14 ปีสภาองค์กรชุมชน...เดินหน้าสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น รูปธรรมจากขอนแก่น-คลองเตย-ชุมพรใช้สภาฯ ปกป้องสิทธิชุมชน (1)

เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบล  อำเภอปะทิว  จ.ชุมพร จัดประชุมเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา  เพื่อใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ปกป้องสิทธิชุมชนท้องถิ่น     

สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเวทีประชาธิปไตยของชาวบ้านจากชุมชนฐานราก  ถือกำเนิดมาจาก พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551’ ที่ภาคประชาชนช่วยกันผลักดัน  เพื่อให้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนงานพัฒนาและแก้ไขปัญหาในชุมชนท้องถิ่นของตัวเอง  รวมทั้งยกระดับไปสู่การแก้ไขปัญหาเชิงนโยบาย  เช่น  การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน  ที่อยู่อาศัย  ลดความเหลื่อมล้ำ  การสร้างความมั่นคงทางอาหาร  ระบบเศรษฐกิจเกื้อกูล  การจัดการภัยพิบัติและโรคระบาดโดยชุมชน  ฯลฯ

ปัจจุบันมีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศแล้ว  7,795 แห่งทั่วประเทศ  และกำลังก้าวย่างจากปริมาณไปสู่คุณภาพ  โดยมีประเด็นขับเคลื่อนงานในภาพรวม  คือ สภาองค์กรชุมชนเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา  สร้างการกระจายอำนาจ  สู่ความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น  ภายใต้วิถีวัฒนธรรมพื้นถิ่น

เส้นทางสู่ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน

พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551  ถือเป็น พ.ร.บ.ฉบับหนึ่งที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและผลักดันให้ออกมาเป็นกฏหมาย   โดยก่อนหน้านั้นมีกลุ่มและองค์กรที่ประชาชนจัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ   เช่น  กลุ่มออมทรัพย์ สัจจะสะสมทรัพย์  กลุ่มเกษตรกร   กลุ่มเกษตรอินทรีย์  กลุ่มแก้ไขปัญหาที่ดิน-ป่าไม้  กลุ่มประมงพื้นบ้าน  กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มอาชีพ  กลุ่มฌาปนกิจ  กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ  กลุ่มต่างๆ เหล่านี้กระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 1 แสนกลุ่ม

สุวัฒน์  คงแป้น  นายกสมาคมสภาองค์กรชุมชนพัทลุง  ซึ่งมีส่วนร่วมในการผลักดัน พ.ร.บ.ฉบับนี้  ขยายความว่า   กลุ่มต่างๆ  เหล่านี้  ต่างทำงานไปตามเป้าหมายของตัวเอง  หรือตามเป้าหมายขององค์กรที่สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน  ไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดพลัง  หรือแม้แต่กลุ่มต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นภายในหมู่บ้านหรือตำบลบางแห่งก็ไม่ได้มีการเชื่อมโยงเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนกัน  เรียกว่าต่างกลุ่มต่างทำ  ไม่ได้มองเห็นปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาร่วมกันทั้งตำบล  

“หรือหากจะมีแผนพัฒนาก็เป็นแผนงานที่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม  เป็นแผนงานที่มาจากข้างนอก  หากชาวบ้านจะนำแผนของตนเองไปเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  หน่วยงานก็มักจะมองว่า  กลุ่มองค์กรของชาวบ้านเป็นกลุ่มเถื่อน  เพราะไม่ได้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง  หรือไม่มีกฎหมายรองรับ”  สุวัฒน์บอกถึงอุปสรรคของภาคประชาชนก่อนจะมี พ.ร.บ. สภาองค์กรชุมชนฯ

