ผลศึกษาชี้วัคซีนสูตรไขว้ 'ไฟเซอร์/แอสตร้า-โมเดอร์นา' กระตุ้นภูมิดีขึ้น

ผลการศึกษาจากอังกฤษเผยว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 แบบไขว้ โดยฉีดแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์เป็นโดสแรก แล้วตามด้วยโมเดอร์นาในอีก 9 สัปดาห์ต่อมา สามารถกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น

รอยเตอร์รายงานเมื่อวันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 ว่าผลการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษชิ้นนี้เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ แลนเซ็ต เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แมทธิว สเนป ผู้อยู่เบื้องหลังการทดลองที่ใช้ชื่อว่า Com-COV2 ครั้งนี้ กล่าวว่า การศึกษาพบว่ามีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันดีขึ้นทั้งหมด หรือโดยข้อเท็จจริงคือ สูงกว่าเกณฑ์ที่ได้จากการฉีดวัคซีนของออกซ์ฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า 2 โดส

เขาชี้ว่า ผลการศึกษานี้สนับสนุนการฉีดวัคซีนแบบยืดหยุ่น ที่เพิ่มความหวังแก่ประเทศยากจนหรือรายได้ปานกลาง ที่จำเป็นต้องใช้วัคซีนต่างชนิดกันระหว่างโดสแรกกับโดสที่ 2 หากวัคซีนขาดแคลนหรืออุปทานที่มีอยู่ไม่เสถียร

"เรากำลังแสดงให้เห็นว่า คุณไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการฉีดวัคซีนชนิดเดิมในโดสที่ 2 และหากโครงการสามารถทำได้เร็วขึ้นด้วยการใช้วัคซีนหลายชนิด ก็สามารถทำแบบนั้นได้" ศาสตราจารย์ออกซ์ฟอร์ดผู้นี้กล่าว

นักวิจัยคณะนี้เผยว่า หากฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า-ออกซ์ฟอร์ด ตามด้วยโมเดอร์นาหรือโนวาแวกซ์ จะได้สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีสูงขึ้น และการตอบสนองของที-เซลล์ดีขึ้น กว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอย่างเดียว 2 โดส

การศึกษากับอาสาสมัคร 1,070 คนยังพบด้วยว่า การฉีดไฟเซอร์-ไบออนเทค ตามด้วยโมเดอร์นา ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฉีดไฟเซอร์-ไบออนเทค 2 โดสเช่นกัน ส่วนการฉีดไฟเซอร์-ไบออนเทคตามด้วยโนวาแวกซ์ ให้แอนติบอดีสูงกว่าการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 โดส แม้ว่าสูตรนี้จะให้แอนติบอดีและการตอบสนองของที-เซลล์ต่ำกว่าการฉีดไฟเซอร์-ไบออนเทค 2 โดส

หลายประเทศใช้การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ตั้งแต่ก่อนมีข้อมูลที่แน่นหนาออกมา เนื่องจากประเทศเหล่านั้นต้องเน้นการรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น, ปริมาณวัคซีนมีน้อย และการสร้างภูมิคุ้มกันได้ช้า มากกว่าความกังวลเรื่องความปลอดภัย.