กมลา แฮร์ริสทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ต้องอยู่ในสถานะตั้งรับในการดีเบตทางโทรทัศน์ที่ดุเดือดเมื่อวันอังคาร โดยเธอทำให้คู่แข่งต้องอึดอัดและหัวเสียได้หลายครั้ง ขณะที่ทั้งคู่ต่อสู้เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่น่าจะเบียดกันไปจนถึงโค้งสุดท้าย
กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต (ขวา) จับมือกับโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ในระหว่างการดีเบตประธานาธิบดีที่ศูนย์รัฐธรรมนูญแห่งชาติในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 10 กันยายน (Photo by SAUL LOEB / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 11 กันยายน 2567 กล่าวว่า กมลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ขึ้นสังเวียนดีเบตเป็นครั้งแรกและทำได้ดีเกินคาดในการปะทะกับโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำฝีปากกล้าจากพรรครีพับลิกัน
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย 59 ปีเริ่มต้นสร้างความประหลาดใจให้กับทรัมป์ด้วยการเข้าไปจับมือกับเขาก่อนการดีเบต และหลอกล่อให้คู่แข่ง "หัวรุนแรง" รายนี้ตอบโต้ด้วยความโกรธในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่การทำแท้งไปจนถึงประชาธิปไตยและนโยบายต่างประเทศ
ทรัมป์ขึ้นเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมอารมณ์ที่คุกรุ่นในขณะโต้กลับแฮร์ริสเรื่องการย้ายถิ่นฐานและสภาพเศรษฐกิจ โดยประณามเธอเป็น "มาร์กซิสต์" และตำหนิเธอในสิ่งที่เขากล่าวว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน
แฮร์ริสตอบโต้ด้วยสายตาแห่งความความขบขันก่อนจะประกาศว่าเธอเป็นตัวแทนของการเริ่มต้นใหม่ภายหลังความยุ่งเหยิงที่ทรัมป์ก่อไว้ และให้คำมั่นว่าเรื่องราวในสมัยนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก
หนึ่งในการแลกเปลี่ยนที่รุนแรงที่สุดของพวกเขาคือประเด็นการทำแท้ง
ทรัมป์ยืนกรานว่าการที่เขาผลักดันให้ยุติสิทธิในการทำแท้งของรัฐบาลกลางนั้น เป็นไปเพื่อให้แต่ละรัฐมีอิสระในการกำหนดนโยบายในพื้นที่ของตนเอง
แฮร์ริสกล่าวว่าเขากำลังโกหกคำโต และเรียกนโยบายของเขาว่า "ดูหมิ่นผู้หญิงชาวอเมริกัน"
ทรัมป์ยังคงย้ำว่าเขาไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับโจ ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2563 และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพลิกผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น
แฮร์ริสตอบโต้ด้วยการล้อเลียนวลีติดปากของทรัมป์ในฐานะดารารายการเรียลลิตี้ทีวี โดยกล่าวว่าทรัมป์ถูกไล่ออกโดยคน 81 ล้านคน และเรียกเขาว่าเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย
แฮร์ริสชี้ให้เห็นว่าทรัมป์เป็นอาชญากรที่ถูกตัดสินจำคุก, เรียกเขาว่า "พวกสุดโต่ง" และกล่าวว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่ตลอดอาชีพการงานของเขา เขาใช้เชื้อชาติเพื่อแบ่งแยกชาวอเมริกัน
ทั้งสองคนยังปะทะกันในเรื่องนโยบายต่างประเทศ โดยแฮร์ริสบอกกับทรัมป์ว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียจะเขมือบเขาดั่งอาหารมื้อเที่ยงเมื่อเป็นเรื่องของสงครามในยูเครน และบรรดาผู้นำโลกจะหัวเราะเยาะเขา
ทรัมป์สวนกลับโดยกล่าวหาแฮร์ริสว่าอ่อนแอในเรื่องสงครามในฉนวนกาซา โดยบอกว่าเธอเกลียดอิสราเอล
แต่แฮร์ริส ซึ่งใช้เวลาเตรียมการอย่างเข้มข้นถึง 5 วัน ก็สามารถเหน็บแนมทรัมป์ให้พูดจาเสียดสีและใช้ถ้อยคำรุนแรงได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เธอได้รับการตอบสนองอย่างโกรธเคืองเมื่อล้อเลียนขนาดการชุมนุมอันเว่อร์วังซึ่งทรัมป์มักใช้อวดอ้าง โดยกล่าวว่าผู้เข้าร่วมฟังปราศรัยของเขามักกลับก่อนเวลาเสมอเพราะความเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย
หลังสิ้นสุดการดีเบต ทรัมป์กล่าวว่าการโต้เถียงที่ ABC News เป็นเจ้าภาพในฟิลาเดลเฟียครั้งนี้เป็น "การดีเบตที่ดีที่สุด" ของตัวเขา แต่โพลและนักวิจารณ์ที่รายงานอย่างรวดเร็วระบุว่าแฮร์ริสชนะ และทีมหาเสียงของเธอท้าให้ทรัมป์ขึ้นดีเบตครั้งที่สองทันทีในเดือนตุลาคม
การสำรวจความคิดเห็นของ CNN หลังการดีเบตระบุว่า แฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ 63% ต่อ 37% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้ว ซึ่งถือได้ว่าแฮร์รืสสามารถเอาชนะอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้สำเร็จในการเผชิญหน้ากันครั้งแรกและครั้งเดียวตามกำหนดการ
แม้แต่เทย์เลอร์ สวิฟต์ ซูเปอร์สตาร์เพลงป็อป ที่ได้รับเชิญมาเปิดการแสดงพิเศษในงานดีเบตครั้งนี้ ยังกล่าวสนับสนุนแฮร์ริสให้เป็นประธานาธิบดีและยกย่องเธอว่าเป็น "ผู้นำที่มีพรสวรรค์และควบคุมตัวเองได้ดี"
แม้จะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนก่อนถึงวันเลือกตั้ง แต่แฮร์ริสที่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องพูดต่อหน้าผู้ฟังหลายสิบล้านคนหลังจากที่เธอขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของพรรคเดโมแครตแทนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ อย่างกะทันหัน กลับทำได้ดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดยเฉพาะพรรครีพับลิกันที่ประเมินไว้ว่าทรัมป์จะขยี้เธอได้อย่างง่ายดายเพราะประสบการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ซึ่งการดีเบตครั้งต่อไปจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าชัยชนะใสๆในครั้งนี้ของกมลา แฮร์ริสเป็นของจริงหรือแค่ฟลุ๊คกันแน่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นายกฯอิ๊งค์' ยกไอแพดคุย 'ทรัมป์' แสดงความยินดีชนะเลือกตั้ง ยันไทยพร้อมทำงานกับสหรัฐฯ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิ