สินทรัพย์ดิจิทัล : นโยบายสาธารณะที่ท้าทาย

Justin TALLIS / AFP

1.สินทรัพย์ดิจิทัล 

          สินทรัพย์ดิจิทัล คือสิ่งมีค่าซึ่งแสดงความเป็นเจ้าของในรูปแบบดิจิทัล อาจเป็นสินทรัพย์ทางการเงินและทรัพย์สินที่แท้จริง เช่น งานศิลปะ  คุณสมบัติสำคัญ  (1) Tokenization เกี่ยวข้องกับการใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อแปลงสิทธิ์การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ให้เป็นโทเค็นดิจิทัลที่สามารถจัดเก็บ ขาย หรือใช้เป็นหลักประกันได้ (2) บัญชีแยกประเภทหรือบล็อกเชนบันทึกทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่เปลี่ยนรูปของการเป็นเจ้าของและการโอนความเป็นเจ้าของ Token (3) การเข้ารหัสซึ่งใช้เทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อแน่ใจว่าธุรกรรมในโทเค็นปลอดภัย

 2. แนวคิด DeFi

        พัฒนา Stablecoins เป็นเครื่องมือชำระเงินในสภาพแวดล้อมดิจิทัลใหม่ที่เรียกว่าการกระจายอำนาจทางการเงิน (Decentralized Finance) หรือ DeFi ให้บริการทางการเงินโดยไม่มีตัวกลางแบบรวมศูนย์ ดำเนินการผ่านโปรโตคอลอัตโนมัติบนบล็อกเชน และเหรียญที่มีเสถียรภาพเพื่ออำนวยความสะดวกการโอนเงิน ระบบนิเวศ DeFi  ประกอบด้วย (ก) โปรโตคอลสำหรับการซื้อขาย ให้ยืมและลงทุน และ (ข) เหรียญที่มีเสถียรภาพ (Stablecoins) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกการโอนเงินและตั้งเป้าที่จะรักษามูลค่าที่ตราไว้กับสกุลเงินหลัก (fiat) เช่น USD    

3. เปรียบเทียบการให้กู้ยืมแบบปัจจุบันกับ DeFi

                หน้าที่หลักภาคการเงินคือการระดมเงินจากผู้ออม ด้วยต้นทุนระดมที่ต่ำมีประสิทธิภาพได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย  ขณะเดียวกันธนาคารให้เงินกู้ยืมแก่ผู้กู้ทั้งครัวเรือนและบริษัท   ธนาคารจะคัดกรองผู้กู้เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือทางเครดิต เพื่อจัดสรรเงินทุนให้สินเชื่ออย่างดีที่สุด การคัดกรองโดยรวบรวมข้อมูล เช่น รายได้ หรือภูมิหลังทางการศึกษา การประกอบธุรกิจและข้อมูลที่สำคัญอื่น ๆ  สถาบันการเงินในภาคการให้กู้ยืมคือการรวบรวมกลั่นกรองข้อมูล สำหรับผู้กู้ที่ยากต่อการคัดกรอง ผู้ให้กู้อาจต้องการหลักประกันเพื่อค้ำประกันเงินกู้ เพื่อช่วยลดความไม่สมดุลของข้อมูลและแรงจูงใจในการกู้ยืม เช่น ใช้หลักทรัพย์หรือบ้านอยู่อาศัยเป็นหลักประกัน ในกรณีผู้กู้ผิดนัด ผู้ให้กู้สามารถยึดหลักประกันและขายเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย หลักประกันมีบทบาทและเป็นแนวปฏิบัติในการให้กู้ยืมมายาวนาน