ในปี 2549  หลังการยึดอำนาจการปกครองโดยคณะนายทหาร  พลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์  เป็นนายกรัฐมนตรี    มีกระแสการปฏิรูประเทศไทย  แกนนำองค์กรชุมชนทั่วประเทศที่ทำงานพัฒนาชุมชนท้องถิ่นได้จัดประชุมเพื่อทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อเสนอต่อรัฐบาล  ที่ประชุมได้ข้อเสนอจำนวน 8 เรื่อง  และ 1 ในนั้นก็คือ ข้อเสนอเรื่อง “การยกระดับให้การทำงานขององค์กรชุมชนเป็นอิสระ”  เพื่อทำให้เกิดสิทธิชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาจากปัญหาและความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง  ไม่ใช่แผนพัฒนาที่มาจากข้างนอก  หรือจากบนลงล่างเหมือนในอดีต

จากข้อเสนอดังกล่าว  แกนนำองค์กรชุมชนทั่วประเทศ  เช่น  ครูสน รูปสูง (ปัจจุบันเสียชีวิต) ผู้นำจากตำบลท่านางแนว  อ.แวงน้อย  จ.ขอนแก่น  จินดา บุญจันทร์  ผู้นำจาก  อ.พะโต๊ะ  จ.ชุมพร  ฯลฯ  ได้ร่วมกันจัดตั้ง ‘สมัชชาสภาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย’ หรือ  ‘สอท.’  ขึ้นมา

เพื่อเป็นองค์กรขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายความเป็นอิสระขององค์กรชุมชน  โดยแนวทางที่เห็นร่วมกันคือ “องค์กรชุมชนจะต้องมีกฎหมายที่สนับสนุน  ส่งเสริม  หรือมีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำแผนพัฒนาของตัวเอง  เป็นแผนพัฒนาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐจะต้องนำไปประกอบการจัดทำแผนพัฒนาในทุกระดับ”

ในปี 2550 แกนนำ สอท.ได้ร่วมกันร่าง ‘พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.........’ ขึ้นมา  และนำเสนอต่อรัฐบาลผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ  ในขณะนั้น

แม้ว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายรัฐบาล  แต่ก็มีแรงต่อต้านไม่น้อย  โดยเฉพาะในซีกของกระทรวงที่เกี่ยวข้องและกลไกอำนาจรัฐในท้องถิ่น  เพราะกลัวว่าจะไปทับซ้อนและลดทอนอำนาจของตนที่มีอยู่เดิม

อย่างไรก็ดี  เพื่อเป็นการลดแรงเสียดทานจึงมีการปรับปรุง ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย  และนำเสนอผ่านทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน สนช.   และมีสมาชิก สนช.หลายคนร่วมให้การสนับสนุนและผลักดัน  เช่น  บวรศักดิ์  อุวรรณโน  วัลลภ  ตังคณานุรักษ์  มุกดา อินต๊ะสาร ฯลฯ  

ทำให้ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551  โดยมีเหตุผลระบุในตอนท้ายของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า...

“ด้วยชุมชนเป็นสังคมฐานรากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์  มีวิถีชีวิต  วัฒนธรรม  แตกต่างหลากหลายตามภูมินิเวศ  การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  ทั้งทางสังคม  เศรษฐกิจ  และการเมืองอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชุมชนอ่อนแอประสบปัญหาความยากจน  เกิดปัญหาสังคมมากขึ้น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนถูกทำลายจนเสื่อมโทรม เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็งสามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ  การสร้างระบอบประชาธิปไตย...

จึงเห็นสมควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”

บทบาทสภาฯ สร้างประชาธิปไตยจากฐานราก

ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 กำหนดให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบล  และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

โดยหลังจากที่ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้แล้ว  พอช. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ได้สนับสนุนให้ประชาชนในชุมชน  ตำบล  เทศบาล  (ในกรุงเทพฯเป็นเขต) รวมกลุ่มและองค์กรชุมชนในท้องถิ่นของตนจดแจ้งจัดตั้ง ‘สภาองค์กรชุมชนตำบล’ ขึ้นมา (ดูรายละเอียดการจัดตั้งและ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนที่ http://web.krisdika.go.th/data/law/law2/% CA77/%CA77-20-2551-a0001.htm)

