ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เยือนทำเนียบขาวของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ โดยมีประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้การต้อนรับ ก่อนร่วมพูดคุย และได้รับคำมั่นสัญญาในการสนับสนุนทางการทหารเพิ่มเติมเพื่อรับมือรัสเซีย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ (ขวา) ให้การต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน อย่างอบอุ่น ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม (Photo by OLIVIER DOULIERY / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาเมื่อวันพุธ ถือเป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกรัสเซียรุกราน
เซเลนสกีได้เข้าพบประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งรอต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมจิล ไบเดน สตรีหมายเลขหนึ่ง
เซเลนสกียังคงเอกลักษณ์ของตนด้วยการสวมชุดลำลองทางทหารแทนการใส่เสื้อสูทอย่างเป็นทางการ ขณะที่โจ ไบเดน ปูพรมแดงต้อนรับ พร้อมเอามือแตะไหล่ผู้นำยูเครนด้วยความรักใคร่
"เราจะเดินหน้าเสริมศักยภาพของยูเครนในการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะการป้องกันทางอากาศ" ไบเดนบอกกับเซเลนสกีขณะนั่งสนทนาข้างเตาผิงในห้องทำงานรูปไข่
ไบเดนกล่าวเพิ่มเติมว่า "ถึงแม้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จะพยายามใช้ฤดูหนาวเป็นอาวุธ แต่ชาวยูเครนก็ยังยังคงยืนหยัดสร้างแรงบันดาลใจให้กับโลกด้วยความกล้าหาญของพวกเขาและวิธีที่พวกเขาเลือกยืดหยุ่นและแก้ไขปัญหา ขอให้เชื่อมั่นว่ายูเครนจะไม่โดดเดี่ยว เพราะอเมริกาจะอยู่เคียงข้างเสมอตราบเท่าที่เป็นไปได้"
ประธานาธิบดียูเครนกล่าวขอบคุณ และยกย่องการสนับสนุนของสหรัฐฯด้านอาวุธ, งบประมาณ และความเป็นผู้นำ
หลังจากนั้นสองผู้นำได้ร่วมพูดคุยกับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯอีกหลายคนอย่างเป็นทางการ
มีรายงานว่าสภาคองเกรสของสหรัฐฯกำลังจะอนุมัติแพ็คเกจความช่วยเหลือครั้งใหม่มูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์ให้ยูเครนช่วงปีใหม่นี้ รวมทั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูง ซึ่งสามารถยิงขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธพิสัยใกล้ได้
ช่วงหลังยูเครนถูกรัสเซียโจมตีด้วยขีปนาวุธมากขึ้น รวมทั้งโดรนโจมตีอีกจำนวนมากที่รัสเซียซื้อมาจากอิหร่าน โดยเป้าหมายคือโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของพลเรือน
ด้านรัสเซียที่รู้ข่าวการเยือนสหรัฐฯของผู้นำยูเครน ได้ออกมาตอบโต้ความเคลื่อนไหวในการเพิ่มความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนว่า อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น และไม่เป็นลางดีสำหรับยูเครนเอง
สอดคล้องกับการที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย กล่าวกับเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงระหว่างการปราศรัยทางโทรทัศน์ โดยระบุว่ารัสเซียไม่ใช่ต้นเหตุของการทำสงคราม และเห็นด้วยว่ารัสเซียจำเป็นต้องมีกองทัพที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่านี้ รวมถึงความพร้อมรบของกองกำลังนิวเคลียร์ พร้อมโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะนโยบายของประเทศที่สาม.