ลงทุนสุขภาพ

ประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของการออกกำลังกายมีดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ที่สำคัญยังช่วยเผาผลาญแคลอรี ลดความอ้วนให้หุ่นดี ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มหัวใจและเบาหวาน ที่สำคัญไม่ต้องการนำเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตมาจ่ายให้หมอและโรงพยาบาลแบบหมดตัวอีกด้วย  

กระแสออกกำลังกายออกมาจุดกระแสอีกครั้งเมื่อ ทริป-นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. หรือเจ้าของฉายา "ผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี" ที่นิยมวิ่งสวนลุมฯ เป็นประจำทุกเช้า ระยะทาง 10 กิโลเมตร ก่อนทำงานประจำ และยังนำไปใช้เป็นนโยบายหาเสียงจนชนะเลือกตั้งได้คะแนน 1.3 ล้านเสียง  

สำหรับนโยบายที่หมายถึงคือ "สวน 15 นาที" หรือการกระจายสวนในพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงภายใน 15 นาที หรือประมาณ 800 เมตร เพื่อให้คนได้วิ่งออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ ก็ต้องดูว่าจะทำแล้วเสร็จในระยะเวลาเท่าไหร่  

แต่หากไม่รอ "สวน 15 นาที" ในกรุงเทพฯ ก็มีสวนสาธารณะที่มีมาตรฐานรองรับคนกรุงอีกเพียบ โดยเฉพาะสายวิ่ง อาทิ สวนลุมฯ (รอบใหญ่) ระยะ 2.5 กิโลเมตร, สวนหลวง ร.9 (รอบใหญ่) ระยะ 4.81 กิโลเมตร, รอบสวนจิตรลดา ระยะ 3.42 กิโลเมตร    

สวนจตุจักร 3.06 กิโลเมตร, สวนรถไฟ 2.06 กิโลเมตร (ต้องวิ่ง 5 รอบ), สวนเบญจสิริ 700 เมตร, รอบวงกลมราชมังคลากีฬาสถาน 800 เมตร, รอบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระยะ 3.5 กิโลเมตร (ต้องวิ่งราวๆ 3 รอบ), สวนวารีภิรมย์ หรือบึงมะขามเทศ และบึงสะแกงามสามเดือน ระยะ 4.2 กิโลเมตร 

ล่าสุด "ชัชชาติ" ตอกย้ำความสำคัญของการออกกำลังกาย ผ่านการเป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการหนองแขมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพดีวิถีชีวิตใหม่ ต้านภัยโควิด เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา 

"การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ ผมก็พยายามพูดเสมอว่าสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้เราต้องทำด้วยตนเอง ผมคิดว่าการลงทุนเรื่องสุขภาพคุ้มค่ากว่าและสำคัญที่สุด ดีกว่าการลงทุนทำโรงพยาบาล สุขภาพดีทำให้เราทำงานได้ ดูแลคนที่เรารักได้" ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว 

คนไหนอยากแข็งแกร่ง สุขภาพดีทั้งกายและใจ ก็เดินแนวทาง "ผู้ว่าฯ ชัชชาติ" รับรองไม่ผิดหวัง. 

 

ช่างสงสัย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อำลา‘ก.ท่องเที่ยวฯ’

เป็นช่วงเวลาของการอำลาตำแหน่งและการย้ายกระทรวงของบรรดารัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่บางคนต้องออกไปถาวร หรือบางคนแค่ย้ายกระทรวง ทำให้ช่วงนี้เห็นบรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของบรรดาข้าราชการกระทรวงต่างๆ ที่จัดงานอำลาให้กับเจ้ากระทรวงของตัวเอง

ไม่ได้หมายถึงเรื่องใด

ช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา นั้นเป็นที่วิพาษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เมื่อ อ. ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ ศาสตราภิชานประจำคณะนิติศาสตร์

สายล่อฟ้า

ปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐา1/1 เกิดเหตุตามหลังมากกมาย ที่กล่าวขานกันมากก็กรณี “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ลาออกจากการเป็นรมว.ต่างประเทศ เรียกว่าทุกสายตาคอการเมืองพุ่งเป้าไปที่นั่น

“วันสบายๆ”

การเมืองช่วงนี้ร้อนแรงไม่แพ้กับอากาศจริงๆ เพราะนอกจากจะร้อนแล้วยังระอุไปทั่ว ทั้งประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงรายชื่อรัฐมนตรี ทั้งพ้นความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยมีชื่อที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายชื่อ

บันทึกหน้า 4

ควันหลงการปรับ ครม.เศรษฐา 1/1 เกิดดรามามากมาย โดยเฉพาะจากคนที่ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่พ้นกระทรวงสาธารณสุข กลับไปทำงาน สส. รวมถึงกรณี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่หลุดจากตำแหน่งรองนายกฯ

นิ่งแบบนี้มีลุ้น

ช่วงตั้ง ครม.เศรษฐา 1 ใหม่ๆ หลายคนคาดการณ์ สมศักดิ์ เทพสุทิน คงนั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ทำเนียบรัฐบาลไม่นาน เพราะถนัดงานกระทรวงมากกว่า