ที่ปรึกษาความปลอดภัยที่ทำงานให้กับรอยเตอร์เสียชีวิตจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธที่โรงแรมแห่งหนึ่งในยูเครนตะวันออก ขณะที่เคียฟอ้างว่ารัสเซียรุกคืบเข้ามาในภูมิภาคเคิร์สก์เพิ่มเติม
หน่วยฉุกเฉินของยูเครนดำเนินการค้นหาและกู้ภัยท่ามกลางซากปรักหักพังของโรงแรมที่ถูกทำลายหลังการโจมตีของรัสเซียในเมืองครามาทอร์สค์ ภูมิภาคโดเนตสค์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม (Photo by Genya SAVILOV / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2567 กล่าวว่า จากเหตุโจมตีด้วยขีปนาวุธที่โรงแรมแห่งหนึ่งในยูเครนตะวันออกเมื่อวันเสาร์ มีรายงานว่าที่ปรึกษาความปลอดภัยที่ทำงานให้กับรอยเตอร์เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า "รู้สึกเสียใจ" กับการสูญเสียที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงจากการโจมตีโรงแรมแซฟไฟร์ในเมืองครามาทอร์สค์ ซึ่งพนักงานฝ่ายทำข่าวสงคราม 6 คนของสำนักข่าวฯพักอยู่
ที่ปรึกษาคนดังกล่าวมีหน้าที่ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับนักข่าวรอยเตอร์หลายคน ในขณะที่พวกเขาเหล่านั้นรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลก โดยเขาเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและสหายที่ดี
รอยเตอร์เสริมว่าการโจมตีดังกล่าวทำให้ผู้สื่อข่าว 2 คนของตนต้องเข้าโรงพยาบาล โดย 1 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีก 3 คนอาการปลอดภัยแล้ว
อัยการของยูเครนกล่าวว่าโรงแรมดังกล่าวถูกขีปนาวุธอิสกันเดอร์ของรัสเซียโจมตีเมื่อเวลา 22.35 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันเสาร์ โดยการโจมตีดังกล่าวยังทำให้อาคารข้างเคียงได้รับความเสียหายไปด้วย
ครามาทอร์สค์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครนในภูมิภาคโดเนตสค์ มักถูกใช้เป็นที่พำนักสำหรับเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์และนักข่าวต่างประเทศ
ถือเป็นอีกวันนองเลือดในสงครามที่กินเวลานานสองปีครึ่ง โดยการโจมตีของรัสเซียทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 18 รายทั่วยูเครน ขณะที่เจ้าหน้าที่รัสเซียกล่าวว่าพลเรือน 6 รายเสียชีวิตจากการโจมตีของยูเครนในพื้นที่ชายแดนของรัสเซียเช่นกัน
ขณะที่ยูเครนอ้างว่ารัสเซียรุกคืบเข้ามาในภูมิภาคเคิร์สเพิ่มเติม และกล่าวหาเบลารุสซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลมอสโก และอนุญาตให้รัสเซียใช้ดินแดนของตนเป็นฐานยิงสำหรับการรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ว่า ระดมกำลังทหารไว้ที่ชายแดนอย่างน่าสงสัย และเตือนให้หยุดการกระทำที่ไม่เป็นมิตร พร้อมถอนกำลังออกจากชายแดนของรัฐยูเครน
ทั้งนี้ การบุกโจมตีเคิร์สก์อย่างกระทันหันของยูเครนทำให้สามารถยึดครองนิคมของรัสเซียได้หลายแห่ง แต่แม้รัสเซียตั้งตัวไม่ทันและผู้คนมากกว่า 130,000 คนต้องพลัดถิ่นฐาน กองกำลังทหารของพวกเขาก็ยังคงรุกคืบในยูเครนตะวันออกต่อไป.