รัสเซียและเวียดนามให้คำมั่นกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการเยือนของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินที่มีเป้าหมายเพื่อหาพันธมิตรท่ามกลางการถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย (ซ้าย) และประธานาธิบดีโตเลิม ของเวียดนาม จับมือกันที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน (Photo by Kristina Kormilitsyna / POOL / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2567 กล่าวว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เดินทางออกจากเกาหลีเหนือเพื่อมาเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการและได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากประธานาธิบดีโตเลิม
เวียดนามเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของรัสเซียนับตั้งแต่สมัยสงครามเย็น และประธานาธิบดีโตเลิมระบุถึงความปรารถนาที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างสองชาติมากขึ้น
"ทั้งสองฝ่ายต้องการผลักดันความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง รวมทั้งวิธีจัดการกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและประชาคมโลก" โตเลิมกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการเจรจากับปูติน
รัสเซียเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ของเวียดนามมานานหลายทศวรรษ โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของการนำเข้าระหว่างปี 2538-2566 แต่คำสั่งซื้อได้ลดลงในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากรัสเซียถูกคว่ำบาตรโดยนานาชาติจากประเด็นรุกรานยูเครน
ผู้นำรัสเซียและผู้นำเวียดนามลงนามข้อตกลงความร่วมมือหลายสิบฉบับ ตั้งแต่ด้านการศึกษาไปจนถึงโครงการนิวเคลียร์
ปูตินกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าการเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมาก ในประเด็นสำคัญระหว่างประเทศ
เขากล่าวว่าทั้งสองชาติมุ่งสร้างรูปแบบความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยเพียงพอและเชื่อถือได้ในเอเชียแปซิฟิก โดยยึดหลักการของการไม่ใช้กำลัง และการแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ
การเยือนเอเชียของปูตินเกิดขึ้นในขณะที่มหาอำนาจตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดการทำสงครามของรัสเซียในยูเครน
สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และสหภาพยุโรปต่างประกาศคว่ำบาตรครั้งใหม่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่ม G7 ตกลงที่จะใช้กำไรจากสินทรัพย์รัสเซียที่ถูกอายัดเพื่อจัดหาเงินกู้ใหม่มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่รัฐบาลเคียฟ
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ปูตินได้ลงนามในสนธิสัญญาเชิงยุทธศาสตร์กับคิมจองอึน ซึ่งรวมถึงคำมั่นสัญญาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันหากถูกโจมตี
สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรกล่าวหาเกาหลีเหนือว่าจัดหากระสุนและขีปนาวุธให้รัสเซียเพื่อใช้ทำสงครามในยูเครน และสนธิสัญญาที่ลงนามล่าสุดกระตุ้นให้เกิดความกังวลประเด็นดังกล่าวมากขึ้นไปอีก
ขณะที่การดำเนินนโยบายต่างประเทศของเวียดนามในระยะหลัง เป็นไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่เอนเอียงเข้าหาฝ่ายใดเป็นพิเศษ ท่ามกลางการแย่งชิงพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มองหาช่องทางส่งเสริมอิทธิพลของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เยือนกรุงฮานอยเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ ในขณะที่ฝ่ายบริหารของเขาพยายามผลักดันเวียดนามให้เป็นซัพพลายเออร์ทางเลือกสำหรับการผลิตส่วนประกอบไฮเทคที่สำคัญ เพื่อลดการพึ่งพาจีน
สามเดือนหลังการเยือนของไบเดน รัฐบาลปักกิ่งส่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มาเยือนฮานอยอย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน
ในประเด็นยูเครน เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่งดออกเสียงในการลงมติของสหประชาชาติเพื่อประณามรัสเซียกรณีรุกรานยูเครน ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูตินรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก.