นายกฯ กัมพูชา ยันชาวบ้านต้องย้ายออกจากนครวัด

นายกรัฐมนตรีกัมพูชายืนยันจะเดินหน้าย้ายชุมชนออกจากพื้นที่นครวัดต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ขององค์การยูเนสโก แม้มีเสียงคัดค้านจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนก็ตาม

นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมนครวัดในจังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา (Photo by TANG CHHIN SOTHY and TANG CHHIN SOTHY / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566 กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ยืนยันจะดำเนินการย้ายชุมชนหลายพันครัวเรือนออกจากนครวัดต่อไป แม้ว่ากลุ่มสิทธิมนุษยชนและนานาชาติจะประณามก็ตาม

รัฐบาลพนมเปญเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ชุมชนกว่า 10,000 ครัวเรือนยินยอมที่จะออกจากพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เพื่อไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ “รุนตาเอก” ซึ่งเป็นชุมชนใหม่ที่สร้างขึ้นจากอดีตนาข้าวและอยู่ห่างออกไปจากถิ่นฐานเดิมประมาณ 25 กิโลเมตร

เมื่อเดือนที่แล้ว แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวหากัมพูชาว่าฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการ "บังคับขับไล่" ผู้คนออกจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศ และเรียกร้องให้ระงับการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าวทันที

แต่ฮุน มาเนตกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า การย้ายถิ่นฐานจะดำเนินต่อไปเพื่อให้นครวัดซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณของประเทศ ได้รับการปกป้อง และกระตุ้นให้ชาวกัมพูชามีส่วนร่วมปกป้องสิ่งนี้มากขึ้น

“เราจะต้องร่วมมือกันอนุรักษ์และดำเนินการเพื่อให้จิตวิญญาณนี้คงความสดใสต่อไปอีกหลายพันปี นี่เป็นเพียงก้าวแรกให้เราดำเนินการ” เขากล่าว พร้อมออกคำสั่งเจ้าหน้าที่ให้ป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานภายในพื้นที่มรดกโลก

ในระหว่างภารกิจมอบโฉนดที่ดินทำกินให้ประชาชนกว่า 5,000 ครัวเรือน นายกรัฐมนตรีกัมพูชายอมรับว่า "ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะย้ายถิ่นฐานที่อยู่มานานจากแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง"

เขาให้คำมั่นที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอที่รุนตาเอก พร้อมทั้งจัดให้มีรถรับส่งฟรี 10 เที่ยวต่อวันระหว่างถิ่นฐานเดิมและถิ่นฐานใหม่

ฮุน มาเนตกล่าวว่า การย้ายถิ่นฐานดังกล่าวจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพราะเงื่อนไขบางประการของยูเนสโก เพื่อให้นครวัดยังดำรงสถานะเป็นมรดกโลก

องค์การนิรโทษกรรมกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอัปสราแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวและกระทรวงที่ดินกัมพูชา กำลังใช้ยูเนสโกเป็นข้ออ้างในการบังคับผู้คนให้ย้ายถิ่นฐาน

ไม่นานมานี้ ยูเนสโกเพิ่งแสดงความกังวลอย่างมากในประเด็นบังคับย้ายถิ่นฐานดังกล่าว และยืนยันว่าองค์การฯไม่เคยร้องขอหรือสนับสนุน และไม่เคยมีส่วนร่วมในการกระทำเช่นนั้น

แหล่งท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นครโบราณแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากกว่า 2 ล้านคนต่อปี

การมาเยือนของนักท่องเที่ยวในแต่ละปีก่อให้เกิดเศรษฐกิจระดับจุลภาคในพื้นที่ จากธุรกิจแผงขายของ, ขายอาหารและของที่ระลึก เช่นเดียวกับอาชีพขอทาน และจำนวนประชากรในท้องถิ่นก็เพิ่มขึ้นจากประมาณ 20,000 คนในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เป็นประมาณ 120,000 คนภายในปี 2013

ทางการกัมพูชากล่าวว่าการตั้งถิ่นฐานอย่างไม่เป็นทางการได้ทำลายสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นด้วยการผลิตขยะและการใช้ทรัพยากรน้ำมากเกินไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไทย ผลักดันลุ้น 'ต้มยำกุ้ง - ชุดเคบาย่า' ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก

“เกณิกา”เผย ข่าวดีคนไทย "สุดาวรรณ" หนุนสวธ.จัดทำแผน ปีนี้เตรียมลุ้น “ต้มยำกุ้ง - ชุดเคบาย่า”ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติของยูเนสโก เดินหน้าผลักดันSoft Power ไทยให้นานาชาติรู้จัก

'เศรษฐา' ปลื้ม 'มาครง' หนุนสานต่อสัญญาการค้า ตั้งกรุ๊ป Whatapp ร่วม 'ฮุน มาเน็ต' ไว้หารือ

'เศรษฐา' เยือนฝรั่งเศส เผยเวลาน้อยแต่คุ้ม บอก 'มาครง' พร้อมหนุนสานต่อสัญญา การค้า-ท่องเที่ยว- EV-พลังงานสะอาด ช่วยอัปเกรดกองทัพไทยภายใน 10 ปี ยกฝรั่งเศสเป็นแม่แบบพลังงานสะอาดนำใช้ในไทย ปลื้มสตรีหมายเลข 1 สวมชุดแดงทักทาย แย้มแลกเบอร์โทรพร้อมตั้งกรุ๊ป Whatapp ร่วม 'ฮุน มาเน็ต' ไว้หารือ

ครม.เห็นชอบ 'สงขลาและชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา' เข้าบัญชีเบื้องต้นมรดกโลก

นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. (9 เมษายน 2567) มีมติเห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “สงขลาและชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา” ภายใต้ชื่อ Songkhla and its Associated Lagoon Settlements