หน่วยงานเฝ้าระวังด้านนิวเคลียร์ของสหประชาชาติกล่าวยืนยันไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ หลังจากเขื่อนทางตอนใต้ของยูเครนได้รับความเสียหายจากการสู้รบ
เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟคา (Kakhovka) พังเสียหายบางส่วน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ทำให้สูญเสียความสามารถในการกักเก็บน้ำ จนสร้างความกังวลให้กับหลายฝ่ายเกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล (Photo by various sources / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2566 กล่าวว่า สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือไอเออีเอ (IAEA) แถลงยืนยันว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครนยังคงปลอดภัยดี แม้จะมีเหตุเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟคา (Kakhovka) พังเสียหาย
รัฐบาลมอสโกและรัฐบาลเคียฟกล่าวโทษกันและกันสำหรับความเสียหายที่เขื่อนไฟฟ้าดังกล่าว และอ้างอิงข้อมูลความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียไปกันคนละทิศละทาง
เขื่อนคาคอฟคา ตั้งอยู่บนแม่น้ำนีเปอร์ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้ส่งน้ำหล่อเย็นให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ห่างจากเขื่อนเพียงแค่ 150 กิโลเมตรเท่านั้น โดยปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของกองกำลังรัสเซีย
สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศกล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดที่โรงไฟฟ้าฯ และผลตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ในขณะนี้ แม้ความเสียหายของเขื่อนทำให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงประมาณ 5 เซนติเมตรต่อชั่วโมง
น้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ระดับประมาณ 16.4 เมตรในช่วงเช้าวันอังคาร และหากลดลงต่ำกว่า 12.7 เมตร ก็จะไม่สามารถสูบน้ำไปยังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้อีก ซึ่งสำนักงานต้องทำการประเมินสถานการณ์อีกครั้งอีกสองสามวันข้างหน้า
ล่าสุด เครื่องปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าฯได้ปิดตัวลงแล้ว แต่น้ำหล่อเย็นที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการระบายความร้อนตลอดเวลา ดังนั้นสำนักงานฯจึงเรียกร้องให้ปกป้องบ่อทำความเย็นให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด หากไม่ต้องการให้สถานการณ์นำไปสู่ภัยพิบัตินิวเคลียร์
"การขาดน้ำหล่อเย็นในระบบน้ำหล่อเย็นเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เชื้อเพลิงละลายและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลฉุกเฉินใช้งานไม่ได้" สำนักงานฯกล่าวเตือน พร้อมเสริมว่าจะส่งทีมงานลงพื้นที่โรงไฟฟ้าฯเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจในสัปดาห์หน้า
เขื่อนคาคอฟคาอยู่ในเคอร์ซอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังมีการสู้รบอยู่ตลอดระหว่างกองกำลังยูเครนและรัสเซีย ความเสียหายครั้งนี้คาดว่าเกิดจากการวางระเบิด โดยยูเครนกล่าวโทษรัสเซียว่าเป็นคนทำ เพื่อต้องการให้เกิดน้ำท่วมและสร้างความเดือดร้อนให้กับพลเรือนยูเครน ซึ่งตอนนี้ระดับน้ำทะลักเข้าเมืองและชาวยูเครนกำลังอพยพหนี ขณะที่รัสเซียโต้ว่ายูเครนเป็นฝ่ายโจมตีเขื่อนเอง เพื่อสร้างสถานการ์และโยนความผิดให้รัสเซียกลายเป็นผู้ร้าย.