‘เวียนนา’กลับมาครองแชมป์เมืองน่าอยู่สุด

กรุงเวียนนาของออสเตรียกลับมาครองแชมป์เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก โค่นอันดับ 1 เมื่อปีที่แล้วคือนครโอ๊กแลนด์ของนิวซีแลนด์ ตามรายงานประจำปีของดิอีโคโนมิสต์ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี
          เอเอฟพีรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 จากรายงานประจำปีของอีโคโนมิสต์อินเทลลิเจนท์ยูนิต (อีไอยู) หน่วยงานวิจัยของดิอีโคโนมิสต์ หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่เผยแพร่ในวันเดียวกัน จัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกทั้งหมด 172 เมือง อันดับ 1 คือกรุงเวียนนาของออสเตรียกลับมาครองแชมป์อีกครั้ง หลังจากเมื่อปีที่แล้วเสียแชมป์ให้นครโอ๊กแลนด์ของนิวซีแลนด์ โดยโอ๊กแลนด์ร่วงไปอยู่อันดับที่ 34 ผลจากมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา
          อีไอยูระบุในรายงานว่า กรุงเวียนนาหล่นไปอยู่อันดับที่ 12 ในการจัดอันดับของเราเมื่อต้นปี 2564 เนื่องจากมีการปิดพิพิธภัณฑ์และร้านอาหารในเวียนนา แต่การจัดอันดับในปีนี้ กรุงเวียนนากลับมาครองอันดับ 1 อย่างที่เคยครองมาแล้วในปี 2561 และ 2562 เสน่ห์หลักของกรุงเวียนนาสำหรับผู้อยู่อาศัยคือโครงสร้างพื้นฐานที่มีเสถียรภาพและคุณภาพ รวมถึงระบบสาธารณสุขที่ดีและมีโอกาสมากมายด้านวัฒนธรรมและความบันเทิง
          10 อันดับแรกของเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกปีนี้ตามการจัดอันดับของอีไอยู เป็นเมืองในทวีปยุโรป 6 เมือง อันดับ 2 คือกรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก อันดับ 3 นครซูริกของสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนนครเจนีวาในสวิตเซอร์แลนด์เช่นกันติดอันดับ 6, เมืองแฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมนีอยู่อันดับ 7 และกรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ติดอันดับ 9
          แคนาดามีเมืองที่ติด 10 อันดับแรกเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกถึง 2 เมือง ได้แก่ เมืองแคลกะรีติดอันดับ 3 ร่วมกับนครซูริก ส่วนนครแวนคูเวอร์อยู่อันดับ 5
          นครโอซากะของญี่ปุ่นและนครเมลเบิร์นของออสเตรเลียติดในอันดับ 10 ร่วมกัน
          กรุงปารีสติดอันดับ 19, กรุงบรัสเซลส์อันดับ 24, กรุงลอนดอนอันดับ 33, นครบาร์เซโลนาอันดับ 35, นครนิวยอร์กอันดับ 51 และกรุงปักกิ่งอันดับ 71
          เมืองน่าอยู่รั้งท้ายสุดที่อยู่อันดับ 172 คือกรุงดามัสกัสของซีเรีย ส่วนนครลากอสของไนจีเรียอยู่อันดับ 171 และกรุงตริโปลีของลิเบียอันดับ 170.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โลกประชาธิปไตยหดเหลือ 45.7% เมียนมารองบ๊วย

อีโคโนมิสต์อินเทลลิเจนซ์ยูนิตเผยรายงานการจัดอันดับดัชนีประชาธิปไตยโลกประจำปี 2564 พบมาตรฐานประชาธิปไตยทั่วโลกดิ่งลงอีกในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีประชากรโลกแค่ 45.7% ที่ยังมีชีวิตอยู่ในระบอบประชาธิปไตย