สุวัฒน์  คงแป้น  บอกถึงการใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเครื่องมือในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในท้องถิ่นว่า  สภาองค์กรชุมชนตำบลจะต้องจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง  เพื่อนำปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาในตำบลมาประชุมร่วมกัน  เพื่อปรึกษาหารือ  เสนอความเห็น  หรือหาทางแก้ไข  และต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดจึงนับเป็นองค์ประชุม  การลงมติใช้เสียงข้างมาก  สมาชิกหนึ่งคนมีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน

“เรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้เอง  สภาองค์กรชุมชนฯ และสมาชิกก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที  แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ  สภาองค์กรชุมชนตำบลสามารถนำไปเสนอแนะการแก้ไขปัญหาและแนวทางการพัฒนาต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้

นอกจากนี้ยังมีการประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลในระดับจังหวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง  ซึ่งผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลสามารถเสนอแนวทางการพัฒนาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด

รวมทั้งเสนอแนะต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง  เกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไข  หรือความต้องการของประชาชน ในเรื่องการจัดทำบริการสาธารณะและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ  สังคม  คุณภาพชีวิต  และสิ่งแวดล้อมได้ด้วย

“จะเห็นได้ว่า  สภาองค์กรชุมชนเป็นเวทีหรือเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นด้วยตัวเอง   โดยยึดหลักการประชาธิปไตยจากฐานรากที่แท้จริง  ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิ์ออกไปหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเพียงอย่างเดียว”  สุวัฒน์บอก

เขาย้ำว่า เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนตำบลฯ คือการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรชุมชนในตำบลเกิดความเข้มแข็ง สมาชิกองค์กรชุมชนและประชาชนในตำบลสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเวทีในการประชุมเพื่อปรึกษาหารือ  วางแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหา  รวมทั้งส่งเสริมและปกป้องสิทธิของชุมชนท้องถิ่น

รูปธรรมจากบ้านดง จ.ขอนแก่น ปกป้องสิทธิชุมชน

ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนฯ (มาตรา 21) กำหนดให้สภาฯ มีภารกิจต่างๆ เช่น ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี  ภูมิปัญญาท้องถิ่น  ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ

ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานของรัฐในการจัดการ  การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน

“จัดให้มีเวทีการปรึกษาหารือกันของประชาชนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ความคิดเห็นต่อการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่มีผลหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ  สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ทั้งนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้ดําเนินการหรือเป็นผู้อนุญาตให้ภาคเอกชนดําเนินการต้องนําความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย” (พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 มาตรา 21 (6))

ดังตัวอย่างของ สภาองค์กรชุมชนตำบลบ้านดง  อ.อุบลรัตน์  จ.ขอนแก่น ที่ใช้เวทีสภาฯ ขับเคลื่อนและต่อสู้จนสามารถทวงคืนผืนป่าสาธารณะห้วยเม็กจากบริษัทเครื่องดื่มผสมเคเฟอีนชื่อดังที่งุบงิบทำเรื่องขอเช่าที่ดินสาธารณะโดยไม่ถูกต้อง  จนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา

โรงงานเอกชนเตรียมผลิตเครื่องดื่มที่ตำบลบ้านดง (ภาพจาก thaipbs)

ย้อนกลับไปในปี 2558  บริษัทเครื่องดื่มชูกำลังรายใหญ่ในประเทศไทยได้สร้างโรงงานเพื่อเตรียมผลิตเครื่องดื่มชูกำลังที่ตำบลบ้านดงเพื่อส่งไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ  และเตรียมการเช่าที่ดินสาธารณะป่าห้วยเม็กในตำบลบ้านดง  เนื้อที่ 31 ไร่เศษเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการผลิตเครื่องดื่ม

ในปี 2559  เมื่อชาวบ้านในตำบลรู้ข่าวว่ามีบริษัทเอกชนเช่าที่ดินสาธารณะป่าห้วยเม็กที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันแบบสมรู้ร่วมคิดกับองค์กรปกครองในท้องถิ่นโดยที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่อง  เพราะไม่ได้มีการจัดประชาคมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้าน  แต่หน่วยงานในท้องถิ่นนำเอกสารมาให้ชาวบ้านลงชื่อเพื่อแอบอ้างว่าชาวบ้านเห็นด้วยกับการทำประชาคมให้เช่าที่ดินสาธารณะแล้ว

