอยู่ ได้รับการปกป้องด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง แต่ความกังวลเกี่ยวกับการถูกโจมตีด้วยอาวุธรุ่นใหม่ได้เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
รัสเซียทดสอบขีปนาวุธโอเรชนิกรุ่นใหม่กับยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเมื่อวันพฤหัสบดี ปูตินได้อวดอ้างว่าหากยิงขีปนาวุธหลายลูกพร้อมกันจะมีพลังเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ หรืออุกกาบาต
ผู้นำรัสเซียกล่าวว่าการโจมตีทางอากาศในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมาเป็น "การตอบโต้ต่อการโจมตีอย่างต่อเนื่องในดินแดนของเราด้วยขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐ และผมเคยพูดเสมอๆว่า จะต้องมีการตอบโต้จากฝ่ายของเราทุกครั้ง"
การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ยูเครนเตรียมรับมือกับฤดูหนาวที่ยากลำบาก โดยโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจากสงครามที่ดำเนินมาเกือบสามปีแล้ว และในขณะที่กองทหารรัสเซียเคลื่อนพลเข้าสู่ยูเครนตะวันออก
ปูตินบอกว่าเขามีความหวังสำหรับวาระที่สองของทรัมป์ โดยอธิบายเมื่อวันพฤหัสบดีว่า บุรุษแห่งรีพับลิกันเป็น "คนฉลาด" ที่จะสามารถหา "ทางออก" ได้
ผู้นำรัสเซียกล่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการโจมตีทางอากาศในช่วงข้ามคืนซึ่งทำให้ประชาชนมากกว่าครึ่งล้านคนในภูมิภาคลวิฟตะวันตกของยูเครนไม่มีไฟฟ้าใช้
เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่าประชาชนอีก 280,000 คนในภูมิภาคริฟเนตะวันตกและ 215,000 คนในภูมิภาคโวลินตะวันตกเฉียงเหนือก็ไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นกัน
หน่วยบริการฉุกเฉินของยูเครนระบุว่าการโจมตีของรัสเซียเมื่อคืนนี้สร้างความเสียหายใน 14 ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยภาคตะวันตกของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก
เซเลนสกีกล่าวว่ารัสเซียได้ใช้ "ระเบิดลูกปราย" ระหว่างการโจมตีครั้งนี้ด้วย พร้อมประณามว่าเป็น "การยกระดับการใช้กลวิธีก่อการร้ายของรัสเซีย"
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าการโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึง "ความเร่งด่วน" ในการช่วยเหลือและสนับสนุนยูเครน ก่อนที่ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งในเดือนมกราคม
ไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ว่า "การโจมตีครั้งนี้เป็นเรื่องน่าขุ่นเคืองและเป็นการเตือนอีกครั้งถึงความเร่งด่วนและความสำคัญของการสนับสนุนประชาชนชาวยูเครนในการป้องกันการรุกรานของรัสเซีย"
นักข่าวเอเอฟพีในกรุงเคียฟได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นในช่วงกลางคืน ขณะที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศโจมตีโดรนและขีปนาวุธของรัสเซีย โดยคนในพื้นที่แออัดกันในระบบรถไฟใต้ดินเพื่อหาที่กำบัง
กระทรวงพลังงานกล่าวว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นการโจมตีใหญ่ครั้งที่ 11 ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานพลเรือนของยูเครนในปีนี้
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติเตือนเมื่อเดือนนี้ว่า การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนอาจทำให้ฤดูหนาวปีนี้ "เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น"
นับตั้งแต่รัสเซียสร้างความตกตะลึงให้กับชาติตะวันตกและยูเครนด้วยการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นใหม่ที่เมืองดนิโปรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำรัสเซียได้กล่าวยกย่องอานุภาพของอาวุธดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง
ในกรุงอัสตานา ปูตินกล่าวว่า โอเรชนิกสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งให้ "กลายเป็นฝุ่น" และโจมตีด้วยอุณหภูมิที่เทียบได้กับ "พื้นผิวดวงอาทิตย์"
เขากล่าวว่ารัสเซียถูกบังคับให้ทดสอบอาวุธในสภาวะการสู้รบจริง หลังจากที่ยูเครนเริ่มโจมตีดินแดนรัสเซียโดยใช้ขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐ
ปูตินกล่าวว่า โอเรชนิกสามารถเดินทางได้ประมาณสามกิโลเมตรต่อวินาที และยังอ้างว่ารัสเซียรู้ว่าอาวุธพิสัยไกลจำนวนเท่าใดที่ยูเครนได้รับและอาวุธเหล่านั้นอยู่ที่ใด
นายกรัฐมนตรีโดนัลด์ ทัสก์ ของโปแลนด์ซึ่งเป็นสมาชิกนาโต กล่าวว่า คำขู่ของปูตินที่จะโจมตีกรุงเคียฟเป็น "เครื่องพิสูจน์ถึงความอ่อนแอ" และเสริมว่าฝ่ายตะวันตกจะไม่หวั่นไหวต่อคำพูดของเขา.