โป๊ปฟรานซิสเสด็จถึงอินโดนีเซีย เริ่มต้นการเยือนเอเชียแปซิฟิก

พระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จถึงอินโดนีเซียที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เพื่อเริ่มต้นการเยือน 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะเป็นการเดินทางเยือนที่ยาวนานที่สุดและไกลที่สุดในบรรดาประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (เสด็จด้วยรถเข็น) ได้รับการต้อนรับเมื่อเสด็จมาถึงสนามบินนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 3 กันยายน (Photo by Tiziana FABI / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 3 กันยายน 2567 กล่าวว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสซึ่งเป็นผู้นำของชาวคาทอลิกจำนวน 1,300 ล้านคนทั่วโลก เสด็จถึงกรุงจาการ์ตาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางศาสนา จากนั้นจะเสด็จต่อไปยังปาปัวนิวกินี, ติมอร์ตะวันออก และสิงคโปร์

การเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 12 วันจะเป็นบททดสอบสำคัญต่อสุขภาพของพระสันตะปาปาที่อ่อนแอลงเรื่อยๆในระยะหลัง แต่พระองค์มักจะได้รับพลังพิเศษอยู่เสมอเมื่ออยู่ท่ามกลางบรรดาสาวกและศาสนิกชน พระองค์จึงทักทายฝูงชนที่มาต้อนรับด้วยการโบกพระหัตถ์พร้อมรอยยื้มที่อบอุ่น แม้เพิ่งเดินทางด้วยเที่ยวบินที่ใช้เวลาร่วม 13 ชั่วโมง

"ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดที่เคยมีมา" พระสันตะปาปาตรัสกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินเช่าเหมาลำหลังจากลงจอด ตามรายงานของนักข่าวเอเอฟพี

โป๊ปฟรานซิสเสด็จลงจากเครื่องบินที่จาการ์ตาด้วยรถเข็นเพื่อตรวจแถวกองเกียรติยศ โดยมีเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียหลายคน รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงศาสนาให้การต้อนรับ

จากนั้น พระองค์เดินทางออกจากสนามบินด้วยรถยนต์โตโยต้าของพลเรือน โดยเลือกรถยนต์ธรรมดาแทนที่จะเป็นรถยนต์หรูหราแบบที่ผู้นำโลกมักใช้กัน พระองค์แย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ไปยังคณะผู้แทนทางการทูตของวาติกันในจาการ์ตา

พระสันตะปาปามีกำหนดพำนักในจาการ์ตาหลังจากเดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงโรมเป็นเวลานาน จากนั้นจะทรงเข้าพบประธานาธิบดีโจโก วิโดโดในวันพุธ ซึ่งจะเป็นพระราชกรณียกิจแรกของการเสด็จเยือนประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก

ปัจจุบัน ชาวคาทอลิกมีสัดส่วนไม่ถึง 3% ของประชากรอินโดนีเซีย ซึ่งก็คือประมาณ 8 ล้านคน เมื่อเทียบกับชาวมุสลิมซึ่งมีอยู่ 87% หรือ 242 ล้านคน

แต่พวกเขาเป็นหนึ่งใน 6 ศาสนาหรือนิกายที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในประเทศแห่งนี้ ร่วมกับโปรเตสแตนต์, พุทธ, ฮินดู และขงจื๊อ

ในวันพฤหัสบดี โป๊ปฟรานซิสจะพบกับตัวแทนของทั้ง 6 ศาสนาที่มัสยิดอิสติกลัล ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันทางศาสนา ใจกลางกรุงจาการ์ตา

มัสยิดแห่งนี้เชื่อมต่อกับอาสนวิหารฝั่งตรงข้ามถนนด้วย "อุโมงค์แห่งมิตรภาพ" ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวคริสต์ได้ถ่ายเซลฟี่กับรูปปั้นพระสันตะปาปาขนาดเท่าองค์จริง

จากนั้นพระองค์จะทรงประกอบพิธีมิสซาและเทศนาที่สนามฟุตบอลแห่งชาติอินโดนีเซียซึ่งมีความจุ 80,000 ที่นั่ง

แม้ว่าอินโดนีเซียจะรับรองศาสนาที่แตกต่างกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเลือกปฏิบัติต่อชาวคริสต์ โดยชาวคาทอลิกในท้องถิ่นหวังว่าพระสันตะปาปาจะทรงตรัสถึงประเด็นดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มิเชล แชมบอน นักเทววิทยาและนักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า สมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงเน้นย้ำข้อความที่กว้างขึ้นซึ่งพระองค์เคยทรงส่งไปยังประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอิรัก, บาห์เรน, ตุรเคีย และโมร็อกโก

พระองค์ตรัสกับเอเอฟพีว่า การเสด็จเยือนครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ชาวคาทอลิกในอินโดนีเซียโดยเฉพาะ แต่ทรงมีจุดมุ่งหมายเน้นย้ำถึงความสำคัญระดับโลกของการสนทนาระหว่างอิสลามกับคริสต์ นั่นคือการเคารพซึ่งกันและกัน

กระทรวงศาสนาของอินโดนีเซียยังยกย่องการเสด็จเยือนครั้งนี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายทางศาสนาของประเทศ

ทั้งนี้ การเสด็จเยือนอินโดนีเซียของพระสันตะปาปาฟรานซิสถือเป็นครั้งที่ 3 ของประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จเยือนเมื่อปี 2532

เดิมที พระสันตะปาปาฟรานซิสมีกำหนดเสด็จเยือนในปี 2563 แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 โดยจะเสด็จเยือนก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 88 พรรษาของพระองค์

ปัจจุบัน พระสันตะปาปาชาวอาร์เจนติน่าทรงใช้รถเข็นในการเสด็จเดินทางไปมาเป็นประจำ, ทรงเข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อนเมื่อปีที่แล้ว และทรงประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

พระองค์ไม่ได้เสด็จเดินทางไปต่างประเทศเลยนับตั้งแต่เสด็จเยือนเมืองมาร์กเซยของฝรั่งเศสเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยทรงยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ที่วางแผนไว้ระหว่างการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศของสหประชาชาติที่ดูไบในอีก 2 เดือนต่อมา

โป๊ปฟรานซิสเสด็จเยือนอินโดนีเซียพร้อมกับแพทย์ประจำพระองค์และพยาบาลอีก 2 คน แต่มัตเตโอ บรูนี โฆษกของวาติกันกล่าวว่าเป็นกระบวนการปกติ และไม่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติมใดๆ.

เพิ่มเพื่อน