ชาวบ้านจึงเริ่มรวมตัวปรึกษาหารือกัน  เริ่มด้วยการจัดตั้ง ‘กลุ่มคุ้มครองสิทธิชุมชน’ ขึ้นมา  มีชาวบ้านในตำบลประมาณ 28 คนเข้าร่วม  ต่อมาจึงได้ใช้ ‘สภาองค์กรชุมชนตำบลบ้านดง’ ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาในปีนั้นเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวต่อสู้  รวมคน  รวมพลัง  เพราะมีกฎหมายรองรับ  คือ ‘พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน  พ.ศ.2551’  โดยยื่นหนังสือในนามสภาองค์กรชุมชนฯ ร้องเรียนไปตามลำดับขั้น  ตั้งแต่อำเภอ  จังหวัด  เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง

สภาพป่าห้วยเม็กที่บริษัทเอกชนเช่าเพื่อขุดเป็นแหล่งน้ำป้อนโรงงาน (ภาพจาก https://mgronline.com/)

ใช้สภาฯ ทวงคืนผืนป่าสาธารณะ

ในปี 2560  การเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิชุมชนของชาวบ้านในนามสภาองค์กรชุมชนตำบลบ้านดงยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  รวมทั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดขอนแก่นร่วมกันสนับสนุน  มีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลระดับจังหวัด (ขอนแก่น)  ขณะที่สื่อมวลชนจากท้องถิ่นและส่วนกลางให้ความสนใจจึงช่วยกันตีแผ่ข้อเท็จจริง 

ในเดือนมิถุนายนปีนั้น  สภาองค์กรชุมชนฯ ทำหนังสือคัดค้านการเช่าที่ดินที่ไม่ถูกต้องยื่นถึงพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี  ในช่วงที่นายกฯ เดินทางมาราชการที่จังหวัดขอนแก่น  ชณะที่พลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา  รมว.มหาดไทย  รับลูกสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริง  จนได้ข้อมูลประจักษ์ว่าบริษัทเอกชนเช่าที่ดินสาธารณะห้วยเม็กไม่ถูกต้อง  เช่น  มีการทำเอกสารแอบอ้างว่ามีการทำประชาคมรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านแล้ว 

ในที่สุดเมื่อถูกกระแสกดดันรอบด้าน  ในเดือนกันยายน  2560  บริษัทเครื่องดื่มชูกำลังออกแถลงการณ์พร้อมยกเลิกการเช่าที่ดินสาธารณะป่าห้วยเม็ก  พร้อมทั้งปรับสภาพพื้นที่ป่าที่ถูกทำลายไปบ้างแล้วให้คงสภาพเดิม

ต่อมาในวันที่ 28 กันยายน  ชาวบ้าน  นักเรียน  ภาคีเครือข่าย  หน่วยงานราชการร่วมกันปลูกต้นไม้ในป่าห้วยเม็กเพิ่มเติมจำนวน 5,000 ต้น

ถือเป็นการปกป้องสิทธิชุมชน  โดยพลังของชุมชนท้องถิ่น  โดยใช้ ‘สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเครื่องมือ’ ขับเคลื่อน...สอดคล้องกับภารกิจตามมาตรา 21 (6) ของ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2561 ที่ระบุว่า...

“จัดให้มีเวทีการปรึกษาหารือกันของประชาชนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ความคิดเห็นต่อการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่มีผลหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ...”  