             สำหรับแพลตฟอร์ม (Platform) การให้กู้ยืมแบบ DeFi   รวบรวมผู้ออมและผู้กู้ แต่ไม่มีตัวกลาง เช่น สถาบันการเงินดั้งเดิม กิจกรรมเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มบนสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contact) บนระบบบล็อกเชนซึ่งจะจัดการสินเชื่อตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ผู้ฝากเงินรายบุคคลหรือเรียกว่าผู้ให้กู้ ซึ่งฝากสินทรัพย์ดิจิทัลกับแพลตฟอร์ม จะได้รับอัตราเงินฝาก เช่น 20% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินปกติมาก จึงจูงใจให้มีเงินเข้าสู่ แพลตฟอร์มมาก  อีกด้านหนึ่งผู้กู้จะได้รับโทเค็นการแลกเปลี่ยน (Cryptoasset) เพื่อใช้ลงทุนในสินทรัพย์ และต้องจ่ายอัตราการกู้ยืม อัตราทั้งสองแตกต่างกันไปตาม Cryptoasset และถูกกำหนดโดยความต้องการสินเชื่อและสภาพคล่อง ซึ่งสะท้อนอุปทานของเงินทุน แพลตฟอร์มจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้กู้ยืม กระบวนการนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติทันที

            ความแตกต่างสำคัญระหว่างการให้กู้ยืมใน DeFi และการเงินแบบดั้งเดิม คือ DeFi มีความสามารถในการคัดกรองผู้กู้ที่จำกัด ตัวตนของผู้กู้และผู้ให้กู้ถูกซ่อนอยู่หลังลายเซ็นดิจิทัลที่เข้ารหัสลับ ผู้ให้กู้จึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล เช่น คะแนนเครดิตของผู้กู้หรืองบกำไรขาดทุน ดังนั้น แพลตฟอร์ม DeFi จึงอาศัยหลักประกันเพื่อจูงใจผู้กู้และผู้ให้กู้ เฉพาะสินทรัพย์ที่บันทึกไว้ในบล็อกเชนเท่านั้น ที่สามารถยืมหรือจำนำ ทำให้ระบบส่วนใหญ่อ้างอิงตนเอง เงินกู้ DeFi ทั่วไปจะถูกเบิกจ่ายในสกุลเงินที่มีเสถียรภาพ ขณะที่หลักประกันประกอบด้วย Cryptoasset

           สัญญาอัจฉริยะกำหนดหลักประกันในแต่ละประเภทหรือส่วนต่างที่กำหนด ผู้กู้หลักประกันขั้นต่ำที่ต้องวางค้ำประกันเพื่อรับเงินกู้ในจำนวนที่กำหนด อัตราการหลักประกันขั้นต่ำมักจะอยู่ระหว่าง 120% ถึง 150% บนแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมหลักและขึ้นอยู่กับการราคาที่คาดหวังและความผันผวนของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำหน้าที่เป็นหลักประกัน  เนื่องจากเงินกู้ DeFi ถูกเบิกจ่ายในสินทรัพย์ดิจิทัลและค้ำประกันโดยหลักประกันของสกุลเงินดิจิทัล จึงไม่ให้เงินทุนหรือสินเชื่อสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) ทั้งนี้แพลตฟอร์มยังได้กำหนด อัตราส่วนการชำระบัญชีไว้ด้วย

4. จุดน่าวิตกของ DeFi

            ช่องโหว่ของ DeFi คือผู้กู้สามารถกู้ (Leverage) ในอัตราที่สูงมาก เช่น 100 เท่าของบัญชีผู้กู้ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหลักทรัพย์ทุนปกติ ทั้งนี้แพลตฟอร์มให้ผลตอบแทนการฝากเงินในอัตราสูงมาก ดังที่กล่าว เช่น ร้อยละ 20 ทำให้สามารถมีแหล่งเงินสนับสนุนการให้กู้ยืมใน Leverage ที่สูงมากและสนับสนุนให้มีการเก็งกำไรสูงและมีส่วนทำให้เกิดกรณี LUNA  และ Terra ล่ม  ช่วงโหว่ของ DeFi และปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ทางการของประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มที่ไม่สนับสนุนและ/หรือหาวิธีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่ามีการป้องกันเสถียรภาพทางการเงินที่เพียงพอ รวมทั้งเพิ่มการจัดการหาวิธีคุ้มครองผู้ลงทุนและระแวดระวังกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย   ดังนั้น DeFi ในประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มจะเป็นการเงินที่เป็นการรวมศูนย์ไม่มากก็น้อยแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งขัดกับหลักของ DeFi ที่จะเป็นตัวกลางแบบไม่มีการรวมศูนย์

