รัฐบาลเผด็จการเมียนมาบังคับใช้กฎหมายที่อนุญาตให้กองทัพเรียกตัวพลเมืองชายทุกคนที่มีอายุ 18-35 ปี และพลเมืองหญิงอายุ 18-27 ปี ให้เข้ารับราชการทหารเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
แฟ้มภาพ พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในพิธีสวนสนามของทหารเนื่องในวันกองทัพเมียนมา ที่กรุงเนปยีดอ (Photo by AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 กล่าวว่า รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศบังคับใช้กฎหมายที่อนุญาตให้กองทัพสามารถเรียกเกณฑ์พลเมืองชายทุกคนที่มีอายุ 18-35 ปี และพลเมืองหญิงอายุ 18-27 ปี ให้เข้ารับราชการทหารเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
เมียนมาประสบความโกลาหลตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจของกองทัพทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่และการปราบปรามผู้เห็นต่างซึ่งมีการเสียชีวิตไปมากกว่า 4,500 คน ขณะที่อย่างน้อย 26,000 คนถูกจับกุม
สามปีต่อมา รัฐบาลทหารกำลังดิ้นรนอย่างหนักในการรับมือการต่อต้านจากกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ และเมื่อไม่นานมานี้ ต้องเผชิญกับความสูญเสียต่อเนื่องหลายครั้งต่อพันธมิตรของกลุ่มดังกล่าวที่สามารถชิงพื้นที่การครอบครองจากกองทัพได้
รัฐบาลทหารระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า "ขอประกาศข้อกำหนดบังคับใช้กฎหมายรับราชการทหารตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป"
ทั้งนี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวจัดทำโดยรัฐบาลทหารชุดก่อนๆ ตั้งแต่ปี 2553 แต่ไม่เคยบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
คำแถลงเมื่อวันเสาร์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม แต่ระบุว่ากระทรวงกลาโหมของรัฐบาลทหารจะออกข้อบังคับ, ขั้นตอนคำสั่งประกาศ, การแจ้งเตือน และคำแนะนำที่จำเป็น
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทหารเคยกล่าวว่าพวกเขากำลังใช้มาตรการติดอาวุธให้กับกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนทหาร เพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามทั่วประเทศ
"ระบบรับราชการทหารระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็นและเกี่ยวข้องกับประชาชนทุกคน เนื่องจากเกิดสถานการณ์ด้านความมั่นคงในประเทศของเรา" ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลเผด็จการทหารกล่าว
ภายใต้กฎหมายฉบับเดิม กลุ่มอายุที่เข้าเกณฑ์ถูกเรียกตัวได้แก่ อายุ 18-45 ปี สำหรับพลเมืองชาย และ 18-35 ปี สำหรับพลเมืองหญิง
กฎหมายดังกล่าวยังได้กำหนดไว้ด้วยว่าในระหว่างสถานการณ์ฉุกเฉิน สามารถขยายระยะเวลา (บังคับ) รับราชการทหารได้สูงสุด 5 ปี และผู้ที่เพิกเฉยต่อหมายเรียกให้รับราชการอาจถูกจำคุกสูงสุด 5 ปีเช่นกัน
ตั้งแต่ยึดอำนาจได้ในปี 2564 รัฐบาลทหารก็ประกาศภาวะฉุกเฉินมาตลอด และล่าสุดเพิ่งขยายออกไปอีก 6 เดือน
นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารครั้งเมื่อสามปีที่แล้ว กองกำลังป้องกันประชาชนที่สนับสนุนประชาธิปไตยได้เกณฑ์คนรุ่นใหม่หลายหมื่นคนคอยต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการและกองทัพในทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ
ช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว พันธมิตรของกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์เปิดฉากโจมตีกองกำลังทหารในรัฐฉานทางตอนเหนือ จนสามารถยึดดินแดนที่ควบคุมเส้นทางการค้าหลักไปยังจีนได้
ตามการระบุของแหล่งข่าวทางทหารในหลายพื้นที่ ความสำเร็จของกลุ่มต่อต้านทางภาคเหนือและความล้มเหลวของกองทัพในการโจมตีตอบโต้ได้บั่นทอนขวัญกำลังใจของทหารแนวหน้าจำนวนมาก และหากปล่อยให้การสู้รบยืดเยื้อ จะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเผด็จการที่อาจถูกโค่นล้มในสักวัน.