สภาพป่าห้วยเม็กหลังถูกทำลาย  มีการปรับหน้าดินเพื่อปลูกต้นไม้

เสียงจากคนคลองเตย-ปะทิว  จ.ชุมพร

นอกจากตัวอย่างที่ตำบลบ้านดง  จ.ขอนแก่น  ยังมีชุมชนอีกหลายพื้นที่  หลายแห่งทั่วประเทศ  ที่ใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิชุมชนตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้  เช่น  สภาองค์กรชุมชนเขตคลองเตย  กรุงเทพฯ  และสภาองค์กรชุมชนตำบล  อำเภอปะทิว  จ.ชุมพร

ประไพ  สานุสันต์  ประธานสภาองค์กรชุมชนเขตคลองเตย   บอกว่า  สภาฯ จดทะเบียนจัดตั้งในปี 2552  มีสมาชิกสภาฯ  จำนวน 56 คน  มีองค์กรสมาชิก  49 องค์กร  จำนวน  17 ชุมชน  แบ่งการทำงานออกเป็น  8 ประเด็นงาน  เช่น  ที่อยู่อาศัย  แผนชุมชน  เศรษฐกิจและอาชีพ  สิ่งแวดล้อม  ผู้สูงอายุ  สวัสดิการ  ศิลปะ  วัฒนธรรม  ฯลฯ

ในช่วงปี 2561-2562 รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพหรือท่าเรือคลองเตยให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ   โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนแม่บท (master plan) การพัฒนาที่ดินท่าเรือกรุงเทพ  เนื้อที่  2,353 ไร่   เช่น  พัฒนาเป็นโรงแรม  ศูนย์ประชุม  ศูนย์ธุรกิจและการค้า  การส่งออก  ฯลฯ  มูลค่าโครงการหลายหมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกันจะต้องรื้อย้ายชุมชนคลองเตยที่อยู่อาศัยในที่ดินการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อนำที่ดินมาพัฒนา ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อชาวคลองเตยกว่า 27 ชุมชน  ประมาณ 13,000 ครอบครัว  หรือเกือบ 100,000 คน  โดยการท่าเรือมีโครงการ Smart  Community เพื่อรองรับชาวชุมชนคลองเตยที่อยู่อาศัยที่จะต้องย้ายออกจากพื้นที่เดิม 

โดยการท่าเรือมีข้อเสนอ 3 แนวทางให้ชาวชุมชนเลือก  คือ 1.รื้อย้ายแล้วเข้าอยู่ในอาคารสูงที่การท่าเรือจะสร้างให้  2.ย้ายไปสร้างชุมชนใหม่ที่บริเวณหนองจอก  และ3.รับเงินชดเชยแล้วย้ายออกจากพื้นที่  โดยการท่าเรือเปิดตัวโครงการนี้ไปเมื่อต้นปี 2562  แต่ชาวชุมชนคลองเตยส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลและรายละเอียดของโครงการ

ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงในการประชุมสภาองค์กรชุมชนเขตคลองเตยเมื่อเดือน ก.พ.2562

ประไพบอกว่า  จากผลกระทบที่จะเกิดขึ้น  สภาองค์กรชุมชนเขตคลองเตยจึงเข้ามามีบทบาทในการจัดประชุมเพื่อให้การท่าเรือได้ชี้แจงข้อมูลกับตัวแทนชาวบ้าน  และรับฟังเสียงจากชุมชน  โดยมีการจัดเวทีไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่วัดสะพาน  เขตคลองเตย  มีตัวแทนชาวบ้าน  การท่าเรือ  นักวิชาการ ฯลฯ  เข้าร่วมประมาณ 250 คน 

“สภาองค์กรชุมชนเขตคลองเตยมีข้อเสนอให้การท่าเรือเปิดโอกาสให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการสำรวจข้อมูล  เสนอความต้องการของชาวบ้าน  เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความเป็นอยู่     วิถีชีวิต อาชีพ รายได้ของชาวชุมชนอย่างแท้จริง” 

ประไพบอกถึงข้อเสนอของสภาองค์กรชุมชนฯ  และย้ำว่า  ชาวบ้านไม่ได้คัดค้านการพัฒนาที่ดินของการท่าเรือ  แต่อยากให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาครั้งนี้  เพราะเรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องใหญ่ของประชาชนคนยากจน  เช่น  ขนาดของห้องพักที่เหมาะสมกับครอบครัว  เพราะคนคลองเตยอยู่แบบครอบครัวใหญ่  หรือการขอแบ่งปันที่ดินเพื่อให้ชุมชนนำมาบริหารจัดการเอง  ฯลฯ

