ฟิลิปปินส์และเวียดนามจะกระชับความร่วมมือด้านการทหารด้วยข้อตกลงที่จะลงนามในปีนี้ โดยทั้งสองประเทศพยายามตอบโต้ความก้าวร้าวของรัฐบาลปักกิ่งในทะเลจีนใต้
พลเอกฟาน วัน จ้าง รัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม (ซ้าย) และกิลแบร์โต เทโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ แลกเปลี่ยนเอกสารกันระหว่างการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ณ สำนักงานกระทรวงกลาโหมแห่งชาติในกรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม (Photo by Ted ALJIBE / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2567 กล่าวว่า กิลแบร์โต เทโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ ให้การต้อนรับการมาเยือนมะนิลาของพลเอกฟาน วัน จ้าง รัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม เพื่อหารือด้านการป้องกันร่วมกัน โดยเฉพาะประเด็นทะเลจีนใต้
เทโอโดโรกล่าวว่า ทั้งสองประเทศยังมีปัญหาระดับทวิภาคีระหว่างกันอยู่ แต่พวกเขาเลือกทำงานร่วมกันเพื่อเอาชนะภัยคุกคามจากจีน
"ความสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์และเวียดนามนั้นแข็งแกร่ง" เทโอโดโรกล่าว
เวียดนามและฟิลิปปินส์ต่างก็โต้แย้งกันในสิทธิ์ครอบครองพื้นที่หมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ แต่อีกด้านหนึ่งก็พยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากรัฐบาลปักกิ่งแข็งกร้าวกว่าในการอ้างสิทธิ์ในน่านน้ำที่เป็นข้อพิพาทเกือบทั้งหมด
รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ประกาศว่าพวกเขาจะลงนาม "บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการป้องกัน" ภายในปีนี้ เพื่อสานต่อและเสริมสร้างความร่วมมือในด้านกองทัพเรือ, กองทัพอากาศ, กองทัพบก และภาคพื้นดิน
การเยือนมะนิลาเป็นเวลา 3 วันของรัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองชาติส่งเจ้าหน้าที่มาทำการฝึกซ้อมค้นหาและกู้ภัยในอ่าวมะนิลาเดือนนี้
ฟาน วัน จ้างกล่าวว่า ทั้งสองชาติจะทำงานร่วมกันในด้านการตอบสนองต่อภัยพิบัติ, การค้นหาและกู้ภัย, การแพทย์ทางทหาร, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และเรื่องอื่นๆ
ฟาน วัน จ้างมีกำหนดเข้าพบกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ในลำดับต่อไป เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ, การค้า และกิจกรรมทางทะเล
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวถึงการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเวียดนามในครั้งนี้ว่า การได้หารือร่วมกันจะช่วยส่งเสริมความลึกซึ้งและขอบเขตของความสัมพันธ์ของสองชาติต่อไป
"เรายังคงมุ่งมั่นที่จะหาทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ, ลดความตึงเครียด และให้แน่ใจว่าหลักนิติธรรมและระเบียบระหว่างประเทศตามกฎเกณฑ์จะคงอยู่ในภูมิภาคของเรา" มาร์กอสกล่าว.