  • การควบคุมของทางการประเทศต่าง ๆ

            ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับทั่วโลกกำลังพัฒนากรอบการทำงานที่จะสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาสอย่างรอบคอบ เนื่องจากเทคโนโลยี โมเดลธุรกิจ และแนวทางปฏิบัติทางการตลาดเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ดี DeFi ยังมีศักยภาพในการเสริมกิจกรรมทางการเงินแบบดั้งเดิม แม้ปัจจุบันใช้งานในภาคการผลิตจริง (Real Sector) เล็กน้อย ส่วนใหญ่รองรับการเก็งกำไรในสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถสนับสนุนให้บริการทางการเงิน การค้าและการชำระเงินข้ามพรมแดนและกิจกรรมตลาดทุน สามารถลดเวลาชำระบัญชีจาก 2 ถึง 3 วัน เหลือน้อยกว่า 10 นาที และค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 6 ของมูลค่าการโอน เหลือน้อยกว่าร้อยละ 1  การทำ Letter of Credit จาก 5 ถึง 10 วัน เหลือน้อยกว่า 24 ชั่วโมง ส่วนตลาดทุนลดเวลาชำระธุรกรรมหลักทรัพย์จาก 2 วันเหลือน้อยกว่า 30 นาที (Ravi Menon , Sep 2022)

  • สินทรัพย์ดิจิทัลกับนโยบายสาธารณะ

           Digitalisation ทำให้เกิดความท้าทายมากในมุมมองนโยบายสาธารณะ นอกเหนือจากความกังวลแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับการฟอกเงินและการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย  โดยมีคำถามที่ต้องการคำตอบที่ลึกซึ้งอีกมาก เช่น เจ้าหน้าที่ทางการเงินต้องการให้คนถือเงินประเภทไหน จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไรบ้างธุรกิจธนาคารในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะปรับตัวอย่างไร หน่วยงานกำกับและกฎระเบียบที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ บุคลากรที่ดูแลเท่าทันตลาดหรือไม่ และจะเตรียมการให้ความรู้ผู้เล่นในตลาดอย่างไร รวมทั้งบทบาทของเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ในโลกดิจิทัลจะเป็นอย่างไร ล้วนเป็นนโยบายสาธารณะที่สำคัญและท้าทายมากช่วงต่อไป

สมศักดิ์  วงศ์ปัญญาถาวร

มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปชน.ลากไส้ กม.ยุคเพื่อไทยมีมารร้ายอยู่ในรายละเอียด!

'ชัยวัฒน์' โต้ 'เผ่าภูมิ' ยัน พรรคประชาชนอ่านกฎหมายชัดเจนทุกบรรทัด และมองระหว่างบรรทัดด้วย เพราะ 'มารร้ายอยู่ในรายละเอียด' ทุกวันนี้ทุนเทาเข้ายึดไทยเรียบร้อยแล้ว

'ดร.สังศิต' แพร่บทความ 'ปีศาจพนันแห่งเมืองฟ้าอมร' ตามหลอกหลอนถึงไทยแล้ว

รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการที่ศึกษาติดตามเรื่องเศรษฐกิจนอกกฎหมาย ธุรกิจใต้ดิน มาหลายสิบปีตั้งแต่สมัยเป็นผอ.ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และทำวิจัยเรื่องการเปิดกาสิโนในประเทศไทย เพยแพร่บทความ เรื่อง ปีศาจพนันแห่งเมืองฟ้าอมร มีเนื้อหาดังนี้