ยอดเสียชีวิตสองฝ่ายในสงครามอิสราเอล-ฮามาสทะลุ 1 หมื่นราย จุดผ่านแดนราฟาห์มีชาวต่างชาติเดินทางเข้าอียิปต์เพิ่มเติมเป็นวันที่สอง เช่นเดียวกับชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สภาพความเสียหายของค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียในฉนวนกาซา หลังการโจมตีของอิสราเอล เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน (Photo by AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566 กล่าวว่า ความขัดแย้งในฉนวนกาซาโหมกระหน่ำต่อเนื่องเป็นวันที่ 27 หลังจากที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสสังหารผู้คนไป 1,400 รายในอิสราเอลและลักพาตัวไปมากกว่า 230 คน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อิสราเอลได้ทิ้งระเบิดโจมตีดินแดนปาเลสไตน์อย่างไม่ลดละและส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้ามาเพื่อทำลายล้างกลุ่มฮามาส จนมีผู้เสียชีวิตแล้ว 8,796 ราย
หนึ่งวันหลังจากผู้ได้รับบาดเจ็บชาวปาเลสไตน์หลายสิบคนและผู้ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศหลายร้อยคนข้ามจากฉนวนกาซาไปยังอียิปต์ คาดว่าในวันที่สองของการเปิดด่านพรมแดนราฟาห์จะมีผู้ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศ 400 คนข้ามสู่อียิปต์ พร้อมผู้บาดเจ็บอีกราว 60-100 คน
รัฐบาลไคโรกล่าวว่าจะช่วยอพยพชาวต่างชาติและบุคคลสองสัญชาติให้ออกจากกาซาได้ประมาณ 7,000 คน
หน่วยงานแพทย์ในกาซาระบุว่า ยังมีจำนวนผู้บาดเจ็บอีกมากกว่า 20,000 คนติดอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างจำกัดเนื่องจากการถูกปิดล้อม แม้ว่าจะมีบางส่วนได้รับการส่งตัวออกไปยังอียิปต์แล้วก็ตาม
รัฐบาลฮามาสในฉนวนกาซาระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในช่วงสองวันของการโจมตีโดยอิสราเอลที่ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในดินแดนปาเลสไตน์
มีรายงานผู้เสียชีวิตในค่ายดังกล่าว 195 ราย, สูญหาย 120 คนใต้ซากปรักหักพังของอาคาร และบาดเจ็บอีก 777 คน โดยกองทัพอิสราเอลกล่าวว่าได้สังหารอิบราฮิม บิอารี ผู้บัญชาการกองพันของกลุ่มฮามาส และทำลายอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่ง
สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่า การโจมตีดังกล่าวถือเป็นปฎิบัติการที่ไม่สมเหตุสมผลและอาจเทียบเท่ากับอาชญากรรมสงคราม
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงความคิดเห็นว่า สหรัฐต้องการให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อมนุษยธรรมซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งความช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซาหรือดำเนินการอพยพ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาในการหารือเกี่ยวกับการหยุดยิง เพราะเชื่อว่าอาจจะเป็นการเข้าทางกลุ่มฮามาส
ขณะที่ซาอุดีอาระเบียเปิดตัวแคมเปญระดมทุนสำหรับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา โดยมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศโดยพฤตินัย บริจาคเงินเริ่มต้นสำหรับแคมเปญดังกล่าว ประมาณ 190 ล้านบาท.