อย่างไรก็ดี  โครงการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือคลองเตยจนถึงขณะนี้ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนงาน  และยังไม่ได้เริ่มต้นโครงการ  แต่สภาองค์กรชุมชนเขตคลองเตยก็เตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนต่อไปเพื่อให้การท่าเรือและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับฟังเสียงจากประชาชน

ผู้แทนเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนอำเภอปะทิวประชุมและแถลงการณ์เมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา

สมโชค  พันธุรัตน์  ผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบล  อำเภอปะทิว  จังหวัดชุมพร  บอกว่า  เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลอำเภอปะทิว  ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านและผู้นำชุมชนต่างๆ  โดยมีนายอำเภอปะทิว  ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 4 ตำบล  คือ ตำบลชุมโค ปากคลอง  บางสน  และสะพลี  ประมาณ 100 คนเข้าร่วมประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็น 

การจัดประชุมดังกล่าว  เนื่องจากมีร่างประกาศจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ‘เรื่องการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชายทะเล 4 ตำบลในอำเภอปะทิว’  โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศฉบับนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา 

เช่น  กำหนดพื้นที่ห้ามทำการประมงโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ห้ามก่อสร้างอาคารทุกชนิดในพื้นที่ที่วัดจากแนวชายฝั่งทะเลเข้าไปในแผ่นดินเป็นระยะ 20 เมตร  ฯลฯ  ทำให้ชาวบ้านทั้ง 4 ตำบลกลัวว่าจะเกิดผลกระทบต่อการทำมาหากินและการอยู่อาศัย  รวมทั้งเรื่องการท่องเที่ยวโดยชุมชน  เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพประมงชายฝั่ง  และทำเรื่องการท่องเที่ยวโดยชุมชนด้วย

“ในประกาศฉบับนี้  มีการอ้างว่าเนื่องจากพื้นที่ชายทะเล 4 ตำบลมีแนวโน้มจะเสื่อมโทรมมากขึ้น  จึงต้องมีมาตรการคุ้มครองออกมา  ซึ่งขัดต่อความเป็นความจริง  เพราะสภาพทะเลและชายฝั่งและสัตว์น้ำยังอุดมสมบูณ์  โดยชาวบ้านและชาวประมงชายฝั่งมีการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์เพื่อดูแลมาตลอด เช่น ไม่ทำประมงผิดกฎหมาย  เพราะถือว่าเป็นการทำลายหม้อข้าวของตัวเอง นอกจากนี้ประกาศฉบับนี้ยังไม่มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย” ผู้แทนสภาองค์กรชุมชนฯ บอก

ทั้งนี้สภาองค์กรชุมชนอำเภอปะทิว  ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านประกาศฉบับนี้  โดยระบุว่า 1.เป็นประกาศที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่  2.เป็นประกาศที่ทับซ้อนกับกฎหมายที่บังคับใช้ในพื้นที่  3.เป็นประกาศที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตต่อการประกอบอาชีพ  และการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน  และจากนี้เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนอำเภอปะทิวจะติดตามเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด 

เขาบอกด้วยว่า    ในนามเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลอำเภอปะทิว  จะทำหนังสือยื่นถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรม  รวมทั้งสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด  เพื่อคัดค้านประกาศดังกล่าว  โดยจะใช้สภาองค์กรชุมชนขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไปเพราะเป็นสิทธิตามที่ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 กำหนดเอาไว้  รวมทั้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญด้วย !!

ปากคลองบางสน  อ.ปะทิว  จ.ชุมพร เชื่อมกับอ่าวไทย  แหล่งประมงพื้นบ้าน  ใช้สภาองค์กรชุมชนปกป้องสิทธิชุมชน

 

เรื่องและภาพ :  สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ

รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา