เยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลี ตกลงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากขึ้นในการจัดหาวัตถุดิบ เนื่องจากยุโรปพยายามลดการพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศต่างๆ เช่น จีน
(จากซ้ายไปขวา) บรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส, โรเบิร์ต ฮาเบ็ค รัฐมนตรีเศรษฐกิจและการปกป้องสภาพอากาศของเยอรมนี และอดอลโฟ อูร์โซ รัฐมนตรีพัฒนาเศรษฐกิจของอิตาลี แถลงข่าวร่วมกันที่กระทรวงการคลังของเยอรมนีในกรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน (Photo by Tobias SCHWARZ / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 กล่าวว่า รัฐบาลเยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลี เห็นพ้องในความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในการจัดหาวัตถุดิบภาคการผลิตและอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการนำเข้าจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจากจีน
ในการประชุมระหว่าง 3 ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป ตัวแทนรัฐบาลของสามชาติได้ร่วมหารือเพื่อเพิ่มความร่วมมือกันมากขึ้นในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทิศทางการจัดหาวัตถุดิบ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยเชิงกลยุทธ์
โรเบิร์ต ฮาเบ็ค รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมในกรุงเบอร์ลิน กล่าวในการแถลงร่วมว่า "ความสามารถในการจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่ดีขึ้น จะเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศ โดยจะมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อหารือเกี่ยวกับการผลิต, การแปรรูป และการรีไซเคิล"
ขณะที่ บรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส กล่าวว่า "ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมของเราเข้าถึงวัตถุดิบที่จำเป็นเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและระบบนิเวศประสบความสำเร็จ"
สอดคล้องกับการที่คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศพิจารณาหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ เช่น ลิเธียมหรือนิกเกิล ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น แบตเตอรี่หรือแผงโซลาร์เซลล์
รัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศสยินดีกับ "ก้าวแรก" ของคณะกรรมาธิการยุโรป และหวังว่าความร่วมมือไตรภาคีของเยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลี จะเป็น "ก้าวต่อไป"
โดยสหภาพยุโรปเตรียมลงทุนและสนับสนุนการจัดตั้งโครงการขุดและสกัดวัตถุดิบในทวีป ขณะที่ฝรั่งเศสได้เดินหน้าจัดตั้งกองทุนมูลค่า 500 ล้านยูโร (ประมาณ 19,000 ล้านบาท) สำหรับการลงทุนในโครงการวัตถุดิบที่สำคัญ ส่วนอิตาลีเองก็กำลังเตรียมเงิน 1,000 ล้านยูโร (ประมาณ 38,000 ล้านบาท) สำหรับแผนจัดตั้งกองทุนแบบเดียวกัน
สำหรับเยอรมนี ฮาเบ็คกล่าวว่าอาจมีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณแบบเดียวกัน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในระดับรัฐบาล.