เอกวาดอร์ได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ ผู้ให้คำมั่นว่าจะ "คืนสันติภาพ" ให้กับประเทศที่นองเลือดจากสงครามแก๊งค้ายาเสพติด
แดเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีอายุน้อยที่สุดของเอกวาดอร์ (Photo by Handout / Ecuador's National Electoral Council / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2566 กล่าวว่า แดเนียล โนโบอา วัย 35 ปี กลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดของเอกวาดอร์ หลังประกาศชัยชนะจากการเลือกตั้งล่าสุด
โนโบอาได้รับการรับรองจากคณะกรรมการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ขณะที่ลุยซา กอนซาเลซ ซึ่งเป็นคู่แข่ง แถลงยอมรับความพ่ายแพ้
ประธานาธิบดีคนใหม่ให้คำมั่นว่า "พรุ่งนี้เราจะเริ่มทำงานเพื่อสร้างประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความรุนแรง, การทุจริต และความเกลียดชัง"
เอกวาดอร์เป็นศูนย์กลางอันปลอดภัยของผู้ส่งออกโคเคนรายใหญ่อย่างโคลอมเบียและเปรูมาอย่างยาวนาน โดยเอกวาดอร์เผชิญกับความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากแก๊งศัตรูที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มค้าโคเคนเม็กซิกันและโคลอมเบียทำการแย่งชิงอำนาจในการควบคุมการค้า
การสู้รบดังกล่าวทำให้นักโทษอย่างน้อย 460 รายถูกสังหารหมู่ในเรือนจำนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 หลายคนถูกตัดศีรษะหรือเผาทั้งเป็นในการจลาจลครั้งใหญ่
การนองเลือดได้หลั่งไหลออกจากเรือนจำสู่ท้องถนน โดยกลุ่มอาชญากรเหิมเกริมถึงขนาดแขวนศพคู่แข่งประจานตามที่สาธารณะในเมือง และจุดชนวนระเบิดรถยนต์นอกสถานีตำรวจเพื่อแสดงความรุนแรง
ในเดือนสิงหาคม ความรุนแรงได้คร่าชีวิตผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเฟอร์นันโด วิลลาวิเซนซิโอ ซึ่งถูกยิงถล่มด้วยปืนหลังการปราศรัยหาเสียงภายใต้นโยบายต่อต้านการรับสินบนและการค้ายาเสพติด
หลังจากนั้นมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้การเลือกตั้งยังคงดำเนินต่อไป โดยโนโบอาและกอนซาเลซต่างทำกิจกรรมหาสียงด้วยการสวมเสื้อกันกระสุนภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ชาวเอกวาดอร์ออกมาลงคะแนนเสียงเป็นเวลา 10 ชั่วโมงเมื่อวันอาทิตย์โดยไม่มีรายงานความรุนแรง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารราว 100,000 นาย
จากการสำรวจความคิดเห็นของชาวเอกวาดอร์ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้คือ ปัญหาอาชญากรรมและความรุนแรงในประเทศที่อัตราการฆาตกรรมเพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ส่วนปัญหาการว่างงานถือเป็นข้อกังวลอันดับ 2 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยปัจจุบันเอกวาดอร์มีอัตราความยากจนมากถึงร้อยละ 27 โดยจำนวน 1 ใน 4 ของประชากรยังคงว่างงานหรือทำงานอยู่นอกระบบ
โนโบอาซึ่งได้รับคะแนนเสียงราว 52% จากการนับคะแนนเสียงที่ใกล้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ได้รับโอกาสทำงานในตำแหน่งผู้นำเป็นเวลา 16 เดือนเพื่อดำรงตำแหน่งให้ครบวาระของประธานาธิบดีกิเยร์โม ลาสโซ ซึ่งเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งก่อนหมดวาระ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกถอดถอนจากข้อกล่าวหาทุจริต
ภายใต้กฏหมายการเลือกตั้ง โนโบอาสามารถลงสมัครรับตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกครั้งในช่วงปี 2568-2572 และหลังจากนั้น
โนโบอาเป็นบุตรชายของชายที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของเอกวาดอร์ ซึ่งเคยล้มเหลวในการเสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 5 ครั้ง.